บทความ




ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปรานียิ่งเสมอ


การล่มสลายของทฤษฎีวิวัฒนาการ


และข้อเท็จจริงแห่งการสร้าง


จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต


ถ้าใครคนใดคนหนึ่งได้สำรวจตรวจสอบจักรวาลที่เขาได้อาศัยอยู่นี้ดูก็จะพบว่า


จักรวาลนี้มีกาแล็คซี่ถึง 250,000 ล้านกาแล็คซี่ ซึ่งในแต่กาแล็คซี่นั้นจะประกอบไปด้วยดาวอีก


จำนวนมากมายถึง 300,000 ล้านดวง และสิ่งทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ว่าจะเป็นกาแล็คซี่หรือดวงดาว


อันกว้างใหญ่ไพศาลทั้งหมดนี้ต่างหมุนเวียนและล่องลอยไปตามกฎเกณฑ์อย่างเป็นระบบ


ระเบียบ


ถ้ามองดูแล้วเราก็จะพบว่าในทุกๆส่วนของจักรวาลนี้ จะมีระเบียบแบบแผนตลอดจน


ความสมดุลอยู่อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีข้อบกพร่องอยู่เลย


โลกนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เล็กกระจิ๋วเมื่อเทียบกับจักรวาลทั้งหมด แต่กระนั้นโลกที่เรา


อาศัยอยู่นี้ ถูกสร้างและออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยมพร้อมเพรียงไปด้วยระบบการทำงานที่เต็มไป


ด้วยความสมดุลที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนเป็นอย่างมาก


โลกเรานี้ไม่เหมือนดวงดาวดวงอื่นๆ เพราะโลกเรามีสภาพชั้นบรรยากาศและพื้นผิวที่


เอื้ออำนวยต่อสิ่งมีชีวิตที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ น้ำซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของพื้นโลกก็


เป็นหนึ่งในปัจจัยขั้นพื้นฐานที่สำคัญต่อสิ่งมีชีวิต ระดับอุณหภูมิ อัตราการโคจร ตลอดจนพื้นผิว


ของโลก ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าโลกใบนี้ได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะแก่การดำรงชีวิต


ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลก


ลักษณะที่ไม่เหมือนใครของโลกใบนี้ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตมากมายที่มีระบบการทำงาาน


ที่ซับซ้อนต่างกันไปตามแต่ละชนิดประเภทของมัน ซึ่งบางครั้งมนุษย์เราก็ยังคาดไม่ถึง พืชพันธุ์


ทฤษฎีวิวัฒนาการ : ความเท็จที่ถูกเชื่อ


- 6 -


และสัตว์หลายล้านชนิดสามารถอยู่อาศัยบนโลกนี้ได้อย่างกลมกลืนและสมดุลกัน สิ่ง


นี้เป็นระบบความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์เป็นอย่างมากจนกระทั่งว่าระบบความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิต


เหล่านี้สามารถที่จะคงอยู่ต่อไปได้อย่างไม่ถูกกระทบกระเทือนหรือเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด


นอกจากมันจะถูกรบกวนหรือก่อกวนจากมนุษย์


แต่ทว่า คำถามก็คือ แล้วระบบความเป็นอยู่และสิ่งมีชีวิตต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้


อย่างไรกัน ?


เมื่อได้มีการสำรวจตรวจดูสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ


ได้ถูกออกแบบมาอย่างมีระบบสำหรับการดำรงชีวิตและการอยู่อาศัย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเหล่านี้จะมี


ระบบการทำงานที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนอย่างมากจนทำให้มันสามารถแสดงบทบาทของมันได้


เป็นอย่างดีที่สุดตามความสามารถที่มีอยู่ในตัวมันจากสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่


เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเหล่านี้ได้ถูกวางกฎเกณฑ์และออกแบบจัดระบบความ


เป็นอยู่มาเป็นอย่างดี แน่นอนที่สุดว่าจะต้องมีผู้ที่สร้างมันขึ้นมาอย่างแน่นอน


แต่ทฤษฎีแห่งการวิวัฒนาการที่มีขึ้นในศตวรรษที่ 19 ได้ปฏิเสธการสร้างของพระเจ้า


ซึ่งตามความเชื่อของทฤษฎีการวิวัฒนาการนั้นเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกนี้มิได้ถูกสร้างขึ้นมา


