ดังนั้น มาตรการแรกที่ทุกคนควรต้องเอาใจใส่เพื่อแก้ปัญหานี้ก็คือ ปลูกฝังอีมานในใจของผู้คน เพราะนี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ใช่คิดแก้กันที่ปลายเหตุ โดยการชูนโยบายที่แฝงลัทธิบูชาอารมณ์ใคร่ด้วยการสนับสนุนให้ยืดอกพกถุงที่มีให้เห็นกันอย่างทุกวันนี้
อัลกุรอานได้พูดถึงมนุษย์บางกลุ่มที่เห็นอารมณ์เป็นใหญ่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการตามอารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและจะนำไปสู่ความเสียหายในที่สุด ดังโองการของอัลลอฮฺที่ว่า
﴿أَفَرَأَيْتَ مَنِ اتَّخَذَ إِلَهَهُ هَوَاهُ وَأَضَلَّهُ اللهُ عَلَى عِلْمٍ وَخَتَمَ عَلَى سَمْعِهِ وَقَلْبِهِ وَجَعَلَ عَلَى بَصَرِهِ غِشَاوَةً فَمَن يَهْدِيهِ مِن بَعْدِ اللهِ أَفَلَا تَذَكَّرُونَ﴾ (الجاثية : 23)
ความว่า “เจ้าเคยเห็นผู้ที่ยึดถือเอาอารมณ์ใฝ่ต่ำเป็นพระเจ้าของเขาบ้างไหม ? และอัลลอฮฺจะทรงให้เขาหลงทางด้วยการรอบรู้(ของพระองค์ว่าคนผู้นี้ต้องหลงทาง หรือเขาได้ตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของตัวเองทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด) และพระองค์ทรงผนึกการการฟังของเขาและหัวใจของเขา และทรงทำให้มีสิ่งบดบังดวงตาของเขา ดังนั้นผู้ใดเล่าจะชี้แนะแก่เขาได้หลังจากที่อัลลอฮฺ(ได้ให้เขาหลงทางไปแล้ว) พวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ ?” (อัล-ญาษิยะฮฺ 23)
อย่าลืมว่า พฤติกรรมส่ำส่อนและประพฤติผิดทางกามารมณ์นั้นล้วนเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความอยากของมนุษย์เป็นหลัก ซึ่งปะทุขึ้นมาจากหลายสาเหตุและอาจจะผสมโรงกับการล่อลวงของชัยฏอนมารร้ายในรูปแบบต่างๆ ไว้อย่างแนบเนียนและหลีกหนีให้พ้นได้ยากนัก ข้อเท็จจริงนี้ เป็นสิ่งที่อัลกุรอานได้ระบุไว้ชัดเจนถึงงานของชัยฏอนที่คอยล่อลวงมนุษย์ให้ทำผิดและมันไม่เคยหยุดนิ่งที่จะทำลายอีมานของมนุษย์แม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว
﴿قَالَ فَبِمَا أَغْوَيْتَنِي لأَقْعُدَنَّ لَهُمْ صِرَاطَكَ الْمُسْتَقِيمَ، ثُمَّ لآتِيَنَّهُم مِّن بَيْنِ أَيْدِيهِمْ وَمِنْ خَلْفِهِمْ وَعَنْ أَيْمَانِهِمْ وَعَن شَمَآئِلِهِمْ وَلاَ تَجِدُ أَكْثَرَهُمْ شَاكِرِينَ﴾ (الأعراف : 16-17)
ความว่า “ด้วยเหตุที่พระองค์ได้กำหนดให้ข้าหลงผิด ข้าขอสาบานว่า ข้าจะล่อลวงพวกเขาจากเส้นทางที่เที่ยงตรงของพระองค์ แล้วข้าจะเข้าไปล่อลวงพวกเขา(ด้วยวิธีต่างๆ)ทั้งจากข้างหน้า ข้างหลัง ข้างขวา และข้างซ้าย พระองค์จะได้เห็นว่า พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เป็นผู้สำนึกคุณ” (อัล-อะอฺรอฟ : 16-17)
และถ้าจะนับจากแผนการแรกที่ชัยฏอนทำได้สำเร็จในการล่อลวงอาดัมและเฮาวาอ์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทั้งมวลก็คือ การทำให้ทั้งสองคนกินสิ่งต้องห้าม และเปลือยร่างของพวกเขาเสีย อัลลอฮฺตรัสถึงเรื่องนี้ว่า
