6- การละหมาดกุสูฟและคุสูฟ
คุสูฟ (จันทรุปราคา) คือ การที่แสงจันทร์หายไปหมดหรือหายไปบางส่วนในเวลากลางคืน
กุสูฟ (สุริยุปราคา) คือ การที่แสงตะวันถูกบังไปหมดหรือหายไปบางส่วนในเวลากลางวัน
หุก่มการละหมาดคุสูฟและกุสูฟ
การละหมาดคุสูฟและกุสูฟเป็นสุนัตมุอักกะดะฮฺ สำหรับมุสลิมและมุสลิมะฮฺทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในยามเดินทางหรือไม่ก็ตาม
การรู้เวลากุสูฟและคุสูฟ
คุสูฟและกุสูฟนั้นมีกำหนดเวลาที่ชัดเจนเหมือนกับการขึ้นของดวงตะวันและดวงจันทร์ ซึ่งมีกำหนดเวลาที่ชัดเจน โดยปรกติแล้วอัลลอฮฺจะกำหนดให้กุสูฟนั้นปรากฏในท้ายของเดือน และกำหนดให้คุสูฟนั้นปรากฎในระหว่างที่มันเต็มเดือนอยู่เรียกว่าวันบีฎ
สาเหตุของการกุสูฟและคุสูฟ
เมื่อเกิดกุสูฟหรือคุสูฟให้มุสลิมรีบไปละหมาดที่มัสญิด หรือที่บ้านก็ได้ แต่ที่มัสญิดนั้นดีกว่า ด้วยการเกิดแผ่นดินไหวนั้นมีสาเหตุ ฟ้าแลบก็มีสาเหตุ ภูเขาไฟระเบิดก็มีสาเหตุ การกุสูฟและคุสูฟก็ย่อมมีสาเหตุที่อัลลอฮฺกำหนดให้เช่นกัน ซึ่งเคล็ดลับก็คือการเตือนบ่าวของอัลลอฮฺให้มีความกลัวในโทษของพระองค์และมอบตัวเองและกลับคืนสู่อัลลอฮฺ
ช่วงเวลาของการละหมาดกุสูฟและคุสูฟ
เริ่มละหมาดได้เมื่อเริ่มมีปรากฏการณ์กุสูฟและคุสูฟจนกระทั่งกลับสู่สภาพปรกติ
ลักษณะการละหมาดกุสูฟและคุสูฟ
การละหมาดกุสูฟและคุสูฟไม่มีการอะซานและอิกอมะฮฺ แต่ว่ามีการเรียกให้มาละหมาดไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน โดยใช้ประโยคว่า (الصلاة جامعة) จะกล่าวครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้
หลังจากนั้นให้อิมามตักบีรฺแล้วอ่านฟาติหะฮฺและสูเราะฮฺที่ยาวด้วยเสียงดัง แล้วจึงรุกูอฺด้วยการรุกูอฺที่นาน แล้วเงยขึ้นจากรุกูอฺพร้อมกับกล่าว
(سمع الله لمن حمده، ربنا ولك الحمد)
โดยไม่ต้องลงไปสุญูดก่อน แต่ให้เริ่มอ่านฟาติหะฮฺใหม่อีกครั้ง ตามด้วยสูเราะฮฺที่สั้นกว่าครั้งแรก แล้วจึงรุกูอฺด้วยการรุกูอฺที่สั้นกว่าครั้งแรก แล้วเงยขึ้นจากรุกูอฺ แล้วจึงสุญูดด้วยการสุญูดที่นานสองสุญูด โดยสุญูดครั้งแรกให้นานกว่าครั้งที่สองและให้นั่งระหว่างสองสุญูดด้วย หลังจากนั้นให้ลุกขึ้นทำร็อกอะฮฺที่สองโดยทำเหมือนกับร็อกอะฮฺแรกทุกประการ เพียงแต่ให้สั้นกว่านิดหน่อย แล้วจึงกล่าวตะชะฮฺฮุด แล้วจึงให้สลาม
ลักษณะคุฏบะฮฺในการละหมาดกุสูฟ
สุนัตให้อิมามกล่าวคุฏบะฮฺหลังจากละหมาด โดยมีเนื้อหาการสอนสั่งให้ผู้คนทำดี และกล่าวตักเตือนให้นึกถึงปรากฎการณ์อันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นนี้เพื่อโน้มน้าวจิตใจ แล้วใช้ให้ผู้คนดุอาและอิสติฆฺฟารฺให้มากๆ
มีรายจากท่านหญิงอาอิชะฮฺว่า
ความว่า “ได้เกิด(กุสูฟ)สุริยุปราคาขึ้นในสมัยของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านจึงได้ออกไปละหมาดโดยยืนละหมาดนานมาก แล้วท่านจึงรุกูอฺเป็นเวลานาน เสร็จแล้วท่านได้เงยศรีษะและได้ยืนขึ้น แล้วยืนละหมาดนานอีก แต่น้อยกว่าการยืนในครั้งแรก หลังจากนั้นท่านก็รุกูอฺนานอีก แต่น้อยกว่าการรุกูอฺในครั้งแรก หลังจากนั้นท่านก็สุญูด แล้วท่านก็ลุกขึ้นยืนละหมาดในร็อกอะฮฺที่สองนานอีก แต่น้อยกว่าการยืนในร็อกอะฮฺแรก หลังจากนั้นท่านจึงรุกูอฺเป็นเวลานาน เสร็จแล้วท่านได้เงยศรีษะและได้ยืนขึ้น แล้วยืนละหมาดนานอีก แต่น้อยกว่าการยืนในครั้งแรก