บทความ




หนึ่งบทใคร่ครวญกับอายะฮฺ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่ากล่าวว่า “รออินา”  แต่จงกล่าวว่า “อุนซุรนา”





ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ


หนึ่งบททบทวนกับอายะฮฺ :


โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่ากล่าวว่า “รออินา”  แต่จงกล่าวว่า “อุนซุรนา”





มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ ความจำเริญและความศานติจงมีแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺองค์เดียว โดยไม่มีภาคีใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่าท่านนบีมุหัมมัดคือบ่าวและศาสนทูตของพระองค์


อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา  ทรงแนะนำมารยาทที่ดีงามในการปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่มีตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่และสถานะอันสูงส่ง และดำรงซึ่งความประเสริฐกว่ามนุษย์คนอื่นๆนั่นคือ “ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม” สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาอายะฮฺนี้


﴿يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ لَا تَقُولُواْ رَٰعِنَا وَقُولُواْ ٱنظُرۡنَا وَٱسۡمَعُواْۗ وَلِلۡكَٰفِرِينَ عَذَابٌ أَلِيمٞ ١٠٤﴾ (البقرة : 104)


ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่ากล่าวว่า “รออินา” แต่จงกล่าวว่า “อุนซุรนา” และจงฟังสิ่งที่ได้ถูกกล่าวไป สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (สูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ : 104)





ในอายะฮฺข้างต้นนี้อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ได้กล่าวถึงพฤติกรรมของวงศ์วานบนีอิสรออีลโดยเฉพาะชาวยิวเผ่าบนี กุร็อยเซาะฮฺ, บนีนะฎีรฺ และบนี ก็อยนูกออฺ ซึ่งเป็นยิวที่อัลกุรอานมักจะกล่าวถึงเป็นบ่อยครั้ง และเป็นชาวยิวที่อาศัยอยู่ในบริเวณเมืองมาดีนะฮฺร่วมกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งพระองค์ได้เปิดเผยให้ผู้ศรัทธาได้รับรู้ถึงเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังคำพูดและการกระทำของพวกเขา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการตักเตือนผู้ศรัทธาให้ระวังถึงความชั่วร้ายและเล่ห์เหลี่ยมเของชาวยิวที่มีต่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม และบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย


ด้วยพฤติกรรมที่จองหองและก้าวร้าวของชาวยิวที่ไม่ตอบรับและศรัทธาในการเป็นศาสนทูตของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  พวกเขาจึงพยายามแสวงหาทุกวิถีทางเพื่อขัดขว้างและยับยั้งการเผยแผ่สาสน์ของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  จึงทำให้การใส่ร้ายป้ายสี การโจมตี การหักหลังและร่วมมือกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา รวมทั้งการแสดงมารยาทที่ต่ำทรามต่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม นั้นจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง


ท่านสัยยิด กุฏุบ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “อายะฮฺนี้ได้เริ่มต้นด้วยกับการกล่าวกับบรรดาผู้ศรัทธาโดยตรงว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย” ซึ่งอัลลอฮฺทรงเรียกพวกเขาด้วยคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากผู้อื่น คือคุณลักษณะที่มีความผูกพันกับองค์อภิบาลและศาสนทูตของพวกเขา คุณลักษณะที่มีความศรัทธาซึมซับเข้าสู่หัวใจของพวกเขาด้วยการตอบรับองค์อภิบาลและศาสนทูตของพระองค?” (ฟิซิลาลิลกุรอาน โดยสัยยิด กุฏุบ หน้า : 1/291 )


ท่านอับดุลลอฮฺ บินมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุได้กล่าวถึงความสำคัญของอายะฮฺ (يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ) ไว้ว่า “เมื่อท่านได้ยินอัลลอฮฺได้ตรัสว่า “ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย” ดังนั้นท่านจงสดับรับฟังให้ดีเถิด เพราะนั่นอาจเป็นคำสั่งให้ทำความดี หรือเป็นคำสั่งให้ละเลิกจากการกระทำที่ชั่วร้าย” (ตัฟสีร อิบนิ กะษีร หน้า : 180)  