หากแต่ก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญ


ผู้ที่ตั้งทฤษฎีนี้จึ้นมารู้จักกันในนามว่า ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ผู้ซึ่งเป็น


นักธรรมชาติวิทยาสมัครเล่น ดาร์วินได้เผยทฤษฎีนี้ไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อว่า "The Origin of


Species" : แหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิต ซึ่งหนังสือเล่มนี้ถูกพิมพ์ขึ้นมาในปี 1859


หนังสือเล่มนี้ของดาร์วินได้เป็นที่นิยมโดยทันทีหลังจากถูกตีพิมพ์ แต่ความโด่งดังของ


หนังสือเล่มนี้ มิได้เป็นเพราะผลงานด้านวิชาการของดาร์วิน แต่ที่หนังสือของเขาเป็นที่นิยมก็


เพราะมันไปโดนใจหรือตรงกับอุดมการณ์ของผู้คนมากกว่า ซึ่งยุคนั้นเป็นยุคที่ผู้คนเริ่มมี


อุดมการณ์ในเรื่องการปฏิเสธศาสนา หรือมีแนวคิดอเทวนิยมอยู่แล้ว แนวความคิดของดาร์วินจึง


ช่วยในการสนับสนุนและเป็นข้ออ้างอิงของพวกที่ยึดถือปรัชญาวัตถุนิยมที่ปฏิเสธการมีอยู่จริงของ


พระเจ้า


คารล์ มารกซ์ (Karl Marx) ผู้ตั้งลัทธิวัตถุนิยมวิภาษได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ


”Das Kapital" ขึ้นมาเพื่ออุทิศให้แก่ดาร์วิน เขาเขียนที่ปกหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า "ถึงชาร์ลส์ ดาร์วิน


จากผู้เลื่อมใส ผู้อุทิศตัวให้ "


จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต


- 7 -


ทฤษฎีของดาร์วินอ้างเหตุผลว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นมานั้นมาจากบรรพบุรุษ


เดียวกันโดยผ่านขบวนการและขั้นตอนแบบค่อยๆ วิวัฒนาการไปเป็นเวลาอันยาวนาน แต่ดาร์วิน


ก็ไม่สามารถหาหลักฐานข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนข้ออ้างของตนเองได้เลย จริงๆ แล้วตัว


ดาร์วินเองรู้ดีถึงหลักฐานข้อเท็จจริงหลายๆ อย่างที่จะทำให้ทฤษฎีความเชื่อของเขาต้องเป็นโมฆะ


ไป ดาร์วินได้กล่าวยอมรับไว้ในหนังสือที่เขาเขียนขึ้นในบทที่มีชื่อว่า ”Difficulties on Theory” :


ปัญหาและความยุ่งยากที่ทฤษฎีนี้จะต้องเผชิญ แต่ดาร์วินก็หวังว่าปัญหาต่างๆของทฤษฎีการ


วิวัฒนาการเหล่านี้จะหมดไปด้วยกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นมาในภายหลัง


แต่ในทางตรงกันข้าม ด้วยกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้ทฤษฎีที่ดาร์วินกล่าว


อ้างนั้นกลับถูกหักล้างลงไปทีละข้อทีละข้อ


ดาร์วินกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดกำเนิดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน โดยผ่านขบวนการ


และขั้นตอนแบบค่อยๆ วิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ


แต่ทว่าสิ่งมีชีวิตตัวแรกกำเนิดมาได้อย่างไรกัน ? ดาร์วินไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนี้ไว้เลยใน


หนังสือของเขา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าสิ่งนี้แหละที่จะเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้ทฤษฎีของเขาต้อง


เป็นโมฆะไป


วิทยาศาสตร์ในสมัยของดาร์วินเชื่อกันว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีลักษณะโครงสร้าง


องค์ประกอบที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนอะไรมาก มีความเชื่อตามทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ทฤษฎีหนึ่งที่


เรียกว่า “Spontaneous Generation” คือการกำเนิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มันเป็นทฤษฎีที่เป็น


ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในยุคกลาง ซึ่งตามทฤษฎีนี้เชื่อว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายสามารถเกิดขึ้นมา