หลังจากนั้นท่านก็รุกูอฺนานอีก แต่น้อยกว่าการรุกูอฺในครั้งแรก หลังจากนั้นท่านก็สุญูด แล้วท่านจึงเสร็จละหมาด เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่นออก หลังจากนั้นท่านก็ได้ยืนขึ้นกล่าวตัหฺมีดและชุกูรฺอัลลอฮฺ แล้วกล่าวแก่ผู้คนว่า แท้จริงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นเป็นสัญญานแห่งความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ ฉะนั้นการเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาไม่ใช่เกิดเพราะตายหรือการเกิดของผู้ใด เมื่อพวกท่านเห็นมันก็จงกล่าวตักบีรฺ แล้วดุอาต่ออัลลอฮฺ และจงละหมาดและเศาะดะเกาะฮฺ โอ้ประชาชาติมุหัมมัดเอ๋ยไม่มีผู้ใดที่จะห่วงเกินไปกว่าอัลลอฮฺในการที่บ่าวชายของพระองค์จะซินาหรือบ่าวหญิงของพระองค์จะซินา โอ้ประชาชาติมุหัมมัดเอ๋ย หากพวกท่านรู้ในสิ่งที่ฉันรู้แน่นอนพวกท่านย่อมร้องไห้มากและย่อมหัวเราะน้อย โอ้ ท่านทั้งหลาย ฉันได้บอกจนประจักษ์แล้วหรือไม่ ?” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1044 และมุสลิม เลขที่: 901 ซึ่งสำนวนนี้เป็นของมุสลิม)
การชดละหมาดกุสูฟและคุสูฟ
ถือว่าได้หนึ่งร็อกอะฮฺละหมาดกุสูฟสำหรับผู้ที่ทันในรุกูอฺแรกของทุกร็อกอะฮฺ และไม่จำเป็นต้องชดละหมาดกุสูฟ หากไม่ทันละหมาดเพราะปรากฏการณ์นั้นๆสิ้นสุดแล้ว
เมื่อการกุสูฟและคุสูฟสิ้นสุดลงในขณะที่ผู้คนกำลังละหมาดอยู่ ให้รีบทำให้เสร็จโดยละหมาดสั้นๆ และเมื่อละหมาดเสร็จแล้วแต่การกุสูฟและคุสูฟยังไม่สิ้นสุด ให้กล่าวดุอาอ์ ตักบีรฺและเศาะดะเกาะฮฺให้มากๆ จนกว่าจะสิ้นสุดการกุสูฟและคุสูฟ
ความเข้าใจเกี่ยวกับกุสูฟ
เป็นสิ่งที่ประจักษ์ว่าการกุสูฟนั้นทำให้จิตใจของคนโน้มเอียงไปสู่การเตาฮีดที่บริสุทธิ์ ยอมรับที่จะทำอิบาดะฮฺ ห่างไกลจากอบายมุขและบาป ยำเกรงต่ออัลลอฮฺและกลับเข้าหาอัลลอฮฺ
1- อัลลอฮฺได้กล่าวว่า
ความว่า “และเรามิได้ส่งสัญญานต่างๆ เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเป็นเตือนสำทับเท่านั้น” (อัล-อิสรออ์ : 59)
2- มีรายงานจากท่านอบู มัสอูด อัล-อันศอรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«إنَّ الشَّمْسَ وَالقَمَـرَ آيَتَانِ مِنْ آيَاتِ الله يُـخَوِّفُ الله بِـهِـمَا عِبَادَهُ، وَإنَّهُـمَا لا يَنْكَسِفَانِ لِـمَوتِ أَحَدٍ مِنَ النَّاسِ، فَإذَا رَأَيْتُـمْ مِنْـهُـمَا شَيْئاً فَصَلُّوا وَادْعُوا الله حَتَّى يُكْشَفَ مَا بِكُمْ»
ความว่า “แท้จริงดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นเป็นสัญญานแห่งความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ เพื่อเป็นการเตือนสำทับบรรดาบ่าวของพระองค์ ฉะนั้นการเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาไม่ใช่เกิดเพราะตายของผู้ใด เมื่อพวกท่านเห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จงละหมาดและขอดุอาต่ออัลลอฮฺจนกว่ามันจะหายไป”(มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1041 และมุสลิม เลขที่: 911 ซึ่งสำนวนนี้เป็นของมุสลิม)
หุก่มการละหมาดเมื่อเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ
มีบัญญัติว่าการละหมาดเมื่อเกิดปรากฏการณ์ต่างๆ มีทั้งหมดหกร็อกอะฮฺและสี่สุญูด ในทุกๆ ร็อกอะฮฺมีสามรุกูอฺและสองสุญูด ส่วนสัญญานต่างๆ นั้นได้แก่ แผ่นดินไหว น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด อุบัติภัย และอื่นๆ
