การลำพองตน
ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์
แปลโดย : อุศนา พ่วงศิริ
ตรวจทานโดย : อัสรัน นิยมเดชา
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิงเสมอ
การลำพองตน
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ ขอความสุข
ความจำเริญและศานติจงประสบแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ฉันขอ
ปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอืนใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว
ไม่มีภาคีใด ๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่ามุหัมมัด
เป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์
ลักษณะทีน่ารังเกียจประการหนึง ซึงอัลลอฮฺและเราะ
สูลของพระองค์ได้ห้ามไว้ก็คือ การลำพองตนและหลงระเริง
กับชีวิตในดุนยา อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
ความว่า "แต่ละชีวิตนัน จะได้ลิม รสความตาย และแท้จริงทีพวก
เจ้าจะได้รับรางวัลของพวกเจ้าโดยครบถ้วนนัน คือวันกิยามะฮฺ
แล้วผู้ใดทีถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้ว
4
ไซร้ แน่นอน เขาก็ชนะแล้ว และชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนีน ัน
มิใช่อะไรอืนนอกจากสิงอำนวยประโยชน์แห่งการหลอกลวง
เท่านัน " (อาลอิมรอน: 185)
และพระองค์ทรงกำชับเตือนมิให้หลงลำพองตนว่า
ความว่า "โอ้มนุษย์เอ๋ย แท้จริงสัญญาของอัลลอฮฺนัน เป็นจริง
เสมอ ดังนัน อย่าให้การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนีล ่อลวงพวกเจ้า
และอย่าให้ชัยฏอนมาล่อลองพวกเจ้าเกียวกับอัลลอฮฺเป็นอัน
ขาด" (ฟาฏิรฺ: 5)
คือ อย่าปล่อยให้ชัยฏอนลวงล่อพวกเจ้าด้วยการ
กระซิบกระซาบในทำนองว่า “อัลลอฮฺจะไม่ทรงเอาผิดพวกเจ้า
และจะทรงอภัยให้แก่พวกเจ้า เนืองจากความดีความชอบอัน
มากมายของพวกเจ้า รวมถึงตำแหน่งแห่งหน เกียรติยศศักดิศรี
และความรำรวยของพวกเจ้า นอกจากนี พระองคย์ ังเป็นผู้ทรง
เปียมล้นด้วยความเมตตา ฉะนัน พวกเจ้าอยา่ ได้กังวล และจง
ฝ่าฝืนทำสิงทีเป็นบาปความผิดต่อไปเถิด”
5
อัลลอฮฺ ตะอาลา ยังทรงบอกว่าการใช้ชีวิตอย่างหลง
ระเริงลำพองตนนัน เป็นผลงานการล่อลวงของชัยฏอนมารร้าย
ความว่า "และเจ้าจงยวั ยวนผู้ทีเจ้าสามารถทำให้เขาหลงในหมู่
พวกเขาด้วยเสียงของเจ้า และชักชวนพวกเขาให้เห็นพ้อง ด้วย
พลพรรคของเจ้าทีขีม้าหรือทีเดินเท้า และจงร่วมกับพวกเขาใน
ทรัพย์สินและลูกหลาน และจงสัญญากับพวกเขา และชัยฏอน
มิได้ให้สัญญาใด ๆ แก่พวกเขาเว้นแต่เป็นการหลอกลวงเท่านัน "