และด้วยลักษณะแห่งการเป็นผู้ศรัทธานี้เอง จึงมีคำสั่งใช้ให้พวกเขาปรับมารยาทของตนเองเมื่อจะสนทนากับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  โดยไม่อนุญาตให้สนทนากับท่านเหมือนการสนทนากับบุคคลผู้อื่น ในการนี้ย่อมไม่ใช่เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดแม้แต่อย่างใด ก็ในสังคมปัจจุบันการสนทนากับคนใหญ่ คนโต กับกษัตริย์ ข้าราชการ หรือคนที่มีตำแหน่งสูงๆ เรายังต้องระวังและพยายามคัดสรรคำพูดที่จะใช้กับคนเหล่านี้ ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยตำแหน่งและศักดิศรีที่เขามีเหนือกว่าเรา


ชัยคฺมุหัมมัด ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด หะฟิเซาะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวถึงตำแหน่งของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า “แท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่เกินจะบรรยายได้ด้วยคำพูด มีรายละเอียดที่เกินจะกล่าวถึงได้ ณ ที่นี้ ลองถามประวัติศาสตร์ซิ แล้วจะรู้ว่าไม่มีผู้ใดที่จะยิ่งใหญ่เทียบเท่าท่านนบีมุหัมมัด   เพราะท่านนั้นปราศจากความผิดใดๆ อยู่เหนือข้อบกพร่องต่างๆ ตำแหน่งของท่านนั้นยิ่งใหญ่เกินที่ข้อบกพร่องจะเอื้อมถึง”  (เอกสารตำแหน่งท่านนบีมุหัมมัด โดยชัยคฺมุหัมมัด ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด หน้า : 3 )


ท่านได้กล่าวอีกว่า “ถ้าหากสมมุติว่าท่านนบีไม่มีบุญคุณใดนอกจากการที่ท่านเป็นสื่อกลางในการนำฮิดายะฮฺ(ทางนำ)จากฟากฟ้ามายังโลก และนำอัลกุรอานมายังจักรวาล แค่นั้นก็เป็นพระคุณและความดีที่จักรวาลนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ และเป็นบุญคุณที่มนุษยชาติไม่อาจตอบแทนได้ และเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจทดแทนบุญคุณแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งได้” (เอกสารตำแหน่งท่านนบีมุหัมมัด โดยชัยคฺมุหัมมัด ศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด หน้า : 3 )


สำหรับผู้ศรัทธาแล้วการระมัดระวังในการใช้คำพูด และการคัดสรรคำพูดที่คู่ควรกับตำแหน่งของท่านนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ต้องให้ความตระหนัก เพราะท่านนบีนั้นมีเกียรติและศักดิ์ศรีเหนือกว่าคนอื่นๆอย่างไม่มีใครเทียบเคียงได้  ดังที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ได้ตรัสถึงเรื่องนี้ว่า


﴿لَّا تَجۡعَلُواْ دُعَآءَ ٱلرَّسُولِ بَيۡنَكُمۡ كَدُعَآءِ بَعۡضِكُم بَعۡضٗاۚ﴾ (النور : 63)


ความว่า “พวกเจ้าอย่าทำให้การเรียกร้องต่อท่านศาสนทูตในหมู่พวกเจ้า เป็นเช่นเดียวกับการเรียกร้องในระหว่างพวกเจ้าด้วยกัน...” (สูเราะฮฺ อัน-นูร : 63)





    ฉะนั้น มีความจำเป็นยิ่งนักที่ผู้ศรัทธาเมื่อจะเรียกขานท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  ก็ต้องเรียกท่านด้วยกับการเลือกสรรถ้อยคำ เช่น “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ” หรือ “โอ้ท่านนบีมุหัมมัด” ซึ่งจะเรียกท่านว่า “โอ้มุหัมมัด” หรือ “มุหัมมัด” เพียงอย่างเดียวย่อมไม่เป็นสิ่งที่คู่ควรกับตำแหน่งและสถานะที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ของท่านอย่างแน่นอน เช่นเดียวกันการสนทนาหรือพูดคุยกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม   ก็ต้องเลือกสรรคำพูดที่คู่ควรและเหมาะสมกับท่านด้วย


ชาวอาหรับโดยปรกติแล้วในขณะที่อยู่ร่วมกันหรือคลุกคลีกัน เมื่อมีความสนิทสนมกันแล้วก็จะกล่าวกันว่า -رَاعِنَا รออินา- หมายถึง “ดูแลฉันหน่อยนะ อย่าทิ้งฉันนะ เห็นใจฉันหน่อยนะ”ซึ่ง คำว่ารออีนา มาจากคำว่า มุรออะฮฺ หมายถึง “การช่วยเหลือ”