โดยง่ายดายจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต


มีความเชื่อกันไปว่า กบเกิดขึ้นมาเองจากโคลน และแมลงก็เกิดขึ้นมาจากอาหารที่


กินเหลือเอาไว้ และก็ได้มีการทดลองพิสูจน์โดยมีจุดประสงค์ที่จะมาสนับสนุนทฤษฎีหรือแนว


ความเชื่อเช่นนี้ โดยได้มีการนำเอาเมล็ดข้าวสาลีกำมือหนึ่งไปทิ้งไว้ในเศษผ้าโดยหวังว่าจะมีหนู


เกิดขึ้นมาจากการนำของสองสิ่งนั้นมาผสมกันและก็ได้มีการนำตัวอ่อนที่เกิดขึ้นมาจากเนื้อมาเป็น


ข้อกล่าวอ้างโดยกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตสามารถกำเนิดขึ้นมาได้จากสิ่งที่ไม่มีชีวิต แต่ต่อมาในภายหลังก็


เป็นที่รู้ถึงข้อเท็จจริงว่าตัวอ่อนที่เกิดขึ้นจากเนื้อนั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติตามที่เข้าใจ


กันแต่อย่างใด แต่มันเกิดขึ้นมาจากตัวอ่อนที่ตามองไม่เห็นซึ่งแมลงวันนำไปปล่อยไว้ที่เนื้อนั่น


ทฤษฎีวิวัฒนาการ : ความเท็จที่ถูกเชื่อ


- 8 -


และนอกจากนั้นในสมัยของดาร์วินยังมีความเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าจุลินทรีย์สามารถเกิดขึ้นมา


โดยง่ายดายจากวัตถุหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิต


แต่แล้ว 5 ปีหลังจากที่หนังสือ “The Origin of Species” ของดาร์วินถูกตีพิมพ์ นัก


ชีววิทยาผู้มีชื่อเสียงชาวผรั่งเศส Louis Pasteur (หลุยส์ ปาสเตอร์) ก็ได้พิสูจน์หักล้าง


แนวความคิดซึ่งเป็นพื้นฐานความเชื่อของทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินโดยสิ้นเชิง


โดยปาสเตอร์ได้พิสูจน์ให้เห็นทางวิทยาศาสตร์หลังจากการที่เขาได้ทำการศึกษาวิจัย


และทดลองมาเป็นเวลานาน ซึ่งเขาก็ได้ข้อสรุปที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง


เขากล่าวว่า


"วัตถุสารหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตจะสามารถให้ชีวิตแก่ตัวเองได้จริงหรือ? เป็นไป


ไม่ได้เลย ปัจจุบันนี้เป็นที่รู้กันแล้วว่าไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดๆ ก็แล้วแต่


สิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเล็กแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นมาเองได้นอกจากว่า


สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะต้องมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับสิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ให้


กำเนิดมันขึ้นมา" (Louis Pastuer, Fox and Dose, Origin of Life, p.4-5)


นักทฤษฎีวิวัฒนาการคนแรกที่ได้หยิบยกปัญหาเรื่องแหล่งกำเนิดและที่มาของ


สิ่งมีชีวิตขึ้นมากล่าวในศตวรรษที่ 20 นี้ก็คือ นักชีววิทยาชาวรัสเซียซึ่งมีชื่อว่า Alexander Oparin ่


จุดมุ่งหมายของเขาก็คือต้องการคำอธิบายให้รู้ว่าเซลล์ของสิ่งมีชีวิตชนิดแรกนั้นเกิดขึ้นมาได้


อย่างไร?


ซึ่งตามทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นได้มีการกล่าวว่าเซลล์ตัวแรกนี่แหละที่เป็นที่มาหรือ


บรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่อย่างไรก็ตามความพยายามของเขาก็ต้องจบลงด้วย


กับความล้มเหลว และตัวของโอปารินเองก็ต้องกล่าวยอมรับว่า


"เป็นที่น่าเศร้าใจ ที่จุดกำเนิดและที่มาของเซลล์ก็ยังคงเป็นปัญหาอยู่ต่อไปซึ่ง


ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นด้านที่มืดมนที่สุดของขบวนการและขั้นตอนทาง


ทฤษฎีวิวัฒนาการ" (Alexander Oparin, Origin of Life, p.196)


จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต


- 9 -


นักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มาหลังจากโอปารินก็ได้ทำการทดลองเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะ


หาคำตอบถึงแหล่งกำเนิดและที่มาของสิ่งมีชีวิตเพื่อที่จะได้มาสนับนสนุนทฤษฎีวิวัฒนาการของ


พวกเขา


นักเคมีชาวอเมริกันมีนามว่า Stanley Miller ได้ทำการทดลองชิ้นโด่งดังที่สุดในปี


1953 โดยที่มิลเล่อร์ได้นำเอาโมเลกุลจำนวนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตมาทำการกระตุ้นปฏิกิริยาโต้ตอบ


ต่อแก๊สชนิดต่างๆ ที่เขาอ้างว่ามีอยู่ในชั้นบรรยากาศโลกในช่วงแรกเริ่ม ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น


การทดลองชิ้นนี้ถือเป็นความหวังของวงการวิทยาศาสตร์ที่จะพิสูจน์เรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ แต่


ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยเพราะจากการค้นพบในภายหลังได้แสดงให้เห็นว่า แก๊สต่างๆ ที่


ใช้ในการทดลองนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับแก๊สที่มีอยู่ในชั้นบรรยากาศในช่วงเริ่มแรกของโลก


และในที่สุดตัวของ มิลเล่อร์เองก็ต้องออกมายอมรับถึงความล้มเหลวและความเป็นโมฆะของการ


ทดลองของเขาในครั้งนั้น


จากความพยายามทั้งหลายของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่มีขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่


20 เพื่อที่จะมาอธิบายถึงแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตก็ต้องจบลงด้วยความล้มเหลว


Jeffrey Bada ศาสตราจารย์ด้านภูมิศาสตร์ เคมี และเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎี


วิวัฒนาการตัวยงก็กล่าวยอมรับถึงความจริงข้อนี้ในนิตยสาร "Earth" ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ปี


1998 ซึ่งเป็นหนึ่งในนิตยสารชั้นนำทางด้านสิ่งตีพิมพ์ของฝ่ายนิจมทฤษฎีวิวัฒนาการ โดยที่บาดา


ได้กล่าวว่า


"ในวันนี้ ขณะที่เราจะจากศตวรรษที่ 20 เราก็ยังคงอยู่กับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่ยัง


หาทางออกไม่ได้ เช่นเดียวกับตอนี่เราเริ่มเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 นั่นคือปัญหา


ที่ว่า สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ได้อย่างไรกัน?" (Jeffrey Bada, Earth, Feb,


1998)


ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกปัญหาหนึ่งที่ทฤษฎีวิวัฒนาการกำลังเผชิญอยู่และก็ยังหา


ทางออกไม่ได้ก็คือปัญหาที่เกี่ยวกับลักษณะโครงสร้างอันซับซ้อนอย่างน่าเหลือเชื่อของเซลล์


สิ่งมีชีวิต


สิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ทุกชนิดจะประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีขนาดเล็กเท่ากับหนึ่งในร้อยของ


มิลลิเมตร และมีสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่มีเซลล์เดียว แต่กระนั้นถึงแม้จะมีเซลล์เดียวก็ตาม แต่


ทฤษฎีวิวัฒนาการ : ความเท็จที่ถูกเชื่อ


- 10 -


องค์ประกอบที่มีอยู่ในเซลล์นั้นก็มีลักษณะที่ซับซ้อนอย่างน่าทึ่ง มันมีระบบการปฏิบัติงานอัน


ซับซ้อน เพื่อที่จะทำให้มันดำรงชีวิตอยู่ต่อไป และที่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีสิ่งที่อาจเรียกว่าเป็น


มอเตอร์ตัวเล็กๆ ที่ช่วยในการขับเคลื่อนอีกด้วย


ในสมัยของดาร์วิน ลักษณะโครงสร้างอันซับซ้อนของเซลล์ยังไม่เป็นที่รู้จัก ทั้งนี้ก็


เนื่องมาจากกล้องจุลทรรศน์ที่ยังล้าหลังในสมัยนั้น จึงทำให้เซลล์มองดูเหมือนไม่มีลักษณะอะไร


พิเศษในตัวมัน แต่แล้วด้วยกับกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนที่มีกำลังสูงซึ่งประดิษฐ์ขึ้นมาใน


ตอนกลางของศตวรรษที่ 20 จึงทำให้เราได้รู้และเข้าใจว่า จริงๆ แล้วเซลล์ของสิ่งมีชีวินนั้นมีระบบ