(อัลอิสรออ์: 64)
อิบนุลก็อยยิม เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “แท้จริงชัยฏอน
ได้สัญญากับมนุษย์ว่าเขาจะได้รับสิงทีหัวใจถวิลหา ไม่ว่าจะเป็น
การมีชีวิตทียืนยาว ได้รับความสะดวกสบายในโลกดุนยา โดดเด่น
เหนือเพือนฝูงคนรอบข้าง หรือมีชัยชนะเหนือศัตรู มันหลอกล่อเขา
ว่า ชีวิตในโลกดุนยานัน มีการเปลียนแปลงเสมอ สิงทีผู้อืนมี สักวัน
หนึงก็อาจจะเป็นของเรา ทำให้มนุษย์มีความหวังทียาวไกล มันยัง
6
สัญญาว่ามนุษย์จะได้รับสรวงสวรรค์เป็นการตอบแทน ทัง ทีอยู่ใน
สภาพทตี ัง ภาคีและกระทำการฝ่าฝืน และมันทำให้มนุษย์มี
ความหวังต่าง ๆ นานา ในสิงทีเป็นไปไม่ได้
“ซึงข้อแตกต่างระหว่างคำสัญญากับการให้ความหวัง
ของชัยฏอนนัน คือมันจะให้คำสัญญาในสิงทีไม่เป็นความจริง
และให้ความหวังในสิงทีเป็นไปไม่ได้ ซึงแน่นอนว่าจิตใจที
อ่อนแอ ย่อมพร้อมทีจะหลงระเริงไปกับคำสัญญาและการให้
ความหวังของชัยฏอน ดังทีกวีคนหนึงกล่าวไว้ว่า
ความหวังนัน ถ้าเป็นจริงก็คงจะดีทีสุด
แต่ถ้าไม่เป็นจริงอย่างน้อยเราก็เคยสุขกับการทีได้หวัง
(อิฆอษะฮฺ อัลละฮฺฟาน เล่ม 1 หน้า 107)
ซึงการลำพองตนนัน มีหลายประเภทด้วยกันคือ
ประเภทแรก การลำพองตนของบรรดาผู้ปฏิเสธ
ศรัทธา โดยพวกเขาบางคนหลงระเริงไปกับความสำราญสุข
สบายในโลกดุนยา อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
ความว่า "และเจ้าจงปล่อยเสียซงึ บรรดาผู้ทียึดเอาศาสนาของ
พวกเขาเป็นของเล่น และสิงให้ความเพลิดเพลิน และชีวิตความ
เป็นอยู่ในโลกนีไ ด้หลอกลวงพวกเขา" (อัลอิสรออ์: 64)
คนเหล่านีแ หละทีกล่าวว่า “เงินสดยอ่ มดีกว่าเงินเชือ
ซึงถ้าเปรียบแล้ว ดุนยาก็เหมือนเงินสด ส่วนอาคิเราะฮฺคือเงิน
เชือ ดังนัน ดุนยาย่อมดีกว่าอาคเิ ราะฮฺ จึงสมควรต้องขวนขวาย
มาให้จงได้” พวกเขายังกล่าวอีกว่า “ความแน่นอนมนั ใจ ย่อม
ดีกว่าความคลุมเครือสงสัย ซงึ ความสุขสบายในโลกดุนยานัน
เป็นสิงทีมีอยู่จริงสามารถจับต้องได้ ส่วนความสุขสบายในโลก
อาคิเราะฮฺนัน ยังเป็นทีสงสัย ดังนัน จึงไม่ควรละทิง สิงทีมีความ
แน่นอน เพือไปหวังในสิงทียังไม่แน่ใจ”
ข้อกล่าวอ้างของพวกเขานีส ามารถชีแ จงโต้ตอบได้ด้วย
พระดำรัสของอัลลอฮฺทีว่า
ความว่า "สิงทีอยู่กับพวกเจ้าย่อมอันตรธาน และสิงทีอยู่
กับอัลลอฮฺนัน ย่อมจีรัง" (อันนะหฺล์: 96)
8
และพระดำรัสของพระองค์ทีว่า
ความว่า "และแน่นอน เบือ งปลายเป็นการดียิงแก่เจ้ากวา่
เบอื งต้น" (อัฎฎุฮา: 4)
ประเภททีสอง การลำพองตนของผู้ศรัทธาทีฝ่ าฝื น