7- การละหมาดอิสติสกออ์
อิสติสกออ์ คือ การดุอาอ์เพื่อขอฝนจากอัลลอฮฺด้วยลักษณะที่เฉพาะ
หุก่มการละหมาดอิสติสกออ์
การละหมาดอิสติสกออ์เป็นสุนัตมุอักกะดะฮฺ ละหมาดได้ทุกเวลานอกจากเวลาห้ามละหมาดและที่ดีที่สุดคือให้ละหมาดหลังจากตะวันขึ้นเท่าด้ามหอก
เคล็ดลับในการบัญญัติการละหมาดอิสติสกออ์
เมื่อฝนไม่ตก พื้นดินแห้งแล้งมีบัญญัติให้ละหมาดอิสติสกออ์ โดยให้บรรดามุสลิมออกไปสู่ที่แจ้งด้วยความอ่อนน้อม ใจสงบ ถ่อมตน ทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยให้อิมามนัดบรรดามะอ์มูมออกมาละหมาดอิสติสกออ์ก่อนหน้านั้นวันสองวัน
ประเภทของอิสติสกออ์
อิสติสกออ์อาจทำได้ โดยการละหมาดอิสติสกออ์ร่วมกัน การดุอาอ์ในคุฏบะฮฺญุมุอะฮฺ การดุอาอ์หลังจากเสร็จละหมาดห้าเวลา หรือในขณะที่นั่งสงบจิตอยู่คนเดียวโดยไม่มีการละหมาดหรือคุฏบะฮฺ
ลักษณะการละหมาดอิสติสกออ์
อิมามขึ้นไปนำละหมาดผู้คนสองร็อกอะฮฺโดยไม่ต้องมีการอะซานและอิกอมะฮฺ ให้ตักบีรฺในร็อกอะฮฺแรกเจ็ดตักบีรฺพร้อมตักบีเราะตุลอิหฺรอม แล้วให้อ่านฟาติหะฮฺและสูเราะฮฺหนึ่งสูเราะฮฺใดก็ได้ด้วยเสียงดัง แล้วรุกูอฺและสุญูดตามลำดับ หลังจากนั้นลุกขึ้นทำในร็อกอะฮฺสองโดยให้ตักบีรฺในร็อกอะฮที่สองห้าตักบีรฺที่นอกเหนือจากตักบีรฺลุกขึ้นกิยาม แล้วให้อ่านฟาติหะฮฺและสูเราะฮฺด้วยเสียงดัง เมื่อละหมาดได้สองร็อกอะฮฺแล้วให้ตะชะฮฺฮุด แล้วให้สลาม
ช่วงเวลาการกล่าวคุฏบะฮฺ
ตามสุนนะฮฺแล้วให้อิมามกล่าวคุฏบะฮฺก่อนการละหมาดอิสติสกออ์
1- มีรายงานจากท่านอับบ๊าด บิน ตะมีม จากอาของท่านว่า
رأيت النبي صلى الله عليه وسلم يوم خرج يستسقي قال: فَحَوَّلَ إلَى النَّاسِ ظَهْرَهُ وَاسْتَقْبَلَ القِبْلَةَ يَدْعُو، ثُمَّ حَوَّلَ رِدَاءَهُ ثُمَّ صَلَّى لَنَا رَكْعَتَيْنِ جَهَرَ فِيهِـمَا بِالقِرَاءَةِ
ความว่า “ฉันเห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในวันที่ท่านออกไปละหมาดอิสติสกออ์ แล้วท่านก็หันหลังให้แก่ผู้คนและหันหน้าไปทางกิบละฮฺแล้วขอดุอาอ์ แล้วพลิกกลับด้านผ้าคลุมร่างของท่าน แล้วละหมาดนำพวกเราสองร็อกอะฮฺ โดยให้อ่านเสียงดังทั้งสองร็อกอะฮฺ” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1025 ซึ่งสำนวนนี้เป็นของท่าน และมุสลิม เลขที่: 894)
2- มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า
خرج رسول الله صلى الله عليه وسلم حين بدا حاجب الشمس، فقعد على المنبر، فكبر صلى الله عليه وسلم وحمد الله عز وجل، ثم قال: «إنَّكُمْ شَكَوْتُـمْ جَدْبَ دِيَارِكُمْ..» ... ثم أقبل على الناس ونزل فصلى ركعتين
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ออกไปละหมาดอิสติสกออ์เมื่อมีแสงตะวันขึ้น แล้วท่านก็นั่งบนมิมบัรฺแล้วตักบีรฺ แล้วตะหฺมีด หลังจากนั้นได้กล่าวคุฏบะฮฺว่า “แท้จริงพวกท่านต่างมาฟ้องกับฉันเกี่ยวความแห้งแล้งบ้านเมืองพวกท่าน” จนจบ .. แล้วท่านก็หันไปยังผู้คน และเดินลงมาจากมินบัรฺแล้วก็ละหมาดสองร็อกอะฮฺ” (เป็นหะดีษหะสันที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข(1173)
ลักษณะคุฏบะฮฺอิสติสกออ์
ให้อิมามกล่าวคุฏบะฮฺแค่คุฏบะฮฺเดียวโดยยืนคุฎบะฮฺ ตะหฺมีด ตักบีรฺ และอิสติฆฺฟารฺ แล้วกล่าวดังที่มีตัวบทจากสุนนะฮฺ เช่น
