บทความ

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงกล่าวยืนยันว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺเป็นที่สามของสามองค์นั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธ” –ขอความโปรดปรานจากอัลลอฮฺได้มีแก่ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ้อลฯ ครอบครัว และบรรดาสาวกของท่านทั้งหลาย. ข้อเท็จจริงและความเป็นมาของคริสต์ศาสนา เป็นหนังสือเล่มเล็กที่ดร.มุฮัมมัด บินอับดุลลอฮฺ อัสสิฮีมได้เขียนขึ้นโดยอ้างหลักฐานยืนยันจากคัมภีร์ใบเบิลโดยเฉพาะ เพื่อพยายามลบล้างหลักความเชื่อถืออันบิดเบือนของชาวคริสต์ที่เกี่ยวกับการเทิดทูลและยกฐานะความเป็นพระเจ้าให้แก่ท่านศาสดาอีซา บุตรนางมัรยัม –ขอความเมตตาและความสันติสุขจงมีแด่ท่านทั้งสอง- ซึ่งถือเป็นบาปอันมหันต์ซึ่งอัลลอฮฺไม่สามารถให้อภัยได้.


อิสลามไม่อนุมัติให้เคารพยกย่องแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจนเลยเถิด ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับท่านศาสดาอีซา อลัย-ฮิสสาลาม (พระเยซู) ทั่งๆที่ท่านปฏิเสธไม่รู้เห็นด้วย เมื่ออัลลอฮฺทรงสอบสวนพระเยซูในวันอาคิเราะฮฺว่า “อีซาบุตรมัรยัมเอ๋ยเจ้า


พูดแก่ผู้คนกระนั้นหรือว่า จงยึดถือฉันและแม่ของฉันเป็นพระเจ้าสององค์อื่นจากอัลลอฮฺ เขากล่าวว่ามหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ไม่พึงที่ฉันจะกล่าวในสิ่งที่ไม่มีสิทธิ์แก่ฉัน”๕ :๑๑๖ อัลลอฮฺได้กล่าวตอบโต้บรรดาชาวคริสต์ผู้หลงผิดไว้มากมายเช่น “ แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่าอัลลอฮฺคือ อัล-มะซีฮฺบุตรมัรยัมนั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว และอัล-มะซีฮฺได้กล่าวว่า วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย จงเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของฉัน และเป็นพระเจ้าของพวกท่านเถิด แท้จริงผู้ใดได้ตั้งภาคีแก่อัลลอฮฺ แน่นอนอัลลอฮฺจะให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามสาหรับเขา และที่พานักของเขาคือนรก” ๕ : ๗๒


“ โอ้บรรดาผู้รับคัมภีร์ทั้งหลาย เพราะเหตุใดพวกเจ้าจึงสวมความจริงไว้ด้วยความเท็จและปกปิดความจริงไว้ทั้งที่สูเจ้ารู้ดีกันอยู่” ๓ : ๗๑ และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน ๓ : ๘๕


ท่านศาสดาอิบรอฮีม อลัยฮิสสาลามผู้เป็นต้นตระกูลของพระเยซูไม่เคยเป็นยิวและไม่เคยเป็นคริสต์แต่ท่านเป็นผู้ภักดีต่ออัลลอฮฺ ตะอาลาอย่างเคร่งครัด พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างมวลมนุษย์ทั้งหลาย. ดังนั้นจงเคารพภักดีต่อพระองค์องค์เดียวและอย่าตั้งภาคีใดๆสาหรับพระองค์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งชาวมุสลิมและชาวคคริสต์ผู้แสวงหาสัจธรรมความจริง จะได้รับประโยชน์จากหลักฐานข้ออ้างอิงเกี่ยวกับพระเยซูคคริสต์เป็นอย่างดี.ขอพระองค์อัลลอฮฺทรงอภัยแก่ข้าพระองค์ ในข้อผิดพลาดทั้งหลาย แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงกรุณา ผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ .


แท้จริงอัลลอฮฺคือผู้ประทานความสาเร็จ.


อบูยุซรอ อิสมาอีล อะหมัด


ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ คานา มวลการสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิ์แด่ผู้ทรงมิได้ยึดเอาผู้ใดเป็นพระบุตร และไม่มีภาคีใดๆสาหรับพระองค์ในอานาจบริหาร และพระองค์ไม่(จาเป็นต้อง)มีผู้ช่วย(ซึ่งจะสร้าง)ความต่าต้อย(แก่พระองค์) จงกล่าวสดุดีพระองค์ ด้วยการสดุดีที่ยิ่งใหญ่และความสันติสุขอย่างเหลือล้น ข้าพเจ้าขอปฏิฏานตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลออฮฺองค์เดียว ไม่มีภาคีใดๆสาหรับพระองค์ และข้าพเจ้าขอปฏิฏานตนว่ามุฮัมมัดเป้นบ่าวและรอซูล (ผู้สื่อ) ของพระองค์.