ท่านอับดุลลอฮฺ บินอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า “คำว่า “رَاعِنَا” เป็นคำพูดที่บรรดาเศาะหาบะฮฺเคยใช้กับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ด้วยคำพูดที่ว่า رَاعِناَ ياَ رَسُوْلُ الله  หมายความว่า “เห็นใจฉันหน่อยนะโอ้เราะสูลุลลอฮฺด้วยการรับฟังในสิ่งที่ฉันจะบอกเล่าแก่ท่าน” (ตัฟสีร อิบนิ กะษีร หน้า : 181)


แต่ในทางกลับกันชาวยิว พวกเขามักใช้คำพูดนี้ในนัยยะของการด่าทอท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม อัลลอฮฺจึงมีคำสั่งให้แก่ผู้ศรัทธาว่า อย่าได้พูดหรือใช้คำดังกล่าวนี้เหมือนพวกเขาอีก ถึงแม้ว่าจะเป็นคำกล่าวที่บรรดาผู้ศรัทธาเคยใช้กันมาก่อนแล้วก็ตาม แต่พระองค์ให้ใช้คำกล่าวอื่นที่มีความหมายคล้ายคลึงกันคือคำว่า انظُرْنَا  หมายถึง “จงดูแลช่วยเหลือเรา หรือมองเราหน่อย” انظُرْنَا ถือเป็นคำใหม่ที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ได้นำเสนอแก่ผู้ศรัทธาเพื่อไม่ให้เลียนแบบชาวยิว และเป็นคำที่แสดงถึงการเรียกร้องความเมตตา การเห็นใจ ทั้งยังเป็นการทำลายวัตถุประสงค์อันเลวทรามของชาวยิวที่แอบแฝงอยู่ได้อีกด้วย ดังที่อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลาได้ตรัสว่า


﴿يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ لَا تَقُولُواْ رَٰعِنَا وَقُولُواْ ٱنظُرۡنَا وَٱسۡمَعُواْۗ وَلِلۡكَٰفِرِينَ عَذَابٌ أَلِيمٞ ١٠٤﴾ (البقرة : 104)


ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่ากล่าวว่า “รออินา” แต่จงกล่าวว่า “อุนซุรนา” และจงฟังสิ่งที่ได้ถูกกล่าวไป สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธนั้น คือการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 104)





ท่านอะฏออ์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “คำว่า “رَاعِنَا” เป็นคำพูดที่ชาวอันศอรเคยใช้พูดคุยกัน ซึ่งอัลลอฮฺทรงห้ามใช้คำนั้นอีก(หลังจากนั้น)” (ตัฟสีร อิบนิ กะษีร หน้า : 181)


ดร.อิสมาอีล ลุฏฟี หะฟิเซาะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “คำเดียวกันนี้เองที่ชาวยิวก็ได้ใช้ แต่พวกเขาจะใช้มันในนัยของการด่าทอด้วยคำพูดที่ว่า “รออีนัน” มาจากคำว่า “รูอูนะฮฺ” ซึ่งหมายถึง “ความโง่เขลา” เพื่อพลิกแพลงคำพูดจากคำทั่วไปมาในเชิงที่มีนัยในการประณามหรือด่าทอท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม โดยที่พวกเขาจะนำมากล่าวเล่นลิ้นกันจึงทำให้ความหมายของภาษานั้นเปลี่ยนไป ดังนั้นเมื่อนำคำดังกล่าวไปกล่าวกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ความหมายของคำก็จะเปลี่ยนไปเป็นคำด่าที่มีความหมายว่า “ความโง่เขลา” ด้วยเหตุนี้จึงมีความกริ่งเกรงว่าจะเป็นการด่าทอท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจและต่ำทรามยิ่งนัก อัลลอฮฺจึงห้ามใช้คำดังกล่าวและให้เปลี่ยนไปใช้คำอื่นแทน กระนั้นก็ตามเมื่อชาวยิวรับรู้ว่าบรรดาผู้ศรัทธาก็ได้ใช้คำนี้กับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมเช่นเดียวกัน (ในนัยที่สื่อถึงให้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  สนใจและพูดคุยกับพวกเขา) ชาวยิวก็เลยฉกฉวยโอกาสนี้โดยพวกเขาได้กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เราเคยด่าทอมุหัมมัดด้วยวิธีการที่ลับๆ ซ่อนๆ แต่ ณ เวลานี้พวกเราสามารถที่จะด่าทอมุหัมมัดอย่างเปิดเผยได้แล้ว” เมื่อเป็นเช่นนี้เมื่อพวกเขาพบเจอกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม พวกเขาก็จะกล่าวว่า “رَاعِناً ياَ مُحَمَّد โอ้...มุหัมมัดผู้โง่เขลา” หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันหัวเราะด้วยความชอบใจ  แต่เนื่องด้วยท่านสะอัด บินมุอาซ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เป็นเศาะหาบะฮฺท่านหนึ่งที่เข้าใจในภาษาของชาวยิว ท่านจึงเข้าใจว่าชาวยิวกำลังด่าประณามท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมอยู่ ท่านจึงโกรธและได้กล่าวประกาศว่า “ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ถ้าหากว่าฉันได้ยินใครก็ตามในหมู่พวกเจ้าพูดต่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมว่า “راعنا يا محمد” โดยแน่แท้ ฉันจะต้องตัดคอเขาคนนั้นอย่างแน่นอน” (เมื่อพวกยิวได้ยินเช่นนั้น) พวกเขาจึงกล่าวโต้ไปว่า “คำพูดนี้ไม่ใช่เป็นคำพูดที่พวกเจ้าพูดกันเองหรือ”  อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา จึงประทานอายะฮฺนี้ลงมาเพื่อเป็นการปิดกั้นช่องทางที่ชาวยิวจะใช้ด่าทอท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม” (ตัฟซีร อัล-บะยาน สูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ โดย ดร.อิสมาอีล ลุฏฟี หน้า : 1/100)