﴿فَوَسْوَسَ لَهُمَا الشَّيْطَانُ لِيُبْدِيَ لَهُمَا مَا وُورِيَ عَنْهُمَا مِنْ سَوْآتِهِمَا وَقَالَ مَا نَهَاكُمَا رَبُّكُمَا عَنْ هَذِهِ الشَّجَرَةِ إِلَّا أَنْ تَكُونَا مَلَكَيْنِ أَوْ تَكُونَا مِنَ الْخَالِدِينَ، وَقَاسَمَهُمَا إِنِّي لَكُمَا لَمِنَ النَّاصِحِينَ، فَدَلَّاهُمَا بِغُرُورٍ فَلَمَّا ذَاقَا الشَّجَرَةَ بَدَتْ لَهُمَا سَوْآتُهُمَا وَطَفِقَا يَخْصِفَانِ عَلَيْهِمَا مِنْ وَرَقِ الْجَنَّةِ﴾ (سورة الأعراف:20-22)
ความว่า “ดังนั้น ชัยฏอนจึงได้กระซิบซาบกับทั้งสองคน โดยมุ่งหมายเพื่อเผยให้เห็นอวัยวะเพศที่ปกปิดอยู่ของทั้งสอง โดยได้กล่าวแก่ทั้งสองว่า ‘ผู้อภิบาลของเจ้าทั้งสองคนไม่ได้ห้ามพวกเจ้าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ นอกเสียจากเพราะมันจะทำให้พวกเจ้าได้เป็นมลาอิกะฮฺและจะได้เป็นผู้อยู่อาศัยในนี้ชั่วกาล’ มันได้สาบานกับทั้งสองว่า ‘แท้จริงข้าเป็นผู้ที่หวังดีกับเจ้าทั้งสองคน’ มันได้ทำให้ทั้งสองตกต่ำด้วยการล่อลวง ดังนั้นเมื่อทั้งสองได้ชิมจากต้นไม้นั้นแล้ว อวัยวะพึงสงวนของทั้งสองคนก็เผยให้เห็น ทั้งอาดัมและเฮาวาอ์(ต่างตกใจ)และได้เก็บเอาใบไม้ในสวรรค์มาปกปิดตัวเอง” (อัล-อะอฺรอฟ :20-22)
พี่น้องผู้ร่วมอีมานทุกท่าน ...
นี่คือข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่มาของปัญหานี้ตามมุมมองอิสลาม มันมีนัยที่อธิบายให้เราเข้าใจประเด็นต่างๆ ได้หลายประการ ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทุกวันนี้
การระบาดหนักของซินาหรือผิดประเวณี ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุ ทว่า มันเกิดขึ้นเพราะมีแรงกระตุ้นและปัจจัยมากมายก่ายกองเป็นตัวจุดไฟแห่งตัณหาและอารมณ์ของมนุษย์ให้คล้อยตามชัยฏอน ในเมื่อสังคมทุกวันนี้อาศัยอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมอบายมุขที่สิ่งมึนเมาสามารถโฆษณาได้สบายไม่ผิดกฎหมาย การอวดร่างเปลือยล่อนจ้อนเป็นแฟชั่นขายดีหาได้ง่ายตามแผงหนังสือและท้องตลาด บวกกับวัฒนธรรมบันเทิงทั้งหนัง เพลง ละคร และอะไรต่อมิอะไรที่ล้วนปลุกอารมณ์ใฝ่ต่ำและสนองต่อกิเสลตัณหาทั้งสิ้น ดังนั้น การแพร่ระบาดของวัฒนธรรมผิดประเวณีจึงย่อมเป็นผลที่ถือว่าไม่แปลกอะไรเลยอีกต่อไป
ข้อสรุปที่อันตรายและควรต้องฉุกคิดกันให้จงหนัก โดยเฉพาะพวกเราทั้งหลายที่เป็นมุสลิมผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ก็คือ วันนี้เรากำลังอยู่ในสังคมที่รับรู้ถึงความชั่วร้ายที่เกิดขึ้น แต่กลับเห็นดีเห็นชอบกับมันด้วย ผลที่ตามมาจึงน่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก ว่ามันจะคืบคลานเข้ามาหาเราในรูปแบบไหน ถ้าหากว่าเราทุกคนยังนิ่งนอนใจและไม่รู้หนาวรู้ร้อนอะไรกับมันเลย
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ..