นี่เป็นบทความสรุปย่อที่สุด ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะอธิบายชี้ชัดถึงความเป็นมาและข้อเท็จจริงของศาสนาศลิสต์ ซี่งข้าพเจ้าได้เขียนมันขึ้นสาหรับชาวคริสต์ เพื่อพวกเขาจะได้ยึดถือมั่นเคียงข้างสัจธรรมความจริงของหลักความเชื่อที่แท้จริงของพวกเขา และเพื่อให้พวกเขาทราบว่ามันได้เปลี่ยน


กลายเป็นศาสนาแห่งสถานภาพมนุษย์ชาติจากเดิมที่เป็นสาสน์แห่งพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้นาเสนอโดยอาศัยหลักฐานอธิบายข้อเท็จจริงจากคัมภีร์เตารอฮฺ และอิลญีล (ใบเบิล) เพื่อเป็นที่ทราบว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะชี้แนะถึงข้อเท็จจริงและแนะนาความถูกต้องแก่เขา ข้าพเจ้าขอกล่าวด้วยความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺตะอาลาว่า ความเป็นมาของศาสนาคริสต์ คือ สาสน์แห่งพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับสาสน์อื่นๆของพระองค์ที่ถูกประทานลงมาเช่นสาสน์แห่งท่านศาสดานูฮฺ (โนอา) ท่านศาสดาอิบรอฮีม (อับราฮัม) ท่านศาสดามูซา (โมเซซ) – ขอความสันติสุขจงมี่แด่พวกเขาทั้งหลาย .


สาสน์แห่งพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายนั้นต่างก็สอดคล้องกันในความเชื่อพื้นฐานของศาสนา เช่นศรัทธาว่าพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) มีองค์เดียว ไม่มีหุ้นส่วนใดๆสาหรับพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงประสูติ (คือไม่มีบุตรธิดา) และ พระองค์ ไม่ถูกประสูติ (คือไม่มีบิดามารดา) และศรัทธาต่อบรรดามลาอิกะฮฺ (ทูตสวรรค์) – วันสิ้นโลก –กฎกาหนดแห่งพระผู้ทรง


สร้าง ทั่งดีและชั่วของมัน – และศรัทธาต่อบรรดาศาสนาทูตผู้สื่อและบรรดาศาสดา โดยไม่เคยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์จากยุคสมัยท่านศาสดาอดัม – ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน – จนกระทั่งยุคสมัยศาสดาท่านสุดท้ายมุฮัมมัด ศ้อลฯ เลยว่าสาสน์แห่งพระผู้ทรงสร้างที่ได้ถูกประทานลงมานั้นขัดแย้งกับหลักความเชื่อดังกล่าว แต่ทว่าความแตกต่างของมันทั้งสองเกี่ยวกับการทาความภักดีในรูปแบบต่างๆกิริยาท่าทางของมัน-ประเภทสิ่งที่ต้องห้ามและอนุมัติทั้งหลาย -สาเหตุของมัน และนอกจากนั้นเป็นบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ที่ทรงได้กาหนดแก่บรรดาท่านศาสดาของพระองค์ โดยบัญชาใช้ให้พวกเขานาไปแจ้งแก่ชนชาติของท่าน.


ดังนั้นศาสนาคริสต์จึงเป็นศาสนาแห่งสาสน์ของพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ที่ได้เรียกร้องสู่การทาความภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) องค์เดียว ปราศจากภาคีหุ้นส่วนใดๆสาหรับพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงประสูติและไม่ถูกประสูติ และย้าถึงศาสนทูตผู้สื่อและศาสดาที่พระองค์ทรงเลือกสรรพวกเขาจากบรรดามวลมนุษย์ชาติ เพื่อเผยแผร่สาสน์


ของพระองค์ต่อมนุษย์ทั้งปวงเพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีข้ออ้างใดๆภายหลังท่านศาสนทูตผู้สื่อได้ถูกส่งมายังพวกเขา.


คาถามสมมติในตัวของมันคือปัจจุบันนี้ศาสนาคริสต์ยังจะคงหลงเหลืออยู่ในรูปแบบที่พระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ)ได้ทรงประทานให้แก่บ่าวและศาสดาผู้สื่อของพระองค์อีซา อาลัยฮิสสาลาม (เยซูคริสต์) –ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-หรือไม่?


คาตอบสาหรับคาถามนี้คือเราจาต้องนาเสนอชี้ชัดถึงข้อเท็จจริงของมันในปัจจุบันนี้และแสดง(เปรียบเทียบ) กับสิ่งที่เรานามาอ้างอิงจากคัมภีร์โตรอฮฺและใบเบิลเกี่ยวกับท่านศาสดาโมเสสและท่านศาสดาเยซู – ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่านทั้งสอง เพื่อดูว่าความเป็นมาและข้อเท็จจริงมันสอดคล้องกันหรือเปล่า? และตัวบทอ้างอิงเกี่ยวกับท่านศาสดาทั้งสองสนับสนุนหลักความเชื่อที่เป็นอยู่ของชีวิตชาวคริสต์หรือไม่อย่างไร? และสิ่งที่เรานามายืนยันเกี่ยวกับชีวิตท่านศาสดามะซีฮฺ-เยซู –ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ในหนังสือเล่มนี้ตรงกับภาพพจน์ที่โบสถ์คริสต์ได้วาดไว้แก่บุคลิกภาพท่านศาสดา


เยซูหรือไม่? ท่านจะเห็นว่าบุคลิกภาพตามประวัติที่กล่าวเล่ามานี้นั้น ยากต่อสติปัญญาและความคิดจะยอมรับได้เลย และจะเป็นจริงไปไม่ได้เลย หลักความเชื่อข้อแรกก็คือ ๑- ชาวคริสต์เชื่อศรัทธาว่า ท่านมาซีฮฺ – พระเยซูคริสต์ - เป็นบุตรของพระเจ้า.