ด้วยความคิดทีว่า “อัลลอฮฺนัน ทรงมีความเมตตา และเราก็หวัง
ว่าพระองค์จะทรงอภัยให้แก่พวกเรา” พวกเขาฝากความหวังไว้
กับความคิดดังกล่าว แล้วละเลยการปฏิบัติคุณงามความดี โดย
พวกเขาเรียกความฝันและการหลงระเริงลำพองตนของพวกเขา
นีว ่า “ความหวัง” โดยเข้าใจว่ามันคือการมีความหวัง (ในเมตตา
ของอัลลอฮฺ) อย่างทีศาสนาส่งเสริม ความเข้าใจทีไม่ถูกต้อง
เช่นนีเกิดจากการทีพวกเขาแยกแยะไม่ออกระหว่าง “ความหวัง”
กับ “ความลำพองใจ” นนั เอง
มีผู้กล่าวแก่ท่านหะสัน อัลบัศรีย์ ว่า “กลุ่มชนหนงึ ได้
กล่าวว่า พวกเขามีความหวังในเมตตาของอัลลอฮฺ แต่พวกเขา
กลับไม่ปฏิบัติตามคำสงั ใช้ของพระองค”์ ท่านหะสัน จึงกล่าวว่า
“มันช่างห่างไกลอะไรเช่นนี นนั เป็นเพียงความฝันอันเลือนลอย
9
ของพวกเขา เพราะแท้จริงหากผู้ใดหวังในสิงหนงึ สิงใดแล้ว เขา
ย่อมต้องแสวงหาและขวนขวายเพือให้ได้สิงนัน มา และผู้ทีกลัว
สิงใดก็ย่อมจะหลีกหนีสิงนัน ”
ทัง นี อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตรัสอธิบายถึงการมีความหวัง
ทีถูกต้องน่าสรรเสริญไว้ว่า
ความว่า "แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาผู้ทีอพยพ และได้
เสียสละต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺนัน ชนเหล่านีแ หละทีหวังใน
ความเมตตาของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนัน เป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้
ทรงเมตตาเสมอ" (อัลบะเกาะเราะฮฺ: 218)
ประเภททีสาม การหลงลำพองของผู้ทีทำทงั ความ
ดีและความชัว แต่มีความชัวมากกว่า คนกลุ่มนีม ีความคิด
ว่า พวกเขาจะได้รับการอภัยโทษ และเข้าใจว่าความดีของเขา
จะสามารถเอาชนะความชวั ทัง ทีพวกเขาทำความชวั มากกว่า
และนีคือความคิดทีโง่เขลายิงนัก ดังเช่นชายคนหนึงบริจาคเงิน
ซงึ ได้จากทัง แหล่งทีหะล้าลถูกต้องและแหล่งทีหะรอม ในขณะที
10
เขานัน โกงทรัพย์สินเงินทองของพีน้องมุสลิมมากกว่านัน หลาย
เท่า แต่เขากลับคิดว่าการบริจาคเงินสิบดิรฮัม จะลบล้าง
ความผิดของการได้มาซึงทรัพย์สินทีมีความเคลือบแคลงน่า
สงสัยจำนวนหนึงร้อยดิรฮัมได้ นีถือเป็นความคิดทีโง่เขลาทีสุด
(อิหฺยาอ์ อุลูมิดดีน เล่ม 3 หน้า 368-376)
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า "แท้จริงพระองค์อัลลอฮฺนัน ทรงบริสุทธิดีงาม พระองค์
จึงทรงไม่ตอบรับสิงใด นอกจากจะเป็นสิงทีสะอาดบริสุทธิ
เท่านัน " (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที 1015)
เคาละฮฺ อัลอันศอริยะฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะ
ลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า "แท้จริงมีคนบางกลุ่มใช้จ่ายทรัพย์สินของอัลลอฮฺ โดย
ทีพวกเขาไม่มีสิทธิ และในวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะต้องรับโทษใน
ไฟนรก" (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที 3118)
อับดุลลอฮฺ บิน อัลมุบาร็อก กล่าวว่า “สำหรับฉันแล้ว
การคืนเงินหนึงดิรฮัมทีน่าเคลือบแคลงสงสัย ดีกว่าการทีฉันจะ
บริจาคเงินหนึงแสนดิรฮัมเสียอีก”
และอัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสอีกว่า การหลงระเริงลำพอง
ตนนัน คือลักษณะของพวกอธรรม และพวกผู้ปฏิเสธศรัทธา
พระองค์ตรัสว่า
ความว่า "จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) พวกท่านไม่เห็นดอกหรือ
บรรดาภาคี (เจว็ด) ของพวกท่านทีพวกท่านวิงวอนขออืน
จากอัลลอฮฺ จงแสดงให้เห็นสิว่าพวกมันได้สร้างอะไรในแผ่นดิน
นี หรือว่าพวกมันมีส่วนร่วมในชัน ฟ้ าทัง หลาย หรือว่าเราได้ให้
คัมภีร์แก่พวกมัน พวกมันจึงยึดมนั อยู่บนหลักฐานของมัน เปล่า
12
ดอก บรรดาผู้อธรรมนัน ต่างก็มิได้มีสัญญาอะไรต่อกัน นอกจาก
การหลอกลวงเท่านัน " (ฟาฏิรฺ: 40)
บางคนเข้าใจว่าการทีเขามีทรัพย์สินเงินทอง มีตำแหน่ง
หน้าตาในสังคมนัน เป็นเพราะว่าอัลลอฮฺทรงเชิดชูให้เกียรติและ
พอพระทัยในตัวเขา และคิดว่าตำแหน่งหรือทรัพย์สินเหล่านัน
เขาก็ได้มาด้วยนำ พักนำ แรงและความเหน็ดเหนือยของเขาเอง
ความคิดเช่นนี ไม่ต่างจากความคิดของกอรูน ซงึ ได้กล่าวถึง
ทรัพย์สินของเขาว่า
ความว่า "เขา (กอรูน) กล่าวว่า ฉันได้รับมันเพราะความรู้ของ
ฉัน" (อัลเกาะศ็อศ: 78)
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
ความว่า "ส่วนมนุษย์นัน เมือพระเจ้าของเขาทรงทดสอบเขา
โดยทรงให้เกียรติเขาและทรงโปรดปรานเขา เขาก็จะกล่าวว่า
13
พระเจ้าของฉันทรงยกย่องฉัน แต่ครัน เมือพระองค์ทรงทดสอบ
เขา ทรงให้การครองชีพของเขาเป็นทีคับแคบแก่เขา เขาก็จะ
กล่าวว่า พระเจ้าของฉันทรงเหยียดหยามฉัน มิใช่เช่นนัน ดอก"
(อัลฟัจญรฺ: 15-17)
ในขณะทีคนบางกลุ่ม เมือพวกเขามีความรู้ ทำงานเผย
แผ่ศาสนา หรือทำอิบาดะฮฺทีเหนือกว่าผู้อืน เขาจะรู้สึกลำพอง
ตน และมีความคิดว่าเขานัน ดีกว่าผู้อืน และคิดวา่ ผู้อืนจะต้อง
คอยรับใช้ และเคารพนอบน้อมต่อเขา เพือเป็นการให้เกียรติ
ความรู้ทีเขามี การทำงานเผยแผ่ศาสนาทีเขาทำอยู่ หรืออิบา
ดะฮฺทีเขาทำมากกว่าคนอืน นีก็ถือเป็นความลำพองตนเช่นกัน
ท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