ถ้าหากต้นกำเนิดของปัญหาและความยุ่งเหยิงมากมายในสังคมมาจากพฤติกรรมของมนุษย์ที่เอาแต่ใจตัวเองและใฝ่แต่ความสุขชั่ววูบตามตัณหา ซึ่งเราอาจจะเรียกว่าเป็น “กระแสวัฒนธรรมชัยฏอน” ก็ไม่ผิด ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาที่ต้นเหตุก็คือ ต้องสร้างภาวะการต่อต้านกระแสชัยฏอนในตัวของมนุษย์ให้บังเกิด ด้วยการปลุกอีมานที่อยู่ในใจให้ลุกโชติ เพราะด้วยอีมานเท่านั้นที่จะทำให้มนุษย์สู้กับชัยฏอนได้
ถ้าอารมณ์เรียกร้องให้เราตามความชอบของตัณหา ให้มีความอยากที่จะดื่มของมึนเมา ทั้งๆ ที่มีของอย่างอื่นอีกมากมายที่หะลาลและไม่ทำให้เสียสติ ก็ให้ใช้อีมานเตือนสติเราว่านั่นคือเสียงเรียกร้องของชัยฏอน
ถ้าใจเราบอกว่าวัฒนธรรมโชว์สะดือ แต่งหน้าทำผม อวดทรงและเรือนร่าง คือความทันสมัย ก็ให้ใช้อีมานสำทับเตือนตัวเองว่านั่นคือ ภารกิจของชัยฏอน เป็นแผนที่มันเคยทำสำเร็จมาแล้วกับพ่อแม่ของเราตั้งแต่อดีตกาล
ถ้าสายตาเรายังมองว่าการมีแฟนและคบกันระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องสวยงามของธรรมชาติระหว่างหนุ่มสาว ก็ให้ใช้อีมานฉุดดึงออกมาจากการเคลิ้มฝันเหล่านั้น ว่าแท้จริงแล้วเรากำลังตกอยู่ในบ่วงกับดักของชัยฏอน ที่จะลากเราไปสู่หายนะโดยไม่รู้ตัว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม บอกกับเราว่า
“ถูกกำหนดให้มนุษย์ต้องพบกับการทำซินาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สองตาทำซินาโดยการมอง สองหูทำซินาด้วยการฟัง ลิ้นซินาของมันคือการเปล่งวาจา มือก็ทำซินาด้วยการจับต้อง เท้าทำซินาด้วยการเดินไปหา หัวใจทำซินาด้วยการแสดงอารมณ์และความต้องการ อวัยวะเพศจะเป็นผู้ทำให้มันเป็นจริงหรือยกเลิก” (รายงานโดย มุสลิม 6696)
“พึงทราบเถิด อย่าให้พวกท่านคนใดคนหนึ่งอยู่กันสองต่อสองกับผู้หญิง เพราะแท้จริงแล้วชัยฏอนจะเป็นคนที่สาม(ที่คอยกระซิบกระซาบให้ทำผิด)” (บันทึกโดย อะหมัด 109 และ อัล-หากิม 357)
ดังนั้น สำนึกของเราควรจะต้องชัดเจนอยู่เสมอว่ากระแสแห่งอบายมุขนั้นมีตัวการใหญ่ที่คอยหนุนอยู่เบื้องหลังเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในคราบของมนุษย์หรือไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม
﴿يَا أَيُّهَا النَّاسُ كُلُواْ مِمَّا فِي الأَرْضِ حَلاَلاً طَيِّباً وَلاَ تَتَّبِعُواْ خُطُوَاتِ الشَّيْطَانِ إِنَّهُ لَكُمْ عَدُوٌّ مُّبِينٌ، إِنَّمَا يَأْمُرُكُمْ بِالسُّوءِ وَالْفَحْشَاء وَأَن تَقُولُواْ عَلَى اللهِ مَا لاَ تَعْلَمُونَ﴾ (البقرة : 168- 169)