การทำงานที่ซับซ้อนถึงเพียงไร สิ่งนี้ได้เผยให้เห็นถึงความซับซ้อนตลอดจนการทำงานกันอย่างมี


ระบบของเซลล์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ


เซลล์ที่มีชีวิตเพียงตัวเดียวจะประกอบไปด้วยส่วนเล็กๆ เป็นพันๆ แต่ละส่วนทำงาน


กันอย่างสอดคล้องสามัคคี หากจะเปรียบก็เหมือนกับว่า ภายในเซลล์ตัวเดียวนั้นจะมีทั้งสถานี


พลังงานไฟฟ้า โรงงานต่างๆ ที่ทันสมัยซึ่งใช้ทำหน้าที่ต่างๆ และหน่วยจัดเก็บข้อมูลที่สลับซับซ้อน


ระบบเก็บรักษาที่มีขนาดใหญ่ โรงกลั่นกรองที่ทันสมัย ตลอดจนมีเยื่อหุ้มเซลล์นี้จะคอยทำหน้าที่


ควบคุมสิ่งที่เข้าออกจากเซลล์


เซลล์นี้จะสามารถมีชีวิตดำรงอยู่ต่อไปได้ก็ต่อเมื่อส่วนต่างๆที่มีในตัวมันที่ใช้ในการ


ปฏิบัติการจะต้องเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันเพียงสถานเดียว และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่ระบบการทำงาน


ของเซลล์ที่ซับซ้อนละเอียดอ่อนเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาเนื่องจากความบังเอิญ แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้


ห้องแล็ปวิทยาศาสตร์ที่ประกอบไปด้วยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยที่สุด ก็ยังไม่มีความสามารถที่


จะผลิตเซลล์ที่มีชีวิตขึ้นมาจากสิ่งที่ไร้ชีวิตได้เลยแม้แต่ตัวเดียว จริงๆ แล้วมันก็เป็นที่ยอมรับกัน


อย่างแน่นอนว่าสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ และความอุตสาหะที่จะพยายามผลิตเซลล์ที่มีชีวิตจากสิ่งที่ไร้


ชีวิตเหล่านั้นก็ต้องเป็นอันล้มเลิกไป


แต่กระนั้น นักทฤษฎีวิวัฒนาการก็ยังกล่าวอ้างว่าระบบการทำงานของเซลล์ที่กล่าว


มานี้เกิดขึ้นมาเองจากความบังเอิญ ซึ่งความเป็นจริงแล้วระบบการทำงานของเซลล์ที่แม้แต่มนุษย์


ผู้พร้อมไปด้วยสติปัญญาความรู้ความสามารถและเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ยังไม่สามารถที่จะ


ลอกเลียนแบบได้


จุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต


- 11 -


Sir Fred Hoyle ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียง


โด่งดัง ได้กล่าวอธิบายบอกถึงความเป็นไปไม่ได้ที่เซลล์จะกำเนิดเกิดขึ้นมาเอง โดยเขาได้


ยกตัวอย่างว่า


"ความเป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตในชั้นที่สูงขึ้นไปจะเกิดขึ่นมาเองด้วยความบังเอิญก็


อาจจะเปรียบได้กับความเป็นไปได้ที่พายุโทนาโดจะพัดผ่านเข้ามายังกองเก็บ


ของและวัสดุเก่าแล้วกลายไปเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747 จากวัสดุนั้น" (Fred


Hoyle, Naturer, 12 พฤศจิกายน)


ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ด้านเคมีวิทยาของสิ่งมีชีวิตก็ได้เผยให้รู้ถึงลักษณะทางด้าน


โครงสร้างและการปฏิบัติงานอันซับซ้อนที่สุดของโมเลกุล DNA ซึ่งระบบทางด้านโครงสร้างของ


โมเลกุล DNA ได้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ 2 คน นั่นก็คือ James Watson และ Francic


Crick ในปี 1955 จากการค้นพบของเขาทั้งสองนี้ก็บอกให้เรารู้ว่า สิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่


สลับซับซ้อนเกินกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก


Francic Crick ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบิลไพรซ์จากการค้นพบครั้งนี้ ถึงแม้ตัวของเขาเอง


จะเป็นนักทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างฝังหัวก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยอมรับว่าโครงสร้างการทำงาน