«إنَّكُمْ شَكَوْتُـمْ جَدْبَ دِيَارِكُمْ، وَاسْتِئْخَارَ المَطَرِ عَنْ إبَّانِ زَمَانِـهِ عَنْكُمْ، وَقَدْ أَمَـرَكُمُ الله عَزّ وَجَلَّ أَنْ تَدْعُوهُ، وَوَعَدَكُمْ أَنْ يَسْتَـجِيْبَ لَكُمْ»، ثم يقول: (ﭖ ﭗ ﭘ ﭙ ﭚ ﭛ ﭜ ﭝ ﭞ ﭟ ﭠ ﭡ) «لا إلَـهَ إلَّا الله يَفْعَلُ مَا يُرِيْدُ، اللَّهُـمَّ أَنْتَ الله لا إلَـهَ إلَّا أَنْتَ الغَنِيُّ، وَنَحْنُ الفُقْرَاءُ، أنْزِلْ عَلَيْنَا الغَيْثَ، وَاجْعَلْ مَا أَنْزَلْتَ لَنَا قُوَّةً وَبَلاغاً إلَى حِينٍ»
ความว่า “แท้จริง พวกท่านต่างมาฟ้องกับฉันเกี่ยวความแห้งแล้งบ้านเมืองพวกท่านและความล่าช้าของฝนฟ้ามาเป็นเวลานานแล้ว จริงๆ แล้วอัลลอฮฺได้ใช้ให้พวกท่านขอต่อพระองค์ แล้วสัญญาว่าจะตอบรับดุอาอ์ของท่านโดยจะให้ในสิ่งที่พวกท่านขอทุกประการ” แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมก็กล่าวดุอาอ์ว่า
: (ﭖ ﭗ ﭘ ﭙ ﭚ ﭛ ﭜ ﭝ ﭞ ﭟ ﭠ ﭡ) «لا إلَـهَ إلَّا الله يَفْعَلُ مَا يُرِيْدُ، اللَّهُـمَّ أَنْتَ الله لا إلَـهَ إلَّا أَنْتَ الغَنِيُّ، وَنَحْنُ الفُقْرَاءُ، أنْزِلْ عَلَيْنَا الغَيْثَ، وَاجْعَلْ مَا أَنْزَلْتَ لَنَا قُوَّةً وَبَلاغاً إلَى حِينٍ»
(เป็นหะดีษหะสันที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 1173)
หรือกล่าวดุอาอ์ว่า
«اللَّهُـمَّ اسْقِنَا غَيْثاً، مُغِيثاً، مَرِيئاً، مَرِيعاً، نَافِعاً غَيْرَ ضَارٍّ، عَاجِلاً غَيْرَ آجِلٍ»
(เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข1169)
หรือกล่าวดุอาว่า
«اللَّهُـمَّ اسْقِ عِبَادَكَ وَبِـهَائِمَكَ وَانْشُرْ رَحْـمَتَـكَ، وَأحْيِ بَلَدَكَ المَيِّتَ»
(เป็นหะดีษหะสันที่บันทึกโดยมาลิก ในอัล-มุวัฏเฏาะอ์ หมายเลข 449, อบู ดาวูด หมายเลข 1176 ซึ่งสำนวนนี้เป็นของอบู ดาวูด)
หรือกล่าวดุอาอ์ว่า
«اللَّهُـمَّ أَغِثْنَا، اللَّهُـمَّ أَغِثْنَا، اللَّهُـمَّ أَغِثْنَا»
(มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1014 และมุสลิม เลขที่: 987 )
หรือกล่าวดุอาอ์ว่า
«اللَّهُـمَّ اسْقِنَا، اللَّهُـمَّ اسْقِنَا، اللَّهُـمَّ اسْقِنَا»
(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1013)
เมื่อมีฝนตกหนักและรู้สึกหวาดกลัวความลำบากที่จะตามมา สุนัตให้กล่าวดุอาอ์ว่า
«اللَّهُـمَّ حَوَالَيْنَا وَلا عَلَيْنَا، اللَّهُـمَّ عَلَى الآكَامِ وَالجِبَالِ وَالظِّرَابِ وَالأَوْدِيَةِ، وَمَنَابِتِ الشَّجَرِ»
(มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกใน อัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1013 สำนวนนี้เป็นของท่าน และมุสลิม เลขที่: 897)
ฝนที่เริ่มแรกตก เมื่อย่างเข้าฤดูฝน เมื่อมันตกลงมามีสุนัตให้ถลกผ้าเพื่อให้ฝนถูกส่วนหนึ่งของร่างกายพร้อมๆ กับกล่าวดุอาอ์ว่า
«اللهم صَيِّباً نَافِعاً»
(บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1032)
และให้กล่าวหลังจากฝนตกลงมาแล้วว่า
«مُطِرْنَا بِفَضْلِ الله وَرَحْـمَتِـهِ»
(มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1038 และมุสลิม เลขที่: 71)
เมื่ออิมามกล่าวดุอาอ์อิสติสกออ์มีสุนนะฮฺให้เขายกมือทั้งสองขึ้น และบรรดามะอ์มูมก็ทำตามด้วย แล้วกล่าวอามีนในดุอาอ์ของอิมามในระหว่างที่คุฏบะฮฺอยู่
หลังจากคุฏบะฮฺอิมามจะทำอย่างไร?