ท่านสัยยิด กุฏุบ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “การใช้วิธีการนี้ของชาวยิวเป็นการให้ร้ายเพื่อตอบสนองความโกรธแค้นและความอิจฉาริษยาของพวกเขา ดังที่พวกเขาได้ปฏิบัติต่อท่านอย่างไร้มารยาทมาแล้ว ไม่ว่าจะด้วยการใช้วิธีการที่เลวทราม ไร้จริยธรรม ส่วนการห้ามที่ถูกนำมากล่าวในสถานการณ์นี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่า อัลลอฮฺทรงปกป้องท่านศาสนทูตของพระองค์และทรงปกป้องมุสลิมและเป็นการป้องกันคนที่พระองค์ทรงรักไว้ ให้รอดพ้นจากกลอุบายและเจตนาร้ายของศัตรูเจ้าเล่ห์ทั้งหลายมาตลอด” (ฟิซิลาลิลกุรอ่าน โดยสัยยิด กุฏุบ หน้า : 1/292 )


ท่านอิบนุญะรีร เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “ทัศนะที่ถูกต้องสำหรับเรานั้นคืออัลลอฮฺทรงห้ามบรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายกล่าวต่อท่านศาสนทูตของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ว่า “รออีนา” เพราะมันเป็นคำกล่าวที่อัลลอฮฺทรงโกรธกริ้วที่จะให้กล่าวต่อท่านศาสนทูตของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ” (ตัฟสีร อิบนิ กะษีร หน้า : 1/ 181)


ท่านอิบนุกะษีร เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้นำเสนอหะดีษบทหนึ่งเพื่อใช้ในการอธิบายและสร้างความเข้าใจต่ออายะฮฺนี้ไว้ว่า ท่านอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า


«مَنْ تَشَبَّهَ بِقَوْمٍ فَهُوَ مِنْهُمْ» (سنن أبي داود رقم 3512، وصححه الألباني في صحيح الجامع رقم 6149)


ความว่า “บุคคลใดที่เลียนแบบกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด เขาก็เหมือนกลุ่มชนนั้นด้วย” (สุนัน อบี ดาวูด หมายเลข 3512, อัล-อัลบานีย์วินิจฉัยว่าเศาะฮีหฺ ใน เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ 6149)





ท่านอิบนุ กะษีร เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “หลักฐานข้างต้นนี้ได้บ่งชี้ถึงข้อห้ามที่รุนแรงและเป็นการข่มขู่ถึงผลร้ายของการเลียนแบบบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ทั้งในด้านคำพูดของพวกเขา อิริยาบถหรือการกระทำของพวกเขา การแต่งกายของพวกเขา การเฉลิมฉลองของพวกเขา การปฏิบัติศาสนกิจของพวกเขา หรืออื่นๆ ที่ศาสนาไม่บัญญัติให้แก่เราและไม่อนุญาตให้เราปฏิบัติมัน” (ตัฟสีร อิบนิ กะษีร : 181)