อย่าง DNA นี้ไม่มีวันที่มันจะเกิดขึ้นมาเองได้ด้วยความบังเอิญ


DNA เป็นโมเลกุลขนาดใหญ่ที่มีอยู่ในนิวเครียสของเซลล์ รายละเอียดทั้งหมดของ


สรีระและรูปร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกบันทึกไว้ในส่วนที่เป็นเกลียวขดสองชั้นนี้ ข้อมูลทั้งหมด


เกี่ยวกับองค์ประกอบทางด้านร่างกายตั้งแต่สีในตาไปจนถึงระบบโครงสร้างของอวัยวะภายใน


และสัดส่วนการปฏิบัติงานของเซลล์ทั้งหมดเหล่านั้นจะถูกวางโปรแกรมไว้ในส่วนที่เรียกว่า "ยีนส์"


ใน DNA ทั้งสิ้น


รหัสของ DNA จะประกอบไปด้วยลำดับการจัดเรียงฐานข้อมูลต่างๆ ที่แตกต่างกันไป


ถ้าเราจะเปรียบเทียบฐานเหล่านี้ในรูปของตัวอักษรเราก็จะสามารถเปรียบ DNA ได้กับฐานจัดเก็บ


ข้อมูลที่ประกอบไปด้วยอักษร 4 ตัว ซึ่งข้อมูลของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลนี้


ถ้าเราจะลองเขียนข้อมูลที่มีอยู่ใน DNA ทั้งหมดลงบนกระดาษก็อาจจะต้องให้ใช้


กระดาษเป็นล้านๆ หน้า และนั่นก็เท่ากับว่าต้องเขียนข้อมูลที่มีอยู่ใน DNA ลงไปมากกว่า


ทฤษฎีวิวัฒนาการ : ความเท็จที่ถูกเชื่อ


- 12 -


สารานุกรมบริตานนิก้า (Britannica) ถึง 40เท่า ซึ่งสารานุกรมบริตานนิก้านั้น เป็นแหล่งรวบรวม


ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่มีอยู่


แต่แหล่งข้อมูลของ DNA อันน่าทึ่งนี้ก็ได้ถูกจัดเก็บไว้ในนิวเคลียสที่เล็กกระจิ๋วหริว


ของเซลล์ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าหนึ่งมิลลิเมตรถึงหนึ่งพันเท่า ( 1 หาร 1000 )


มีการคำนวณกันว่าสายโซ่ของ DNA ซึ่งเล็กพอที่จะใส่ไว้ในช้อนชาได้นั้นมี


ความสามารถที่จะบรรจุข้อมูลทั้งหมดของหนังสือทุกเล่มที่เขียนขึ้นมาในโลกนี้ได้


ทฤษฎีการวิวัฒนาการซึ่งมองว่าชีวิตเป็นเพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญที่ไร้


จุดมุ่งหมายก็ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่สามารถเปิดปากพูดอะไรได้เมื่อต้องเผชิญกับระบบการ


ปฏิบัติงานที่สลับซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อของ DNA ซึ่งมันเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า DNA และเซลล์


ต่างๆ ตลอดจนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้เป็นผลที่เกิดมาจากงานสร้างอันยอดเยี่ยมและน่าสรรเสริญ


ฉะนั้นเมื่อมีการสร้างหรือมีสิ่งที่ถูกสร้างอยู่ แน่นอนที่สุดว่าจะต้องมีผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านี้


ขึ้นมา ซึ่งเป็นผู้ทรงพลังอำนาจอันไม่มีขีดจำกัดผู้ทรงรอบรู้และทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยวิทยปัญญา


ขั้นตอนและวิธีการที่ได้มาจากการจินตนาการในขบวนการทฤษฎีวิวัฒนาการ


การปั้นเรื่องขึ้นมาของพวกนักทฤษฎีวิวัฒนาการที่ทำให้เข้าใจว่าชีวิตนั้นสามารถเกิด


มาจากสิ่งที่ไม่มีชีวิต มันได้ถูกหักล้างด้วยกับวิยาศาสตร์ในปัจจุบัน


ดาร์วินได้นำเสนอแนวความคิดเดียวที่จะมาเป็นตัวอธิบายระบบทางด้านการ


วิวัฒนาการของเขา และแนวความคิดนั้นก็คือ "การเลือกสรรทางธรรมชาติ" จากหนังสือที่เขา