ไม่มีหลักฐานข้ออ้างใดๆจากคากล่าวของท่านศาสดาเยซู-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ที่สนับสนุนความเชื่อดังกล่าว แต่ทว่าเราจะพบว่าทั้งในคัมภีร์โตรอฮฺและใบเบิลเต็มไปด้วยข้อโต้แย้งต่อหลักความเชื่อข้อนี้และขัดแย้งกันมากดังที่มีปรากฏในคัมภีร์ใบเบิล บทโยฮานา ๑๙ โองการที่ ๖-๘ ว่า เมื่อบาทหลวงผู้นาโบส์ถและผู้รับใช้เห็นเขา พวกเขากล่าวร้องออกมาว่า “ แขวนเขา แขวนเขา บีลาติสจึงได้กล่าวว่า พวกท่านเอาตัวเขาไปแขวน เพราะข้าไม่เห็นว่าเขาบกพร่องอะไรเลย ชาวยิวกล่าวตอบว่า เรามีสายลับซึ่งแจ้งให้เราทราบว่าเขาควรตาย เพราะเขาทาตนเป็นบุตรพระเจ้า (อัลลอฮฺ) ท่านมัดทายได้เขียนใบเบิลของเขาในบทที่หนึ่งโองการที่หนึ่ง ซึ่งกล่าวอ้างถึงพระเยซู –ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน- เขากล่าว


ว่า (หนังสือที่กล่าวถึงเรื่องราวการกาเนิดท่านโยชูวา มาซีฮฺบุตร ท่านเดวิด บุตรท่านอับรอฮัม) นี่เป็นสายสืบเครือญาติเผ่าตระกูล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นมนุษย์ และขัดแย้งกับข้ออ้างที่ว่าท่านทรงคุณลักษณะเป็นพระเจ้า เสมือนข้าได้กล่าวแก่ท่านว่า “เขาได้เรียกขานและให้คุณลักษณะท่านมาซิอาว่า เป็นบุตรพระเจ้า (อัลลอฮฺ) เหตุนี้เขาจึงถูกเรียกว่า บุตรของพระเจ้า ฉะนั้นข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบว่า แท้จริงคุณลักษณะนี้ได้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ของท่านโดยใช้เรียกท่านศาสดาอื่นๆและแจ้งถึงคุณลักษณะของประชาชาติและเผ่าพันธ์ต่างๆ มันไม่ได้ถูกใช้เฉพาะสาหรับท่านมาซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน – เท่านั้น เราสามารถยืนยันได้เช่นว่า คูรูส บทที่๔ โองการที่ ๒๒บทเพลงสรรเสริญ บทที่ ๒ โองการที่ ๗ และประถมฤกษ์ บทที่ ๒๒ โองการที่ ๙-๑๐ มัดทายบทที่ ๕ โองการที่ ๙ลูกาบทที่ ๓ โองการที่ ๓๘ โยฮานาบทที่ ๑ โองการที่ ๑๒ โองการเหล่านี้ได้บอกถึงลักษณะพวกเขาว่าต่างเป็นบุตรของพระเจ้า แต่มิได้ถูกยกฐานะเช่นที่พวก


ท่านได้ยกฐานะให้แก่ท่านมะซีฮฺ –ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน.


ปรากฏเช่นกันในคัมภีร์ใบเบิลโยฮานาบทที่๑ โองการที่๑๒ ซึ่งได้มีการอธิบายคาจากัดความบอกถึงคุณลักษณะของ”พระบุตร”ว่ามันมีความหมายว่า “ผู้ที่ศรัทธาต่อพระเจ้า” โดยท่านได้กล่าวว่า (ส่วนบรรดาผู้ที่ได้พบเห็นเขา เขาได้มอบอานาจหน้าที่ให้แก่พวกเขา เพื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นจะได้กลายเป็นบุตรของพระเจ้า คือศรัทธาต่อพระนามของพระองค์.)


๒. ชาวคริสต์มีความเชื่อว่าท่านมาซีฮฺ-ขอความสันติจงมีแด่ท่าน-เป็นเจ้าคู่เคียงพระผู้เป็นเจ้าใช่แต่เฉพาะเท่านั้น เขายังเป็นที่สองของตรีเอกานุภาพที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย.


เมื่อเราเปิดดูพื้นฐานในพันธสัญญาใหม่โดยละเอียด เราจะพบว่าไม่มีคากล่าวใดๆของท่านมะซีฮฺที่พาดพิงและเรียกร้องสู่พื้นฐานความเชื่อดังกล่าวเลย ซึ่งเป็นเรื่องคาดไม่ถึงเลยว่าในระหว่างหน้าพับกระดาษของพันธสัญญาใหม่เหล่านี้นั้นจะมีตัวบทที่ปฏิเสธความเชื่อนี้ ซึ่งประกาศแจ้งอย่าง


ชัดเจนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ ท่านมาซีฮฺเป็นบ่าว และศาสนทูตของพระองค์ พระองค์ทรงส่งเขาไปยังเผ่าพันธ์อิสราอีล เป็นผู้ยืนยันในคัมภีรเตารอฮฺและอินญีล เราขอนาเสนอตัวบทเหล่านี้ซึ่งสนับสนุนคากล่าวของข้าพเจ้า ก. ท่านมาซีฮฺ -ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ได้กล่าวไว้ในใบเบิลบัรนาบาสบทที่๙๔ โองการที่๑ว่า “แท้จริงข้าเป็นพยานต่อหน้าชั้นฟ้า และข้าเป็นพยานต่อทุกสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่บนพื้นภิพบนี้ว่าข้าบริสุทธิ์ต่อสิ่งที่พวกเขา –มนุษย์- กล่าวอ้างให้แก่ข้าที่ว่าข้ายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์เพราะข้าเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาเป็นบุตรของหญิง ผู้ซึ่งจะต้องประสพกับกฎกาหนดของพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ข้ามีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับมนุษย์อื่นๆ (คือ)ต้องประสพกับความทุกข์ยากต่างๆ


ข. ลูกาและกะลีโยบาสได้กล่าวยืนยันว่าท่านมาซีฮฺเป็นมนุษย์ธรรมดาโดยทั้งสองกล่าวว่า “ทุกวันนี้ไม่ทราบอะไรเกิดขึ้นกับเรื่องของท่านมาซีฮฺ –ผู้ซึ่งเป็นมนุษย์ ผู้ทรงสัจจะในคากล่าวและการกระทาจากพระผู้เป็นเจ้า” ลูกา บทที่๒๔


โองการที่๑๙ ดู ลูกาบทที่๗ โองการที่ ๑๙ อัครทูตบทที่ ๒ โองการที่ ๒๒ ค. คากล่าวของท่านมาซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน “ และนี่เป็นชีวิตที่ยั่งยืนพวกเขาจาต้องทราบว่าพระองค์ท่านคือพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเพียงองค์เดียวและยาซูอฺเป็นผู้ที่พระองค์ทรงส่งเขามา” โยฮานา ๑๗ โองการที่ ๓


ท่านเห็นแล้วว่าท่านมะซีฮฺ – ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ได้กล่าวสาบานยืนยันต่อหน้าชั้นฟ้าและสรรพสิ่งบนพื้นแผ่นดินในตัวบทแรกว่าท่านบริสุทธิ์จากทุกสิ่งที่พวกเขาบอกให้ลักษณะแก่ท่านและยกท่านเหนือฐานะของความเป็นมนุษย์ นั้นไม่ใช่เพราะอื่นใด? ก็เพราะว่าท่านเป็นมนุษย์.


ในตัวบทที่สอง ผู้ช่วยท่านมาซิฮฺทั้งสองได้ยืนยันว่าท่านมาซีฮฺเป็นผู้ทรงสัตย์ ในคากล่าวและการกระทาของท่านจากพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ)


ในตัวบทที่สาม หมายถึงการประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนถึงความยิ่งใหญ่อันแท้จริงของสากลจักรวาลนี้ที่บันดาลความสุขอันยั่งยืนแก่เจ้าของมัน คือการยอมรับรู้ว่าพระเจ้า


(อัลลอฮฺ) ทรงเป็นเจ้าที่แท้จริงและเจ้าย่อยอื่นจากพระองค์คือเจ้าจอมปลอม มดเท็จทั้งเพ และท่านยาซูอฺ มะซีฮฺเป็นรอซูลศาสดาผู้สื่อของพระองค์.


๓. ชาวคริสต์ศรัทธาเชื่อว่าพระเจ้าทรงแปลงร่างอยู่ในมนุษย์.


เมื่อเรานาเอาคาสั่งสอนของท่านมะซีฮฺ – ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน – มาแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เราก็จะพบว่าท่านไม่เคยกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย ตรงกันข้ามท่านได้สั่งสอนเกี่ยวกับหลักความเชื่อแห่งเอกภาพอันบริสุทธิ์ ปราศจากความเปรอะเปื้อนของภาคีหุ้นส่วน (ชิรกฺ) ใดๆ ปรากฏชัดเจนจากหลักฐาน ดังคากล่าวของท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน- ดังนี้ (จงฟังข้าดังนี้ ! ชนชาติอิสรออีลเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าของเราคือ พระเจ้าองค์เดียว) มัรกิซบทที่ ๑๒ โองการที่ ๒๙ หากเราเอาหลักฐานที่แสดงให้เห็นในวรรคที่สามมาผนวกเสริมกับหลักฐานนี้ด้วยแล้วท่านก็จะพบความจริงว่าหลักฐานอ้างอิงต่างๆที่ถูกนามาจากพระคัมภีร์ใบเบิลอันบริสุทธิ์ของ


ท่านนั้นจะให้การสนับสนุนต่อความเชื่อนี้หรือขัดแย้งและปฏิเสธมัน?