[ سلم برقم ٢٣٢ خاري برقم ٦٤٣٣ و رواه ا ] « وا غْ َ لا َ »
ความว่า “พวกท่านจงอย่าลำพองตน” (บันทึกโดย อัลบุคอรีย์
หะดีษเลขที 6433 และมุสลิม หะดีษเลขที 232)
14
อัซซุฮฺรีย์ กล่าวว่า พวกท่านอย่าได้หลงระเริงไปกับโลก
ดุนยา เมืออับดุลอะซีซ บิน มัรวาน ใกล้จะเสียชีวิต (ซงึ ขณะนัน
ท่านเป็นเสนาบดีปกครองอียิปต์) ท่านสงั ให้นำผ้าห่อศพซึง
เตรียมไว้สำหรับห่อศพท่านมาให้ดู แล้วท่านก็กล่าวว่า
“ทรัพย์สินเงินทองของฉันนัน มีมากมาย แต่สุดท้ายแล้วถ้าฉัน
จากโลกดุนยาไปก็มีเพียงสิงนีท ีจะติดตัวไปด้วย” แล้วท่านก็หัน
หลังไปพลางร้องไห้ จากนัน ท่านกล่าวว่า “ดุนยาเอ๋ย เจ้าเป็นที
พำนักทีแย่นัก ทรัพย์สินเงินทองทีเราสะสมไว้มากมายขณะทีมี
ชีวิตอยู่ สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงน้อยนิด ในทางกลับกัน ความ
มักน้อยในดุนยา กลับนำมาซึงผลบุญอันมากมายมหาศาล
แท้จริงแล้วพวกเราต่างใช้ชีวิตอยู่ในดุนยาอยา่ งหลงระเริง
ลำพองใจยิงนัก” (อัดดุรฺ อัลมันษูรฺ เล่ม 4 หน้า 193)
โดยสรุปแล้ว มนุษย์นันมีสองประเภท
ประเภทแรก ผู้ทีลำพองตนและหลงระเริงในโลกดุนยา
ใช้ชีวิตเพลิดเพลินไปกับทรัพย์สินเงินทอง ตำแหน่งหน้าที ความ
มีเกียรติ และความหรูหราสุขสบาย กระทงั ความตายได้มาเยือน
โดยทีพวกเขาไม่ทันตัง ตัว
15
อัลลอฮฺ ตรัสว่า
ความว่า "การสะสมทรัพย์สมบัติเพืออวดอ้าง ได้ทำให้พวกเจ้า
เพลิดเพลิน จนกระทังพวกเจ้าได้เข้าไปเยือนหลุมฝังศพ เปล่าเลย
พวกเจ้าจะได้รู้ แล้วก็เปล่าเลย พวกเจ้าจะได้รู้ มิใช่เช่นนัน พวก
เจ้าจะเห็นไฟทีลุกโชน แล้วแน่นอนพวกเจ้าจะได้เห็นมันด้วย
สายตาทีแน่ชัด แล้วในวันนัน พวกเจ้าจะถูกสอบถามเกียวกับ
ความโปรดปรานทีได้รับ (ในโลกดุนยา)" (อัตตะกาษุรฺ: 1-8)
ประเภททีสอง ผู้ทีลำพองกับการทำอิบาดะฮฺและคุณ
งามความดีของเขา ซึงความจริงแล้วบ่าวทีดีจะต้องกล่าว
สรรเสริญต่ออัลลอฮฺ ทีพระองค์ทรงช่วยเหลือให้เขาปฏิบัติความ
ดีเหล่านัน ได้ และก็จำเป็นทีเขาจะต้องมีความอิคลาศบริสุทธิใจ
เพือพระองค์ รวมทัง ต้องตระหนักว่าทุกสิงทุกอยา่ งทีเขาได้รับ
มาจากพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
16
ความว่า "พวกเขาถือเป็นบุญคุณแก่เจ้าว่าพวกเขาได้รับอิสลาม
แล้ว จงกล่าวเถิด (มุหัมมัด) ว่าพวกท่านอย่าถือเอาการเข้ารับ
อิสลามของพวกท่านมาเป็นบุญคุณแก่ฉันเลย แต่ท่ว่าอัลลอฮฺทรง
ประทานบุญคุณแก่พวกท่านต่างหาก โดยชีน ำพวกท่านสู่การ
ศรัทธา หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง" (อัลหุุรอต: 17)