เมื่ออิมามกล่าวคุฏบะฮฺเสร็จแล้วให้เขาหันหน้าไปสู่กิบละฮฺแล้วให้ขอดุอาอ์ หลังจากนั้นให้เขาพลิกกลับด้านผ้าคลุมร่างของเขาโดยให้เอาด้านขวาไปเป็นด้านซ้าย ด้านซ้ายเป็นด้านขวา แล้วบรรดามะอ์มูมก็ยกมือขอดุอาอ์เช่นกัน หลังจากนั้นให้เขาเริ่มนำบรรดามะอ์มูมละหมาดอิสติสกออ์สองร็อกอะฮฺตามลักษณะที่กล่าวมา
การร่วมกันทำอิบาดาตและการเชื่อฟังอัลลอฮฺนั้นมีอยู่สองประเภทคือ
ประเภทแรก สิ่งที่เป็นสุนนะฮฺ รอติบะฮฺ (เป็นภารกิจที่ให้ทำเป็นประจำ) ไม่ว่าจะเป็นสิ่งวาญิบ เช่น การร่วมกันเพื่อละหมาดห้าเวลา การร่วมกันเพื่อละหมาดญุมุอะฮฺ หรือสิ่งที่เป็นสุนัต เช่นการร่วมกันเพื่อละหมาดอีดทั้งสอง การร่วมกันเพื่อละหมาดตะรอวีหฺ การร่วมกันเพื่อละหมาดกุสูฟ การร่วมกันเพื่อละหมาดอิสติสกออ์ ซึ่งสุนนะฮฺรอติบะฮฺเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ให้ตลอดเวลาและให้สม่ำเสมอ
ประเภทที่สอง สิ่งที่ไม่เป็นสุนนะฮฺ รอติบะฮฺ เช่น การร่วมกันละหมาดสุนัตอย่างกิยามุลลัยลฺ หรือการร่วมกันเพื่อขอดุอาอ์ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำเป็นบางครั้งได้แต่อย่าทำเป็นประจำ
8- การละหมาดฎุฮา
การละหมาดฎุฮา เป็นการละหมาดที่เป็นสุนัต ซึ่งอย่างน้อยที่สุดต้องมีสองร็อกอะฮฺ แต่จะละหมาดมากเท่าใดก็ได้ไม่จำกัด
เวลาในการละหมาดฎุฮา คือหลังจากตะวันขึ้นเท่าด้ามหอก(ประมาณหนึ่งเมตร) หมายความว่าหลังจากตะวันขึ้นประมาณสิบห้านาที จนกระทั่งตะวันคล้อย และเวลาที่ดีที่สุดคือเมื่อแสงอาทิตย์ร้อนจัดทำให้ทรายร้อน จนเท้าของลูกอูฐร้อนและอยู่ไม่นิ่ง
ความประเสริฐของการละหมาดฎุฮา
1- มีรายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺเราะฎิยัลลอฮุอันฮุว่า
أَوْصَانِي خَلِيلِي صلى الله عليه وسلم بِثَلاثٍ: صِيَامِ ثَلاثَـةِ أَيَّامٍ مِنْ كُلِّ شَهْـرٍ، وَرَكْعَتَيِ الضُّحَـى، وَأَنْ أُوْتِـرَ قَبْلَ أَنْ أَنَـامَ.
ความว่า “ผู้เป็นที่รักยิ่งของฉัน(หมายถึงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้สั่งเสียแก่ฉันสามอย่างด้วยกัน คือการถือศีลอดสุนัตสามวันต่อเดือนทุกเดือน การละหมาดสองร็อกอะฮฺในเวลาฎุฮา และการละหมาดวิตรฺก่อนที่ฉันจะนอนทุกครั้ง” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1981 สำนวนนี้เป็นของท่าน และมุสลิม เลขที่: 721)
2- มีรายงานจากท่านอบูซัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า
«يُصْبِـحُ عَلَى كُلِّ سُلامَى مِنْ أحَدِكُمْ صَدَقَةٌ، فَكُلُّ تَسْبِيحَةٍ صَدَقَةٌ، وَكُلُّ تَـحْـمِيدَةٍ صَدَقَةٌ، وَكُلُّ تَـهْلِيلَةٍ صَدَقَةٌ، وَكُلُّ تَـكْبِيرَةٍ صَدَقَةٌ، وَأمْرٌ بِالمَعْرُوفِ صَدَقَةٌ، وَنَـهْيٌ عَنِ المُنْكَرِ صَدَقَةٌ، وَيُـجْزِئُ مِنْ ذَلِكَ رَكْعَتَانِ يَرْكَعُهُـمَا مِنَ الضُّحَى»
ความว่า “ทุกๆ เช้า พวกท่านเริ่มเช้าขึ้นมาด้วยหน้าที่ซึ่งต้องรับผิดชอบบริจาคเศาะดะเกาะฮฺต่อ(พระคุณของอัลลอฮฺที่ทรงประทาน)กระดูกทุกข้อของพวกท่าน ทุกครั้งที่กล่าว สุบหานัลลอฮฺ เป็นเศาะดะเกาะฮฺหนึ่ง การกล่าว อัลหัมดุลิลลาฮฺ ก็เป็นเศาะดะเกาะฮฺ การกล่าว ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ ก็เป็นเศาะดะเกาะฮฺ การกล่าว อัลลอฮุอักบัรฺ ก็เป็นเศาะดะเกาะฮฺ การใช้ให้ทำความดีเป็นเศาะดะเกาะฮฺ การห้ามปรามจากความชั่วเป็นเศาะดะเกาะฮฺ และเป็นการเพียงพอจากสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาด้วยการละหมาดฎุฮาเพียงสองร็อกอะฮฺ” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 720)