๔. ชาวคริสต์เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ประกอบขึ้นด้วยสามองค์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า “หลักตรีเอกานุภาพ ”


ความเชื่อดังกล่าวข้างต้นได้ทาให้ศาสนาคริสต์ถูกแยกออกจากบรรดาศาสนาต่างๆที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานมา ถามว่าคัมภีร์ใบเบิลได้สนับสนุนในข้อนี้หรือโต้แย้ง? หากเราจะไตร่ตรองจากคาบอกเล่าเกี่ยวกับลักษณะท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ที่เรานามาอ้าง เราก็จะพบว่าพื้นฐานแห่งสาสน์ของท่านได้เรียกร้องสู่การมีเอกภาพ ออกห่างจากการเปรียบเทียบกับสรรพสิ่งถูกสร้างของพระองค์ มิให้ฐานะความเป็นเจ้าแก่อื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และบรรลุสู่การภักดีต่ออัลลอฮฺองค์เดียว ท่านจงกลับไปพิจารณาถึงหลักฐานต่างๆที่ข้าพเจ้าได้นามาแสดงให้ท่านเห็นในวรรคที่สองและที่สาม ในแง่หนึ่ง ท่านจะพบว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้นามากล่าวถึงปราศจากการผสมผสานหรือคลุมเครือแต่อย่างใด อีก


แง่หนึ่ง ชาวคริสต์ผู้บิดเบือนกล่าวอ้างว่าพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) มีสามองค์อย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือพระบิดาเป็นเจ้าแรก พระบุตรเป็นเจ้าสอง พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเจ้าสาม นี่เป็นเรื่องมดเท็จ เพราะพวกเขาเชื่อว่าพระวิญญาณได้ถูกแยกส่วนออกจากพระบิดาและพระบุตร ในลักษณะเดิมพระเจ้าสามองค์นี้ไม่สามารถที่จะเท่าเทียมกันได้ และองค์ที่สามได้แยกออกจากองค์ที่สองก่อนนี้ ในขณะที่ทุกองค์นั้นมีลักษณะเฉพาะ ไม่สามารถให้คุณลักษณะเช่นนี้แก่องค์อื่นได้ พระบิดาจะอยู่ในฐานะแรกเสมอ ต่อจากนั้นพระบุตร และพระวิญญาณอยู่ในระดับที่สาม พวกเขาไม่เห็นด้วยเลยที่จะเปลี่ยนการจัดระดับตรีเอกานุภาพนี้ใหม่ เช่นให้พระวิญญาณอยู่ในระดับแรก พระบุตรอยู่ในระดับที่สอง และพระบิดาอยู่ในระดับที่สามทว่าพวกเขาถือว่าการทาเช่นนั้นเป็นการปฏิเสธออกนอกศาสนา ฉะนั้นความเสมอภาคอยู่ที่ไหน ?!


อีกแง่หนึ่ง การให้คุณลักษณะเฉพาะพระวิญญาณเท่านั้นที่บริสุทธิ์ แสดงให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกัน.


๕.ชาวคริสต์มีความเชื่อว่าท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน- ถูกพวกยิวนาไปแขวนและสิ้นชีพบนไม้กางเขน ซึ่งเป็นคาสั่งของ บีลาตีส อัล บันตี และคัมภีร์ใบเบิลได้ประกันต่อความมดเท็จของความเชื่อดังกล่าวนี้ ดังมีปรากฏในคัมภีร์ของท่านว่า ผู้ที่ถูกแขวนบนไม้กางเขนนั้นคือผู้ถูกสาปแช่ง มีปรากฏอยู่ในบทเพลงสรรเสริญบทที่ ๒๒ โองการที่ ๒๓ (เมื่อมนุษย์มีความผิดโทษทัณฑ์ของเขาคือความตาย ฉะนั้นต้องถูกฆ่าแขวนบนไม้ หากศพผู้นั้นไม่ยึดอยู่บนไม้ให้ฝังเขาในวันนั้น เพราะว่าคนถูกแขวนนั้นคือคนถูกสาปแช่งจากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อไม่ให้แผ่นดินที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานแก่เจ้าได้เปรอะเปื้อน) ลองพิจารณาดูซิว่าพระเจ้าของพวกท่านถูกสาปแช่งได้อย่างไร?!! นี่เป็นตัวบทจากคัมภีร์ของพวกท่าน.


เราพบในคัมภีร์ใบเบิลอีกที่ได้ระบุไว้ในลูกา บทที่ ๔ โองการที่ ๒๙ - ๓๐ ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงได้ปกป้องรักษาท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-จากแผนประทุษร้ายของพวกยิว. พวกเขาจึงไม่สามารถแขวนท่านบนไม้กางเขนได้


(พวกเขาเหล่านั้นได้นาเขา (คือมะซีฮฺ) ออกนอกเมือง จนกระทั่งนาเขามาถึงเขตแดนแห่งภูเขา ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งเมืองของพวกเขาแล้วพวกเขาก็ได้โยนเขาลงไปเบื้องล่าง ส่วนตัวเขาได้เดินผ่านท่ามกลางพวกเขาหายไป) ท่านโยฮานาได้กล่าวในบทที่ ๘ โองการที่ ๕๙ ว่า (พวกเขาได้หยิบก้อนหินขึ้นขว้างเขา ส่วนยาซูอฺได้หลบซ่อนตัวและได้ออกไปจากโครงร่าง ท่ามกลางพวกเขาพ้นไปเช่นนี้) ท่านโยฮานาได้กล่าวในบทที่ ๑๐ โองการที่ ๓๙ ว่า (พวกเขา -ทหารโรมันได้ขอร้องให้จับตัวเขา ดังนั้นเขาจึงรอดพ้นจากเงื้อมมือพวกเขา(