เขียนก็ทำให้เรารู้ว่าดาร์วินได้ให้ความสำคัญต่อแนวความคิดนี้เป็นอย่างมาก (The Origin of


Species by Means of Natural Selection : แหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตโดยวิธีการเลือกสรร


ทางธรรมชาติ)


การเลือกสรรทางธรรมชาตินั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ผู้ซึ่งแข็งแรงที่สามารถ


ปรับตัวเองได้ดีต่อสภาพแวดล้อมก็จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไป ยกตัวอย่างเช่น ฝูงกวางที่ถูกไล่


ล่าโดยสัตว์ล่าเหยื่อ กวางตัวที่วิ่งได้เร็วกว่าก็จะสามารถมีชีวิตรอดมาได้ หลังจากนั้นกวางส่วน


ใหญ่ในฝูงก็จะมีแต่กวางตัวที่แข็งแรงและฉับไวเนื่องจากตัวที่เชื่องช้าและอ่อนแอกว่าก็ได้ตกเป็น


เหยื่อไปหมดแล้ว


จินตนาการของทฤษฎีวิวัฒนาการ


- 13 -


แต่ถึงแม้ระบบความเป็นอยู่ทางธรรมชาติจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้กวาง


ต้องมีการวิวัฒนาการเลยแม้แต่น้อย มันไม่ได้เปลี่ยนกวางให้ไปเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งแต่อย่าง


ใด


การเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ก็เป็นเพียงการกำจัดตัวที่ป่วยหรือพิการอ่อนแอออกไป


และมันก็ยืนยันถึงการดำรงอยู่ต่อไปตลอดจนความสมบูรณ์แข็งแรงของสิ่งมีชีวิตอีกบางจำพวก


และการเลือกสรรทางธรรมชาตินี้ก็ไม่ได้มีแรงผลักดันหรือเป็นตัวที่จะทำให้เกิดการวิวัฒนาการ


ขึ้นมาได้


ดาร์วินก็รู้ตัวดีถึงสิ่งนี้เช่นกันและนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ดาร์วินยอมรับไว้ในหนังสือของ


เขา (The Origin of Species) โดยเขากล่าวว่า


"การเลือกสรรทางธรรมชาติไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและทำอะไรไม่ได้เลย นอกจาก


ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เอื้ออำนวยและเหมาะเจาะที่จะเกิดขึ้นเองด้วยความ


บังเอิญในสิ่งมีชีวิต " (Charles Darwin, The Origin of Species, 1st, ed, p.177)


ดาร์วินได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากเพื่อนร่วมสมัยของเขาคนหนึ่ง ในแนวความคิด


ที่ว่าสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถเกิดขี้นมาเองและมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวในสภาพการที่เหมาะสมและ


เอื้ออำนวย และเพื่อนร่วมสมัยของดาร์วินคนนั้นก็คือ Lamarck (ลามาร์ค) นักชีววิทยาชาว


ฝรั่งเศส


ลามาร์คมีความเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตจะถ่ายทอดลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่มีอยู่ไปสู่รุ่น


ต่อไปที่มาทีหลัง ในแนวความคิดของลามาร์คนั้น ยีราฟวิวัฒนาการมาจากสัตว์ที่คล้ายกวาง นั่นก็


คือ ลำคอของสัตว์จำพวกนี้จะค่อยๆ ยืดออกไปตามกาลเวลาจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง ทั้งนี้ก็


เนื่องมาจากการที่มันพยายามเอื้อมคอไปกินใบไม้ที่อยู่บนกิ่งสูงๆ


ลามาร์คยังมีความเชื่อเช่นกันว่าถ้าคนในสมาชิกครอบครัวหรือสายตระกูลถูกตัดแขน


ออกเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ในภายหลังก็จะเริ่มแขนกุดหรือไม่มีแขน


ดาร์วินผู้ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากความเขื่อเหล่านี้ ก็ยิ่งมีแยวความคิดที่เหิมเกริมไป


มากกว่านั้น โดยที่เขาได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Origin of Species ของเขาว่า หมีบางชนิดที่