ความว่า “มนุษย์เอ๋ย จงกินสิ่งที่ได้รับอนุมัติและที่ดีจากที่มีอยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าปฏิบัติตามแนวทางของชัยฏอน เพราะชัยฏอนเป็นศัตรูที่เปิดเผยของสูเจ้า ที่จริง มันเพียงแต่จะใช้พวกเจ้าให้ประกอบสิ่งชั่วและสิ่งลามกเท่านั้น และจะใช้พวกเจ้ากล่าวความเท็จให้แก่อัลลอฮฺในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 168-169)
เมื่อชัยฏอนและพรรคพวกของมันชักชวนเราไปในทางที่ชั่ว ภารกิจของเราก็คือการสู้กระแสชัยฏอน ด้วยการสร้างกระแสแห่งอีมานในใจของผู้คน ทั้งคนแก่ ผู้ใหญ่ เด็ก และเยาวชน เพราะเมื่อใดที่อีมานประทับอยู่ในใจแล้ว ความยำเกรงต่ออัลลอฮฺก็จะบังเกิด และเมื่อนั้นเราก็จะไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว และพลังล่อลวงของชัยฏอนก็จะไร้ผล
﴿يَا بَنِي آدَمَ قَدْ أَنْزَلْنَا عَلَيْكُمْ لِبَاساً يُوَارِي سَوْآتِكُمْ وَرِيشاً وَلِبَاسُ التَّقْوَى ذَلِكَ خَيْرٌ ذَلِكَ مِنْ آيَاتِ اللهِ لَعَلَّهُمْ يَذَّكَّرُونَ، يَا بَنِي آدَمَ لا يَفْتِنَنَّكُمُ الشَّيْطَانُ كَمَا أَخْرَجَ أَبَوَيْكُمْ مِنَ الْجَنَّةِ يَنْزِعُ عَنْهُمَا لِبَاسَهُمَا لِيُرِيَهُمَا سَوْآتِهِمَا إِنَّهُ يَرَاكُمْ هُوَ وَقَبِيلُهُ مِنْ حَيْثُ لا تَرَوْنَهُمْ إِنَّا جَعَلْنَا الشَّيَاطِينَ أَوْلِيَاءَ لِلَّذِينَ لا يُؤْمِنُونَ﴾ (سورة الأعراف:26- 27)
ความว่า “โอ้ ลูกหลานอาดัม แท้จริงข้าได้ประทานเสื้อผ้าให้กับพวกเจ้าเพื่อใช้ปกปิดอวัยวะอันพึงสงวนของพวกเจ้าแล้ว และยังมีอาภรณ์แห่งความยำเกรงอีก ซึ่งนั่นย่อมดีกว่า นั่นคือจำนวนเครื่องหมายของอัลลอฮฺ เผื่อพวกเจ้าจะสำนึก โอ้ ลูกหลานอาดัม อย่าได้ปล่อยให้ชัยฏอนล่อลวงเจ้า เช่นที่มันได้ทำให้บุพการีทั้งสองของพวกเจ้าออกจากสวรรค์ มันได้ปลดเสื้อผ้าของทั้งสองออกเพื่อเผยให้เห็นอวัยวะอันพึงสงวนของทั้งสอง แท้จริงมันและพรรคพวกมองเห็นพวกเจ้า ในขณะที่พวกเจ้าไม่สามารถเห็นพวกมัน แท้จริงเราได้ทำให้ชัยฏอนเป็นสหายผู้ใกล้ชิดของบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา” (อัล-อะอฺรอฟ :26-27)
จากอายะฮฺนี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่า สำหรับผู้ที่ไม่ศรัทธาเท่านั้น เขาย่อมมีสิทธิและแนวโน้มที่จะเป็นสหายของชัยฏอนได้มากที่สุด แต่สำหรับคนที่มีอีมานและความศรัทธาก็จะไม่เกิดภัยใดๆ แก่เขา อัลลอฮฺได้บอกว่า
﴿إِنَّهُ لَيْسَ لَهُ سُلْطَانٌ عَلَى الَّذِينَ آمَنُواْ وَعَلَى رَبِّهِمْ يَتَوَكَّلُونَ﴾ (النحل : 99 )
ความว่า “แท้จริงแล้ว มัน(ชัยฏอน)นั้นจะไม่มีอำนาจเหนือบรรดาผู้ที่มีอีมานและบรรดาผู้ที่มอบหมายต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา” (อัน-นะหฺลุ 99)
พี่น้องที่รักทุกท่าน ...