ตัวบทพระคัมภีร์ดังกล่าว –นอกจากนี้ยังมีอีกมาก – ได้ระบุยืนยันว่าพระเจ้า (อัลลอฮฺ) ได้ทรงปกป้องท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน- จากแผนการร้ายและความเกียจชังของพวกยิวชั่ว ทว่ายังมีตัวบทที่ระบุยืนยันว่าพวกยิวไม่สามารถทราบถึงบุคลิคภาพของท่านมะซีฮฺจึงได้ว่าจ้างคนให้นาทางติดตามไล่ล่าหาตัวเขา ด้วยการให้ค่าจ้างตอบแทน (ดู มัดทายบทที่ ๒๗ โองการที่ ๓-๔(


๔.ท่านมะซีฮฺ –ขอความสันติสุขจงมีแก่ท่าน- ได้แจ้งให้ทราบว่าพวกฝูงชนได้เกิดมีความสงสัยต่อข่าวคราวของท่านในค่าคืนที่เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้น ดังท่านได้กล่าวว่า (พวกท่านทุกคนจะสงสัยในค่าคืนนี้) มัรกูศ บทที่ ๑๔ โองการที่ ๒๗ ฉะนั้นอะไรคือจุดจบของท่านมะซีฮฺบนพื้นแผ่นดินนี้? พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยกท่านขึ้นสู่เบื้องบนยังพระองค์ นี่ก็เป็นหลักฐานจากพระคัมภีร์ใบเบิลของพวกท่าน (แท้จริงยาซูอฺ คนนี้แหละที่ได้ถูกยกขึ้นไปจากท่านสู่ชั้นฟ้า) กิจการอัครทูตบทที่ ๑ โองการที่ ๑๑ และในมัดทายบทที่ ๔ โองการที่ ๖ และลูกาบทที่ ๔ โองการที่ ๑๐-๑๑ กล่าวว่า (ได้ถูกกาหนดว่าพระองค์ท่านทรงได้สั่งใช้ให้บรรดามลาอิกะฮฺ –ทูตสวรรค์ อยู่กับเขา และด้วยมือของพวกเขาได้ยกเขา (มะซีฮฺ) ขึ้น.


ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่าคัมภีร์ของพวกท่านได้นาข้อเท็จจริงดังนี้มาเสนออย่างไร?


๑) ผู้ที่ถูกแขวนตรึงบนไม้กางเขนคือผู้ถูกสาปแช่ง.


๒)พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ปกป้องรักษาท่านจากการถูกตรึงบนไม้กางเขน ๓)ท่านมะซีฮฺได้บอกว่าฝูงชนจะเกิดความสงสัยเกี่ยวกับตัวท่านในค่าคืนนั้น ๔)พระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺตะอาลา) ได้ยกท่านยังพระองค์.


ตอนนี้เรามาตั้งคาถามดูว่าอะไรคือสาเหตุและเงื่อนงาของไม้กางเขนที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ในเมื่อมันเป็นเหตุของภัยพิบัติที่มีต่อตัวท่านมะซีฮฺ –ขอความสันติสุขจงมีแก่ท่าน- ดังที่ท่านทั้งหลายเชื่อถือ? มันมิใช่เป็นการราลึกถึงอาชญากรรมที่พวกยิวได้ก่อขึ้นหรือ? มันไม่ใช่สัญญานและหลักฐานอาชญากรรมหรือ? ท่านไม่เห็นหรอกหรือว่าเหตุการณ์ร้ายแห่งไม้กางเขนเกี่ยวเนื่องกับท่านมะซีฮฺเช่นไร? และทาไมท่านถึงต้องให้ความสาคัญเป็นพิเศษต่อความเชื่อนี้?


หากท่านยังจะพึงพอใจอยู่กับความเชื่อนี้อีก ท่านจงตอบด้วยความสัตย์จริงต่อข้อซักถามเหล่านี้ซิว่า?


ใครเป็นผู้บริหารกิจการแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดินในขณะที่พระเจ้าและผู้ทรงสร้างของมันถูกแขวนอยู่บนไม้กางเขน?


ท่านจะจินตนาการอย่างไรถึงการมีอยู่ของสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายสามวันโดยปราศจากเจ้าผู้ทรงบริหารกิจการและทรงรักษาดูแลมันไว้อย่างมั่นคง?


ใครคือผู้ทรงอานาจจัดการจักรวาล ดวงดาวต่างๆที่มันโคจรตามที่พระองค์ทรงประสงค์ ใครเป็นผู้ประทานเครื่องยังชีพแก่ชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย สภาพของการมีอยู่จะเป็นเช่นไร ต่อเมื่อพระผู้อภิบาลของมันอยู่ในหลุมศพ?


ใครคือผู้ให้มันตาย และใครคือผู้ให้ชีวิต? พระองค์อัลลอฮฺทรงสูงส่งยิ่งกว่าที่พวกเขากล่าวอ้าง.


ชาวคริสต์เชื่อว่าท่านมะซีฮฺได้ตายบนไม้กางเขนทั้งนี้เพื่อปกป้องและไถ่บาปมวลมนุษย์ชาติที่เป็นมรดกตกทอดกันมา.


หลักความเชื่อเช่นนี้เป็นข้ออ้างที่ขัดแย้งกับหลักตรรกวิทยาและสติปัญญามนุษย์ ขัดแย้งต่อหลักพื้นฐานและตัวบทหลักของพระคัมภีร์ของพวกท่านดังนี้ (๑) บิดาจะไม่ถูกลงโทษฆ่าแทนบุตร (๒) ทุกชีวิตจะต้องตายด้วยบาปกรรมของมัน (๓) ชีวิตที่ผิดพลาดจะต้องตาย (๔) พระผู้เป็นเจ้า ทรงยอมรับการขอลุหโทษของบรรดาผู้กลับตัว.