9- การละหมาดอิสติคอเราะฮฺ
อิสติคอเราะฮฺ คือ การขอทางเลือกจากอัลลอฮฺในการตัดสินใจเลือกเอาสิ่งหนึ่งจากหลายๆ สิ่งที่เป็นวาญิบหรือสิ่งที่เป็นสุนัต เมื่อมันเป็นสองสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน หรือสิ่งที่เป็นมุบาหฺ(อนุญาตให้ทำได้ทั้งสองอย่าง)เมื่อไม่รู้ว่าอย่างไหนมีประโยชน์มากกว่า
หุก่มการละหมาดอิสติคอเราะฮฺ
การละหมาดอิสติคอเราะฮฺเป็นการละหมาดสุนัตฺ ซึ่งมีสองร็อกอะฮฺ และการดุอาอ์อิสติคอเราะฮฺนั้นให้ทำก่อนสลามหรือหลังก็ได้ แต่ก่อนสลามนั้นดีกว่า และอนุญาตให้ละหมาดอิสติคอเราะฮฺได้มากกว่าหนึ่งครั้ง ในเวลาที่หลากหลาย และให้เขาทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้ใจของเขาบริสุทธิ์ สงบ สบายปราศจากอารมณ์ใฝ่ต่ำก่อนที่จะละหมาดอิสติคอเราะฮฺ
การอิสติคอเราะฮฺและอิสติชาเราะฮฺ(ขอคำปรึกษา)นั้น เป็นสิ่งที่ทำได้สำหรับผู้ที่ปรารถนาจะทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่สิ่งหะรอมและมักรูฮฺ ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งสุนัต ฉะนั้นจึงไม่น่าจะมีการเสียใจในภายหลังสำหรับคนที่ขออิสติคอเราะฮฺจากอัลลอฮฺและขอคำปรึกษาจากมนุษย์แล้ว ก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดังที่อัลลอฮฺกล่าวว่า
ความว่า “และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย ครั้นเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้วก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮฺเถิด” (อาล อิมรอน : 159)
ลักษณะการอิสติคอเราะฮฺ
มีรายงานจากท่านญาบิรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า
كَانَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم يُـعَلِّمُنَا الاسْتِـخَارَةَ فِي الأُمُورِ كُلِّهَا كَالسُّورَةِ مِنَ القُرْآنِ: «إذَا هَـمَّ أَحَدُكُمْ بِالأَمْرِ، فَلْيَرْكَعْ رَكْعَتَيْنِ مِنْ غَيْرِ الفَرِيضَةِ ثُمَّ يَـقُولُ: «اللَّهُـمَّ إنِّي أَسْتَـخِيرُكَ بِـعِلْـمِكَ، وَأَسْتَقْدِرُكَ بِقُدْرَتِكَ، وَأَسْأَلُكَ مِنْ فَضْلِكَ العَظِيمِ، فَإنَّكَ تَقْدِرُ وَلا أَقْدِرُ، وَتَعْلَـمُ وَلا أَعْلَـمُ، وَأَنْتَ عَلَّامُ الغُيُوبِ، اللَّهُـمَّ إنْ كُنْتَ تَعْلَـمُ أَنَّ هَذَا الأَمْرَ خَيْرٌ لِي فِي دِينِي وَمَعَاشِي وَعَاقِبَةِ أَمْرِي -أَوْ قَالَ: فِي عَاجِلِ أَمْرِي وآجِلِـهِ- قَاقْدُرْهُ لِي.
وَإنْ كُنْتَ تَعْلَـمُ أَنَّ هَذَا الأَمْرَ شَرٌّ لِي فِي دِينِي وَمَعَاشِي، وَعَاقِبَةِ أَمْرِي -أَوْ قَالَ فِي عَاجِلِ أَمْرِي وآجِلِـهِ- فَاصْرِفْهُ عَنِّي وَاصْرِفْنِي عَنْـهُ، وَاقْدُرْ لِيَ الخَيْرَ حَيْثُ كَانَ، ثُمَّ رَضِّنِي بِـهِ، وَيُسَمِّي حَاجَتَـهُ»
ความว่า “ปรากฎว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สอนพวกเราเกี่ยวกับอิสติคอเราะฮฺในทุกๆ เรื่องเหมือนสอนสูเราะฮฺหนึ่งในอัลกุรอาน (เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่พวกท่านปรารถนาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เขาจงละหมาดสองร็อกอะฮฺซึ่งไม่ใช่ละหมาดวาญิบแล้วให้กล่าวว่า