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกกับประชาชาติของท่านในหะดีษบทหนึ่งมีความว่า
“ขอสาบานด้วยพระองค์ผู้ซึ่งชีวิตข้าอยู่ในหัตถ์แห่งพระองค์ พวกท่านต้องร่วมสั่งเสียในความดี หักห้ามจากความชั่ว หรือ(ถ้าพวกท่านไม่ทำเช่นนั้น)เห็นทีอัลลอฮฺจะส่งการลงโทษของพระองค์ลงมายังพวกท่าน เมื่อนั้นแม้พวกท่านจะวิงวอนขอจากพระองค์ พระองค์ก็จะไม่ทรงตอบรับ” (เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ, หมายเลขหะดีษฺ 7070)
การร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ในสังคม จะต้องอยู่ในมโนสำนึกของพวกเราทุกคน และจะต้องเป็นภารกิจของคนในสังคมทุกระดับชั้น ไม่ว่าจะเป็นปัจเจกบุคคล ในครอบครัว ในชุมชน ในหมู่บ้าน ในตำบล ในองค์กร ในสถาบันการศึกษา และไม่ว่าใครจะมีหน้าที่การงานหรืออาชีพใด ก็ล้วนต้องมีส่วนร่วมในการ “อัล-อัมรุ บิล มะอฺรูฟฺ วะ อัน-นะฮฺยุ อะนิล มุงกัรฺ” (การสั่งและสนับสนุนให้ทำความดี และการห้ามหรือปฏิเสธความชั่ว) ด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะถ้าหากสังคมขาดจิตสำนึกและไม่มีการทำงานเช่นที่ว่านี้ นั่นก็เสมือนว่าเรากำลังนั่งเฉยและเฝ้าดูความหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ชีวิตของเราทุกระยะ ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรจากการทำลายตัวเองในทางอ้อมเลย ความวิบัติต่างๆ ในสังคม ถ้าหากมันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะด้วยน้ำมือใครก็ตาม ก็ล้วนส่งผลโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ก่อขึ้นมาเองก็ตาม เมื่อใดที่อัลลอฮฺประสงค์จะส่งความวิบัติลงมายังมนุษย์บนโลกพระองค์จะไม่เลือกว่ามีใครบ้างที่ควรต้องประสบกับความวิบัตินั้น แต่มันจะลงมาโดนมนุษย์ทุกคนโดยไม่เลือกหน้า
﴿وَاتَّقُواْ فِتْنَةً لاَّ تُصِيبَنَّ الَّذِينَ ظَلَمُواْ مِنكُمْ خَآصَّةً وَاعْلَمُواْ أَنَّ اللهَ شَدِيدُ الْعِقَابِ﴾ (الأنفال : 25 )
ความว่า “พวกเจ้าจงระวังการลงโทษ(ที่อัลลอฮฺใช้ทดสอบ)ที่จะไม่ประสบกับบรรดาผู้อธรรมเท่านั้น และจงรู้เถิดว่าอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้หนักหน่วงในการลงโทษ” (อัล-อันฟาล : 25)
ดังนั้น จงทำในสิ่งที่ท่านทำได้ตั้งแต่วันนี้ ถ้าท่านเป็นพ่อคนก็จงอบรมลูกหลานให้มีอีมาน ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ก็จงสั่งสอนให้ความคิดแก่ลูกศิษย์ให้เห็นถึงภัยนี้ ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจก็จงช่วยร่วมสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยดูแลเยาวชนให้พ้นจากหายนะนี้ ถ้าท่านเป็นคนมีตำแหน่งหน้าที่การงานในหน่วยงานหรือองค์กร์ใดๆ ก็จงยื่นมือและมีส่วนเพื่อยับยั้งความชั่วร้ายที่คืบคลานเข้ามาหาเราทุกระยะ ยิ่งนานวันก็ยิ่งใกล้มากขึ้น ทุกคนจะต้องมีส่วนช่วยในเรื่องนี้เช่นที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้บอกไว้ความว่า
“ใครคนหนึ่งในพวกท่านที่เห็นความชั่ว เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงมันด้วยมือของเขา ถ้าไม่มีความสามารถให้เขาใช้ปากพูด และถ้ายังทำไม่ได้อีกให้เขาคิดปฏิเสธสิ่งนั้นในใจ และนั่นคือความศรัทธาขั้นต่ำสุด” (ความหมายจากหะดีษฺ ดู เศาะฮีหฺ อัล-ญามิอฺ, หมายเลขหะดีษฺ 6250)
وصلى الله على نبينا محمد وعلى آله وصحبه وسلم