สาหรับหลักฐานตัวบทพระคัมภีร์ที่ปรากฏตามหลักฐานดังกล่าวคือ (๑)บิดาจะต้องไม่ถูกฆ่าแทนบุตร และบุตรก็จะต้องไม่ถูกฆ่าแทนบิดา มนุษย์ทุกคนจะถูกนาไปฆ่าด้วยความผิดที่เขาได้ก่อกรรมขึ้น (บทเพลงสรรเสริญ บทที่ ๒๔ โองการที่ ๑๖(


)๒) ในวันนั้นพวกเขาจะไม่กล่าวภายหลังจากที่บิดาของพวกเขาได้กินผลองุ่นว่าฟันของลูกๆของเขาเป็นภัยร้าย แต่ทว่าทุกชีวิตจะตายด้วยบาปกรรมของเขา มนุษย์ทุกคนที่กินผลองุ่น


ฟันของเขาเองเป็นภัย (บทเพลงร้องทุกข์อิระมะยาบทที่ ๓๑ โองการที่ ๒๙-๓๐ )๓) และพวกเจ้ากล่าวว่าทาไมเล่าบุตรจึงไม่แบกภาระบาปกรรมของบิดา ส่วนบุตรได้กระทาในสิ่งที่ถูกต้องและเที่ยงธรรม รักษาไว้ซึ่งกฎข้อบังคับ และได้กระทามัน ชีวิตเขาก็จะยั่งยืน ชีวิตใดที่มีบาปก็จะตายจากไป บุตรจะไม่แบกภาระบาปกรรมของบิดา และบิดาก็จะไม่แบกภาระบาปกรรมของบุตร คุณธรรมก็จะได้แก่ผู้ทาความดีงาม ความชั่วช้าก็จะได้แก่ผู้ทาความชั่ว (ทาชั่วได้ชั่วทาดีได้ดี-ผู้แปล) หากคนชั่วกลับตัวจากบาปกรรมทั้งหลายที่ได้กระทาขึ้น และรักษาไว้ซึ่งกฎข้อบังคับ ได้ปฏิบัติตามความถูกต้องและเที่ยงธรรม ชีวิตเขาก็จะยั่งยืน ไม่ตาย การฝ่าฝืนของพวกเขาทุกอย่างที่ได้ก่อกรรมขึ้น จะไม่ถูกนามากล่าวถึง ในความดีงามของเขา (ฮัซ กียาล บทที่ ๑๘ โองการที่ ๑๙-๒๒ ๗ การรัปทานอาหารมื้อสุดท้าย


เมื่อมัดทายและมัรกุตได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระกระยาหารค่าขององค์เจ้า เขาทั้งสองไม่ได้ระบุในเรื่องดังกล่าวว่า


เป็นคาสั่งใช้ของท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-ให้กิจการนี้เป็นการทาความภักดีทางศาสนาตลอดไปเมื่อกลับไปดูเรื่องนี้ในใบเบิลทั้งสอง ท่านจะพบในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้อ้างถึง.


แต่ทว่าท่านปอลส์ประสงค์ที่จะยึดเอาการทาความภักดีนี้ตลอดไป ท่านจึงได้เพิ่มประโยคที่ต่อเนื่องขึ้นว่า”พวกเจ้าจะทาให้มันเป็นการราลึกถึงข้า”ในเรื่องราวนั้น ซึ่งเป็นสาสน์ฉบั้บแรกที่มีไปถึงชาวโกรนิษูส บทที่ ๑๑ โองการที่ ๒๔ นี่คือความเป็นมาและข้อเท็จจริงของศาสนาคริสต์ เป็นข้อเท็จจริงที่ข้าพเจ้าประจักษ์เห็น ซึ่งมิได้มีความผูกพันธิ์ใดๆ กับท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-นอกจากการอ้างชื่อโดยปราศจากพื้นฐานทางศาสนาและประวัติศาสตร์.


แต่ทว่าคัมภีร์ใบเบิลของชาวคริสต์ได้นาเอาตัวบทที่อ้างถึงการสืบเชื้อสายถึงท่านมะซีฮฺ–ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-


ซึ่งขัดแย้งและปฏิเสธความเชื่อพื้นฐานและการสนับสนุนอันสาคัญยิ่งของศาสนาคริสต์ มนุษย์ผู้มีสติปัญญาย่อมจะต้องหยิ่งในความมดเท็จและหนี้จากความโง่เง่า หวังว่าท่านจะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้มีสติปัญญาเหล่านั้นซึ่งได้ผละหนี้จากข้อเท็จจริงอันขมขื่นนี้และรับเอาความยากลาบาก การถูกเหยียดหยาม เพื่อค้นหาสัจธรรมความจริง-หลักฐานข้อเท็จจริง และความปรารถนาที่จะบรรลุสู่ความจริง ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะไม่ล่วงเกินพระคัมภีร์ของพวกท่าน เพราะมันก็มีสิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นสัจจะ และชี้นาท่านสู่ความถูกต้อง ท่านมิได้กล่าวในคาสวดของท่านหรอกหรือว่า “เพื่อความบริสุทธิ์ของชื่อท่าน ทูตสวรรค์ของท่านจะมา” (มัดทาย บทที่๖ โองการที่ ๙-๑๐ ) ตราบจนปัจจุบันหรือที่ท่านได้รอคอยแล้วกล่าวว่า “ทูตสวรรค์ของท่านจะมาปรากฏ” ทูตสวรรค์นี้ยังไม่มาหรือ? หากว่าเขาได้ถึงมาแล้วและได้บรรลุตามความประสงค์แล้ว ทาไมเล่าพวกท่านจึงได้ร้องขอด้วยถ้อยคาสวดมนต์เช่นนี้อีกต่อไป.