ใช่แต่เท่านั้น ท่านอิบนุ กะษีร เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้เล่าถึงพฤติกรรมอันต่ำทรามของชาวยิวในการพลิกคำพูดจากคำที่ธรรมดามาในเชิงด่าทอท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ไว้อีกว่า “ชาวยิวกลุ่มหนึ่งเมื่อจะกล่าวทักทายท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ซึ่งท่านอยู่กับท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา และได้กล่าวว่า اَلْسَّامُ عَلَيْكُمْ อัสสามุอะลัยกุม ซึ่งคำว่า “อัส-สาม” ในภาษาอาหรับนั้นหมายถึงความตาย ฉะนั้นคำๆ นี้หมายถึงว่า “ความตายจงประสบแด่ท่าน” พวกเขาใช้คำนี้เพื่อหลอกหูว่าพวกเขากล่าวสลาม แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ให้สลามแต่มีเจตนาที่จะด่าทอท่านเราะสูลุลลอฮฺ  ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  ท่านหญิงอาอิชะฮฺได้ยินดังกล่าวก็เลยโต้ตอบกลับไปว่า وَعَلَيْكُمُ السَّام وَالْمَوْت  วะอะลัยกุมุสสาม วัล-เมาตฺ “ก็ให้ความตายและความหายนะจงประสบแด่เจ้าเช่นกัน” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม จึงกล่าวแก่ท่านหญิงว่าให้โต้ตอบต่อพวกเขาด้วยวิธีการที่ดีกว่า โดยให้กล่าวว่า وَعَلَيْكُمْ วะอะลัยกุม “และแด่เจ้าด้วย”   (ตัฟสีร อิบนิ กะษีร หน้า :180)


ทั้งนี้ การที่ท่านบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  สั่งให้โต้ตอบด้วยวิธีการข้างต้นนี้ มิใช่หมายความว่าเป็นคำสั่งที่ห้ามการประณามในการกระทำของชาวยิวแม้แต่อย่างใด แต่วิธีการโต้ตอบที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้นำเสนอให้แก่ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา นั้นก็เพื่อเป็นการโต้ตอบที่มีความรอบคอบ เพราะเราไม่รู้ว่าพวกเขาเจตนาอย่างไร ซึ่งการตอบว่า “วาอะลัยกุม” ถือเป็นคำที่ตอบกลับไปหาพวกเขาในทุกๆ นัย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตั้งใจใช้คำว่า “อัส-สาม” หรือ “อัส-สลาม” ก็ตาม แต่ถ้าตอบว่า “วะอะลัยกุมุสสาม วัล-เมาต์” ชาวยิวก็อาจจะใช้มันในการเบี่ยงเบียนเจตนารมณ์ของตนและอาจกล่าวอ้างได้ว่า “ป่าว...ฉันกล่าวว่า “อัสลามุอะลัยกุม” ต่างหาก พวกท่านมาด่าประณามเราได้อย่างไรกัน ?”  ก็จะทำให้เราเป็นฝ่ายที่ผิด เพราะคำสองคำนี้มีความคล้ายคลึงกันมากจนแยกออกค่อนข้างยาก แต่ถ้าในกรณีที่คำที่พวกเขาใช้นั้นมีความชัดเจนว่ากำลังสื่อถึงอะไร เราก็สามารถที่จะโต้ตอบพวกเขาได้โดยทันที ซึ่งในอัลกุรอานเองอัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ก็ได้โต้ตอบชาวยิวโดยทันทีทันใดเมื่อชาวยิวได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวโดยที่พวกเขาได้ใช้คำพูดที่เป็นการด่าทออัลลอฮฺอย่างชัดเจนว่า


﴿وَقَالَتِ ٱلۡيَهُودُ يَدُ ٱللَّهِ مَغۡلُولَةٌۚ غُلَّتۡ أَيۡدِيهِمۡ وَلُعِنُواْ بِمَا قَالُواْۘ ... ﴾ (المائدة : 64)


ความว่า “และชาวยิวนั้นได้กล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮฺนั้นถูกล่ามตรวน มือของพวกเขาต่างหากที่ถูกล่ามตรวนและพวกเขาได้รับละอฺนัต(การสาปแช่ง) เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาพูด ...” (สูเราะฮฺ อัล-มาอิดะฮฺ : 64)