«اللَّهُـمَّ إنِّي أَسْتَـخِيرُكَ بِـعِلْـمِكَ، وَأَسْتَقْدِرُكَ بِقُدْرَتِكَ، وَأَسْأَلُكَ مِنْ فَضْلِكَ العَظِيمِ، فَإنَّكَ تَقْدِرُ وَلا أَقْدِرُ، وَتَعْلَـمُ وَلا أَعْلَـمُ، وَأَنْتَ عَلَّامُ الغُيُوبِ، اللَّهُـمَّ إنْ كُنْتَ تَعْلَـمُ أَنَّ هَذَا الأَمْرَ خَيْرٌ لِي فِي دِينِي وَمَعَاشِي وَعَاقِبَةِ أَمْرِي-أَوْ قَالَ: فِي عَاجِلِ أَمْرِي وآجِلِـهِ- قَاقْدُرْهُ لِي. وَإنْ كُنْتَ تَعْلَـمُ أَنَّ هَذَا الأَمْرَ شَرٌّ لِي فِي دِينِي وَمَعَاشِي، وَعَاقِبَةِ أَمْرِي -أَوْ قَالَ فِي عَاجِلِ أَمْرِي وآجِلِـهِ- فَاصْرِفْهُ عَنِّي وَاصْرِفْنِي عَنْـهُ، وَاقْدُرْ لِيَ الخَيْرَ حَيْثُ كَانَ، ثُمَّ رَضِّنِي بِـهِ»
คำอ่าน อัลลอฮุมมะ อินนี อัสตะคีรุกะ บิอิลมิกะ, วะอัสตักดิรุกะ บิกุดร่อติกะ, วะอัสอะลุกะ มินฟัฎลิกั๊ลอะซีม, ฟะอินนะกะ ตักดิร วะลาอั๊กดิร, วะตะอฺละมุ วะลาอะอฺลัม, วะอันตะ อั๊ลลามุ้ลฆุยู๊บ, อัลลอฮุมมะ อินกุนตะ ตะอฺละมุ อันนะฮาซัลอัมร่อ ...(ระบุงานที่จะขอตรงนี้) ... คอยรุน ลี , ฟีดีนี วะมะอาชี วะอากิบะติ อัมรี, (หรือกล่าวว่า ฟี อฺาญิลิ อัมรี วะ อาญิลิฮี), ฟักดุรฮุลี วะยัสสิรฺฮุ ลี ษุมมะบาริก ลีฟีฮิ, วะอินกุนตะ ตะอฺละมุ อันนะฮาซัล อัมร่อ ชัรรุน ลี, ฟีดีนี วะมะอาชี วะอากิบะติอัมรี (หรือกล่าวว่า ฟี อฺาญิลิ อัมรี วะ อาญิลิฮี), ฟัศริฟฮุ อันนี วัศริฟนี อันฮุ, วักดุร ลิยัลค็อยร่อ ฮัยษุกานะ, ษุมมัรฎินี บิฮี
ความหมายดุอาอ์ โอ้อัลลอฮฺ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ช่วยเลือกสิ่งที่ดีด้วยความรอบรู้ของพระองค์ และขอให้พระองค์บันดาลให้ข้าพระองค์มีความสามารถที่จะลงมือทำ ด้วยพระเดชานุภาพของพระองค์ และข้าพระองค์วิงวอนต่อพระองค์จากพระมหากรุณาอันใหญ่หลวงของพระองค์ (ให้เปิดใจเพื่อคุณธรรมความดีด้วยเถิด) แน่แท้พระองค์ทรงมหาอำนาจ ข้าพระองค์ไม่มีอำนาจใดๆ เลย พระองค์ทรงรอบรู้ยิ่ง ส่วนข้าพระองค์ไม่มีความรู้อะไรเลย พระองค์ทรงไว้ซึ่งความรอบรู้ยิ่งในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย โอ้ อัลลอฮฺ หากพระองค์ทรงทราบว่านี้...(กล่าวชื่อของงาน เป็นภาษาใดก็ได้) เป็นส่วนดีแก่ข้าพระองค์ ในการศาสนาของข้าพระองค์ และในการครองชีพ ของข้าพระองค์ และในอวสานแห่งงานของข้าพระองค์แล้ว (ทั้งในระยะใกล้และระยะไกล) ดังนั้น ขอพระองค์กำหนดงานนั้นให้ข้าพระองค์และให้มันสะดวก ง่ายดายแก่ข้าพระองค์แล้วขอประทานความศิริมงคลในงานนี้ให้แก่ข้าพระองค์ด้วย แต่ถ้าพระองค์ทรงรู้ว่างานนี้เป็นผลร้ายแก่ข้าพระองค์ ในการศาสนาของข้าพระองค์ และในการครองชีพของข้าพระองค์ และในตอนสุดท้ายแห่งงานของข้าพระองค์แล้ว (ทั้งในระยะใกล้และระยะไกล) ขอพระองค์ได้ทรงโปรดให้งานนี้หลีกพ้นไปจากข้าพระองค์ด้วย และขอให้ข้าพระองค์รอดพ้นจากนี้ด้วยเถิด และขอพระองค์ทรงบันดาลความดีให้แก่ข้าพระองค์ ไม่ว่าสถานใด แล้วขอได้ทรงประทานความโปรดปรานให้แก่ข้าพระองค์ในงานนั้นๆ ด้วย
โดยให้กล่าวถึงสิ่งที่เขาปรารถนาจะเลือก” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลข 6382)
การสุญูดติลาวะฮฺ
หุก่มการสุญูดติลาวะฮฺ