แท้ที่จริงทูตสวรรค์นั้นได้กาเนิดขึ้นแล้วและบรรลุถึงด้วยการมาของศาสดาผู้สื่อผู้ซึ่งท่านมะซีฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน-เคยได้แจ้งข่าวดีไว้ได้เกิดขึ้นสมจริงแล้ว เขาจึงกล่าวว่า( บารกอลีต ผู้ซึ่งบิดาของข้าจะได้ทรงส่งเขามาในช่วงปลายศตวรรษ เขาจะสอนบอกแก่เจ้าทุกอย่าง) โยฮานา บทที่ ๑๔ โองการที่ ๒๖ และท่านกล่าวว่า (และเมื่อไรที่ บารกอลีต- ศัพท์ภาษากรีกแปลว่าผู้ได้รับการสรรเสริญ ตรงกับภาษาอาหรับว่าอะหมัดซึ่งเป็นชื่อหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัดศ้อลฯ -ผู้แปล. ผู้ซึ่งฉันจะส่งเขามายังท่านจากพระบิดาวิญญาณอันทรงธรรมจากผู้ซึ่งแยกออก เขาจะเป็นพยานให้แก่ฉัน) โยฮานา บทที่ ๑๕ โองการที่ ๒๖ และใครเล่าทีเป็นผู้ยืนยันแก่สาสน์ของท่านมะซีฮฺโดยทาให้มันบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกยิวได้เสริมแต่งขึ้นนอกเหนือจากท่านศาสดามุฮัมมัดศ้อลฯ?


ท่านมะซีฮฺได้กล่าวด้วยว่า (แท้จริงฉันมีเรื่องมากมาย ที่จะบอกแจ้งแก่ท่าน แต่พวกท่านไม่สามารถที่จะคาดคะเนได้ในขณะนี้ ส่วนเมื่อไรที่เขาคนนั้นวิญญาณอันบริสุทธ์ได้มาถึง เขาจะชี้นาท่านสู่สัจธรรมความเป็นจริงทั้งหลาย เพราะเขาจะ


ไม่พูดด้วยตัวเอง แต่ทว่าทุกสิ่งที่ได้ยินเขาพูด เขาจะบอกให้ท่านทราบถึงเรื่องราวเหล่านี้ คนนั้นยกย่องสรรเสริญข้า เพราะเขานามาจากข้าและบอกให้ท่านรู้) โยฮานาบทที่ ๑๖ โองการที่ ๑๒ -๑๔ ฉะนั้นท่านศาสดามุฮัมมัดศ้อลคือผู้ที่ท่านมะซีฮฺได้กล่าวชี้ถึง เขาคือผู้ที่ชี้แนะมนุษย์สู่สัจธรรมความจริงทั้งหลาย เพราะเขาก็ไม่ได้พูดด้วยตัวเขาเอง เนื่องจากเขาจะไม่พูดออกมาด้วยอารมณ์ แท้ที่จริงมันไม่ใช่อื่นใดนอกจากเป็นการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า.


ฉะนั้นมาซิมา ปฏิบัติตามบารกอลีตผู้ซึ่งท่านมะซิฮฺ-ขอความสันติสุขจงมีแก่ท่านได้กล่าวชี้แนะไว้กับท่าน และบารกอลีตคนนี้แหละที่ท่านศาสดามูซาอลัยฯ (โมเสส) เคยได้บอกแจ้งข่าวดีไว้ เมื่อท่านได้กล่าวในบทเพลงสรรเสริญบทที่ ๑๘ โองการที่ ๑๘ (ศาสดาได้ถูกแต่งตั้งสาหรับพวกเขาจากในหมู่พี่น้องพวกของเขา เช่นเดียวกับท่าน ข้าได้ทาให้คาพูดของข้าอยู่ในปากของเขา ฉะนั้นเขาพูดออกมาทุกสิ่งทีข้าสั่งเขา) พี่น้องของเผ่าชนอิสรออีลคือเผ่าชนอิสมาอีล และไม่มีศาสดาคนใดที่มาจากเผ่าชนอิสมาอีลนอกจากท่านศาสดามุฮัมมัดศ้อล



กระทู้ล่าสุด

ความแข็งกระด้างของหัว ...

ความแข็งกระด้างของหัวใจ

ข้อคดิ จากสูเราะฮอฺ ั ...

ข้อคดิ จากสูเราะฮอฺ ัล-หิจญ์รฺ อายะฮทฺ ี่ ๔๕

ห้ามเยาะเย้ยดูถูกผู้อ ...

ห้ามเยาะเย้ยดูถูกผู้อื่น

ความวุ่นวายและการทดสอ ...

ความวุ่นวายและการทดสอบ แห่งโลกดุนยา