ชัยคฺมุหัมมัด บินศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด หะฟิเซาะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า “แท้จริงสิ่งที่เหล่าผู้เขลาขลาดและอาชญากรเหล่านั้นกระทำลงไป ได้สร้างความเดือดร้อนแก่พวกเราและมุสลิมทุกๆ คนที่ห่วงแหนต่อศาสนา โดยการดูถูกเหยียดหยามท่านนบีของเราในขณะที่ท่านเป็นผู้ประเสริฐสุดในแผ่นดินนี้  เป็นผู้นำของผู้คนตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันทุกยุคสมัย ขออัลลอฮฺประทานความจำเริญและสันติสุขแก่ท่านด้วยเถิด  และนี่ก็คือการอวดดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใดที่จะพบเห็นได้จากพวกเขาเหล่านั้น เพราะพวกเขาเป็นผู้ช่ำชองเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าการกระทำอันน่าเกลียดนี้ได้ย่ำยีหัวใจพวกเรา และได้เพิ่มความโกรธแค้นและเกลียดต่อพวกเขา และเราก็ปรารถนาที่จะไถ่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ    ด้วยตัวของพวกเราเอง กระนั้นเราก็ยังพบว่ามีมูลเหตุแห่งข่าวดีที่จะได้เห็นความพินาศและความล่มสลายของแผ่นดินของอาชญากรเหล่านั้น ซึ่งอัลลอฮฺได้ตรัสว่า


﴿إِنَّا كَفَيۡنَٰكَ ٱلۡمُسۡتَهۡزِءِينَ ٩٥﴾ (الحجر : 95)


ความว่า “แท้จริงเราได้ปกป้องเจ้าจากบรรดาผู้เยาะเย้ยล้อเลียน(คือพระองค์จะทรงลงโทษด้วยผลตอบแทนที่สาสมกับการกระทำของพวกเขาเอง)” (สูเราะฮฺ อัล-หิจญรฺ : 95)





ดังนั้น อัลลอฮฺจะปกป้องศาสนทูตของพระองค์ให้รอดพ้นจากเหล่าผู้ดูถูกเหยียดหยามที่ชั่วร้ายเหล่านั้น และอัลลอฮฺได้ตรัสว่า


﴿إِنَّ شَانِئَكَ هُوَ ٱلۡأَبۡتَرُ ٣﴾ (الكوثر : 3)


ความว่า “แท้จริงผู้ที่ดูถูกเยาะเย้ย/เกลียดชังเจ้า คือผู้ที่ขาดวิ่น(หมายถึงไม่มีความดีงาม ไม่ประสบชัยชนะ ไม่มีเกียรติและศักดิ์ศรี)”  (สูเราะฮฺ อัล-เกาษัร: 3) (จุดยืนของเราต่อการเยาะเย้ยล้อเลียนท่านนบีมุหัมมัด โดยชัยคฺมุหัมมัด บินศอลิหฺ อัล-มุนัจญิด หน้า : 2 )





อย่างไรก็ตามด้วยตำแหน่งและสถานะอันสูงส่งและมีเกียรติของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  จึงทำให้บรรดาอาชญากรผู้เยาะเย้ยถากถางในปัจจุบันเองก็ต้องยอมประกาศไว้ว่า


1. Michael Hart ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขา The 100 : A Ranking of the Most Influential Persons in History  "100 บุคคลที่ทรงอิทธิพลตลอดกาล" (หน้า 13) เขาได้จัดให้นบีมุหัมมัดอยู่ในอันดับแรก  "เพราะมุหัมหมัด คือบุคคลเดียวที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งด้านทางโลกและด้านศาสนา”


2. George Bernard Shaw ชาวอังกฤษ เจ้าของงานเขียนชื่อว่า “มุหัมมัด” ที่ซึ่งผู้มีอำนาจในอังกฤษได้เผามันทิ้ง  เขากล่าวว่า "แท้จริงโลกนี้มีความต้องการนักคิดแบบมุหัมมัดแต่ว่าเป็นเพราะความงมงายและคลั่งไคล้ในชาติพันธุ์ทำให้บรรดานักวิชาการศาสนาในศตวรรษกลางได้ป้ายสีมุหัมมัด พวกเขาได้วาดภาพของศาสนทูตมุหัมมัดเป็นสีเทา และพวกเขาหาว่ามุหัมมัดเป็นศัตรูของคริสเตียน แต่สำหรับฉันได้พบว่าศาสนามุหัมมัดมีหลายคำตอบ และฉันก็ได้พบว่าท่านไม่ได้เป็นศัตรูของคริสต์ แต่จำเป็นที่ต้องเรียกมุหัมมัดว่าเป็นผู้ปลดปล่อยสู่ความเป็นมนุษย์ และในความเห็นของฉันหากมุหัมมัดได้ปกครองโลกในวันนี้ แน่นอนเขาจะแก้ปัญหาด้วยความสันติสุข ตามที่มนุษย์ชาติต่างเรียกร้องเพรียกหา"