พยายามหาเหยื่อในน้ำ หลายๆ รุ่นเข้ามันก็ได้วิวัฒนาการไปเป็นปลาวาฬในที่สุด


ทฤษฎีวิวัฒนาการ : ความเท็จที่ถูกเชื่อ


- 14 -


แต่กระนั้นแนวความคิดของทั้งลามาร์คและดาร์วินต่างก็ผิดพลาด เนื่องจาก


แนวความคิดของเขาทั้งสองนั้นไปขัดแย้งกับกฎขั้นพื้นฐานที่สำคัญของชีววิทยา ในสมัยนั้นวิชา


พันธุศาสตร์ วิทยาศาสตร์ทางด้านเคมีวิทยาของสิ่งมีชีวิต ตลอดจนจุลชีววิทยายังไม่ได้เป็นส่วน


หนึ่งของสาขาวิชาทางด้านวิยาศาสตร์ กฎแห่งการถ่ายถอดลักษณะทางด้านพันธุกรรมก็ยังไม่เป็น


ที่รู้จักกันในขณะนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งลามาร์คและดาร์วินมีความเชื่อว่าลักษณะพิเศษทาง


พันธุกรรมนั้นสามารถถูกถ่ายถอดได้โดยผ่านทางกระแสเลือด


เนื่องจากความล้าหลังทางด้านวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น จึงไม่ได้ทำให้ทฤษฎีที่ลา


มาร์คและดาร์วินคิดขึ้นมาเป็นสิ่งที่ดูแปลกแต่อย่างใด


ข้อสมมติฐานของดาร์วินมีอิทธิพลต่อแวดวงวิทยาศาสตร์ในสมัยของเขาเป็นอย่าง


มาก แต่อย่างไรก็ตามดาร์วินก็ยังคงมีปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่ในหนังสือของเขาในบทที่เขากล่าวถึง


อุปสรรคของทฤษฎีวิวัฒนาการ ซึ่งดาร์วินได้กล่าวไว้ว่า


"ถ้ามีการพิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตนั้นมีระบบการทำงานที่ซับซ้อน และอวัยวะ


ต่างๆ ที่ช่วยในการปฏิบัติงานที่ซับซ้อนเหล่านั้นมิได้เกิดขึ้นมาตามขั้นตอน


หรือขบวนการวิวัฒนาการ แต่มันเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันในทีเดียว ถ้าเป็น


เช่นนั้นแล้วทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินเองก็จะต้องพังลงอย่างราบคาบ"


(Charles Darwin, The origin of species, 1st, ed, p.189)


และแล้วสิ่งที่ดาร์วินกลัวนี้ก็เกิดขึ้นจริงหลังที่เขาตายไปได้ไม่นาน จากกฎแห่งการ


ถ่ายทอดลักษณะทางด้านพันธุกรรมที่ค้นพบโดยนักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรียนั่นคือ Gregor


Mendel ก็ทำให้สิ่งที่ทั้งลามาร์คและดาร์วินได้กล่าวอ้างไว้ต้องเป็นอันจบลง


จากวิทยาศาสตร์ทางด้านพันธุศาสตร์ที่ได้มีการพัฒนามาในช่วงเริ่มต้นแห่งศตวรรษ


ที่ 20 นี้ ได้พิสูทจน์ให้เห็นแล้วว่าการถ่ายทอดพันธุกรรมไปยังรุ่นถัดๆ ไปนั้นมิได้ถ่ายทอดกันโดย


ผ่านทางลักษณะเฉพาะพิเศษที่ได้รับมาทางด้านร่างกาย หากแต่จะถ่ายทอดโดยผ่านทางยีนส์


เพียงอย่างเดียวเท่านั้น


จากการค้นพบกฎการสืบทอดพันธุกรรมนี่เองที่ทำให้เป็นที่ประจักษ์ว่าความเชื่อจาก


การจินตนาการที่ว่าลักษณะเฉพาะตัวนั้นได้มาโดยการค่อยๆ ก่อตัวสะสมกันมาจากรุ่นหนึ่งไปสู่


จินตนาการของทฤษฎีวิวัฒนาการ


- 15 -



กระทู้ล่าสุด

อานิสงส์ของการถือศีลอ ...

อานิสงส์ของการถือศีลอดหกวันชาวาล

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่ ...

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่านั้น

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี ...

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี่ยวกับการก่อการร้าย

ถ้าพระเจ้าทรงปรานีทุก ...

ถ้าพระเจ้าทรงปรานีทุกสิ่งทำไมความชั่วจึงมีอยู่?