3. Annie Besant กล่าวว่า  “เป็นไปไม่ได้เลยกับผู้ที่ศึกษาชีวประวัติของนบีชาวอาหรับ และรู้วิถีชีวิตของเขาอย่างละเอียด นอกจากเขาจะรู้สึกนับถือกับนบีผู้นี้ว่าเขาเป็นศาสนาทูตแห่งอัลลอฮฺผู้ยิ่งใหญ่"


4. Schabrak ชาวออสเตรียน กล่าวว่า "แท้จริงมนุษย์ชาติมีความภูมิใจที่มีบุรุษอย่างมุหัมมัด เพราะว่าเขาสามารถนำบทบัญญัติมาให้เราได้ตั้งแต่สิบกว่าศตวรรษมาแล้วในขณะที่ตัวเองอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และพวกเราชาวยุโรปจะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุดหากเราได้ก้าวขึ้นเป็นเหมือนกับความสุดยอดของเขา"


5. นักบูรพาคดีชาวแคนาดา Dr. Zwemer กล่าวว่า "แท้จริงมุหัมหมัดเป็นนักปฏิรูปที่มีความสามารถ มีวาทศิลป์และความฉะฉาน กล้าหาญ เป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ่  และไม่เป็นการบังควรที่พวกเราจะกล่าวหาพาดพิงท่านด้วยสิ่งที่ค้านกับคุณลักษณะเหล่านี้ อัลกุรอานที่เขานำมาและประวัติของท่านเป็นพยานได้อย่างดีถึงสิ่งที่เราอ้างนี้"


6. Thomas Carlyle นักปรัชญาชาวอังกฤษ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลกล่าวไว้ในหนังสือ Heroes “วีรบุรุษ” ของเขาว่า “เป็นเรื่องน่าอายมากสำหรับผู้คนในยุคปัจจุบันที่กล่าวหาว่าศาสนาของอัลลอฮฺเป็นศาสนาจอมปลอมและนบีมุหัมมัดเป็นคนโกหกหลอกหลวง ตลอดชีวิตของเขาเราพบว่าเขามีความหนักแน่นทางอุดมการณ์ มุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ ใจบุญและเมตตา ยำเกรง เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี อิสระ เป็นบุรุษผู้จริงจัง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตง่ายๆ อบอุ่น เป็นมิตรแก่ผู้ที่อยู่ร่วมและพบเห็น หนำซ้ำอาจจะเป็นคนช่างหยอกเย้าในบางครั้ง เป็นคนที่ยุติธรรม ตั้งใจจริง ชาญฉลาด ตัดสินใจฉับไว เหมือนว่าเป็นคนจุดเทียนที่คอยส่องแสงสว่างในยามกลางคืนอันมืดมิด เต็มเปี่ยมด้วยรัศมี เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ ไม่เคยผ่านโรงเรียน ไม่มีครู เพราะเขาไม่ได้มีความจำเป็นต่อสิ่งเหล่านั้นเลย”


7. Goethe กวีชาวเยอรมัน กล่าวว่า "เราชาวยุโรปตามนัยแห่งตัวตนของเราทั้งหมด ยังไม่มีทางที่จะเข้าถึงเหมือนที่มุหัมมัดเข้าถึง และคงไม่มีใครสามารถล้ำหน้าเกินเขาได้ แท้จริงฉันได้ค้นคว้าถึงตัวอย่างอันสูงส่งสำหรับมนุษย์จากหน้าทั้งหลายในประวัติศาสตร์ และฉันได้พบว่าสิ่งนั้นมีอยู่ในตัวของศาสนทูตมุหัมมัด เช่นนี้แหละที่สัจธรรมควรจะต้องโดดเด่นและสูงส่ง เหมือนที่มุหัมมัดประสบความสำเร็จในการสยบโลกทั้งผองภายใต้ถ้อยคำแห่งเตาฮีด(ความเป็นเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า)"


หากเป็นเช่นดังนั้น มันย่อมเป็นหน้าที่ของชาวโลกทั้งหมดโดยไม่มีทางเลือกอื่นอีก สำหรับพวกเขาที่ต้องยอมรับถึงความยิ่งใหญ่ของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  ในหมู่พวกเขาทั้งหมดให้อยู่เหนือความยิ่งใหญ่ใดๆ ต้องยอมรับถึงความประเสริฐของท่านเหนือความประเสริฐใดๆ ให้เกียรติแก่ท่านเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด จำเป็นสำหรับชาวโลกทั้งผองที่จะต้องศรัทธาต่อสาส์นของท่านนบีมุหัมมัด และต้องศรัทธาว่าท่านเป็นศาสนทูตคนสุดท้ายที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมา (จุดยืนของเราต่อการเยาะเย้ยล้อเลียนท่านนบีมุหัมมัด หน้า : 4-5 )





อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ได้ดำรัสอีกว่า


﴿إِنَّآ أَرۡسَلۡنَٰكَ شَٰهِدٗا وَمُبَشِّرٗا وَنَذِيرٗا ٨ لِّتُؤۡمِنُواْ بِٱللَّهِ وَرَسُولِهِۦ وَتُعَزِّرُوهُ وَتُوَقِّرُوهُۚ وَتُسَبِّحُوهُ بُكۡرَةٗ وَأَصِيلًا ٩﴾ (الفتح : 8-9)


ความว่า “แท้จริงเราได้ส่งเจ้า (มุหัมมัด) มาเพื่อเป็นพยานและผู้แจ้งข่าวดี(นั่นคือสวนสวรรค์สำหรับผู้ศรัทธา) และผู้แจ้งข่าวร้าย(นั่นคือนรกสำหรับผู้ปฏิเสธศรัทธา) เพื่อให้พวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และเราะสูลของพระองค์ และให้พวกเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ที่สนับสนุนช่วยเหลือปกป้องท่าน และเคารพภักดีต่อท่าน และแซ่ซ้องสดุดีพระองค์ทั้งในยามเช้าและยามเย็น” (สูเราะฮฺอัล-ฟัตหฺ : 8-9)





    อายะฮฺข้างต้นนี้ ทำให้เราเข้าใจและได้รับรู้อีกว่า อัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ทรงยืนยันถึงภารกิจของผู้ศรัทธาทุกคนต่อท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เช่นเดียวกันในบางอายะฮฺนั้นอัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา กลับข่มขู่ผู้ศรัทธาถ้าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามภารกิจในฐานะที่เป็นมุสลิมแล้ว นั่นก็ไม่ใช่หมายรวมว่าท่านนบีมุหัมมัดจะขาดทุนหรือจะเสียหาย หรือจะไม่มีใครสนับสนุนปกป้องท่าน ดังที่พระองค์ ได้ดำรัสว่า


﴿إِلَّا تَنصُرُوهُ فَقَدۡ نَصَرَهُ ٱللَّهُ﴾ (التوبة : 40)


ความว่า “ถ้าหากพวกเจ้าไม่ช่วยเขา(ท่านบีมุหัมมัด) ก็แท้จริงนั้นอัลลอฮฺได้ทรงช่วยเขา(ท่านบีมุหัมมัด)มาแล้ว” (สูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ : 40)





    นับเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าถึงแม้ว่าเราไม่ช่วยเหลือท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม  แน่แท้อัลลอฮฺก็ทรงช่วยเหลือท่าน แต่มันเป็นภารกิจสำหรับประชาชาติอิสลามทุกคนผู้ที่สำนึกในบุญคุณของท่านนบีมุหัมมัดต่างหากที่ต้องช่วยเหลือและปกป้องท่านนบีมุหัมมัด  ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม สำหรับผู้ศรัทธาแล้วเมื่อเห็นท่านนบีถูกดูถูก เหยียดหยาม ข่มเหง ล้อเลียน เขาจะนิ่งเฉยไม่ได้ คนที่เห็นท่านนบีมุหัมมัด ตกอยู่ในสภาพดังกล่าวย่อมเป็นสิ่งที่วาญิบสำหรับเขาที่ต้องถวายชีวิต ทรัพย์สินเพื่อปกป้องท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม       


    บัดนี้เราอาจจะไม่สามารถที่จะนำคนที่ดูถูกดูหมิ่นท่านนบีมุหัมมัดมาขึ้นศาลแล้วลงโทษเขาได้ แต่เราสามารถที่จะทำอะไรได้อย่างมากมายเพื่อปกป้องเกียรติศักดิ์ศรีของ





 



กระทู้ล่าสุด

หนึ่งบทใคร่ครวญกับอาย ...

หนึ่งบทใคร่ครวญกับอายะฮฺ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่ากล่าวว่า “รออินา” แต่จงกล่าวว่า “อุนซุรนา”

รวมหลักฐานว่าด้วยความ ...

รวมหลักฐานว่าด้วยความประเสริฐของวันศุกร์.