การสุญูดติลาวะฮฺเป็นสุนัตทั้งในและนอกละหมาด และสุนัตให้สุญูดไม่ว่าจะเป็นผู้อ่านหรือผู้ฟังในทุกเวลา
จำนวนอายะฮฺสัจญดะฮฺในอัลกุรอาน
ในอัลกุรอานมีอายะฮฺสัจญดะฮฺ 15 อายะฮฺ คือในสูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ, สูเราะฮฺ อัร-เราะอฺดุ, สูเราะฮฺ อัน-นะหฺลุ, สูเราะฮฺ อัล-อิสรออ์, สูเราะฮฺ มัรฺยัม, สองอายะฮฺในสูเราะฮฺ อัล-หัจญ์, สูเราะฮฺ อัล-ฟุรฺกอน, สูเราะฮฺ อัน-นัมลฺ, สูเราะฮฺ อัส-สัจญ์ดะฮฺ, สูเราะฮฺ ศอด, สูเราะฮฺ ฟุศฺศิลัต, สูเราะฮฺ อัน-นัจญ์มุ, สูเราะฮฺ อัล-อินชิกอก และ สูเราะฮฺ อัล-อะลัก
อายะฮฺสัจญดะฮฺในอัลกุรอานมีอยู่สองประเภท
คือการบอกเล่า และการสั่ง สำหรับการบอกเล่านั้นคือการบอกเล่าจากอัลลอฮฺเกี่ยวกับการสุญูดของสิ่งถูกสร้างต่อพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นโดยรวมหรือเป็นการเฉพาะ ฉะนั้นจึงสุนัตให้ผู้อ่านและผู้ฟังต้องสุญูดเลียนแบบพวกเขา
ส่วนอายะฮฺที่เป็นการสั่งให้สุญูดต่ออัลลอฮฺ ฉะนั้นเขาจงน้อมรับคำสั่งนั้นด้วยการภักดีเชื่อฟังต่อพระเจ้าของเขาด้วยการสุญูดตามคำสั่งดังกล่าว
ลักษณะการสุญูดติลาวะฮฺ
การสุญูดติลาวะฮฺคือการสุญูดครั้งเดียวโดยให้กล่าวตักบีรฺเมื่อจะสุญูดและเมื่อเงยขึ้นจากสุญูดถ้าอยู่ในละหมาด และถ้าอยู่นอกละหมาดให้สุญูดโดยไม่ต้องยืน ไม่ต้องตักบีรฺ ไม่ต้องตะชะฮฺฮุด และไม่ต้องให้สลาม
ความประเสริฐของสุญูดติลาวะฮฺ
มีรายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
«إذَا قَرَأَ ابْنُ آدَمَ السَّجْدَةَ فَسَجَدَ، اعْتَزَلَ الشَّيْطَانُ يَبْكِي، يَـقُولُ: يَا وَيْلَـهُ، -وَفِي رِوَايَةٍ- يَا وَيْلِي أُمِرَ ابْنُ آدَمَ بِالسُّجُودِ فَسَجَدَ فَلَـهُ الجَنّةَ، وَأُمِرْتُ بِالسُّجُودِ فَأَبَيْتُ فَلِي النَّارُ»
ความว่า “เมื่อลูกอาดัมคนหนึ่งอ่านอายะฮฺสัจญ์ดะฮฺแล้วสุญูด ชัยฏอนจะออกห่างแล้วร้องไห้ แล้วกล่าวว่า ความพินาจประสบแก่ข้าแล้ว (และอีกสายรายงานหนึ่ง) ฉิบหายแล้วข้า ลูกอาดัมถูกสั่งให้สุญูด เขาก็สุญูด เขาจึงได้เข้าสวรรค์ แต่ข้านั้นเมื่อถูกสั่งให้สุญูด ข้าไม่ยอมสุญูด ข้าเลยต้องลงนรก” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 81)
เมื่ออิมามสุญูดจำเป็นที่มะอ์มูมต้องสุญูดตามอิมามด้วย และไม่มักรูฮฺสำหรับอิมามหากเขาจะอ่านอายะฮฺหรือสูเราะฮฺที่มีสัจญ์ดะฮฺในการละหมาดที่อ่านเสียงค่อย
สิ่งที่กล่าวในสุญูดติลาวะฮฺ
ให้กล่าวในสุญูดติลาวะฮฺเหมือนที่กล่าวในสุญูดละหมาดปรกติไม่ว่าจะเป็นซิกิรฺหรือดุอา
สุนัตให้สุญูดติลาวะฮฺในสภาพที่สะอาดจากหะดัษและนะญิส และอนุญาตให้ผู้มีหะดัษ หัยฎฺและนิฟาสสุญูดติลาวะฮฺหากผ่านหรือได้ยินคนอ่านอายะฮฺสัจญ์ดะฮฺ
การสุญูดชุกูรฺ
หุก่มการสุญูดชุกูรฺ(การสุญูดเพื่อขอบคุณ)
1- สุนัตให้สุญูดชุกูรฺขอบคุณอัลลอฮฺเมื่อได้รับนิอฺมัตใหม่ๆ เช่น ผู้ที่ได้รับข่าวเกี่ยวกับการได้รับทางนำหรือรับศาสนาอิสลามของบุคคลคนหนึ่งที่เขาพยายามดะอฺวะฮฺ หรือเกี่ยวกับชัยชนะของชาวมุสลิม หรือได้บุตรคนใหม่ เป็นต้น
2- สุนัตให้สุญูดชุกูรฺเมื่อได้รับความปลอดภัยจากภัยพิบัติ เช่น ผู้ที่รอดตายจากการจมน้ำ ไฟไหม้ ถูกตามฆ่า หรือขโมยของ เป็นต้น
ลักษณะการสุญูดชุกูรฺ
การสุญูดชุกูรฺคือการสุญูดครั้งเดียวโดยไม่ต้องตักบีรฺ และไม่ต้องให้สลาม และให้สุญูดนอกละหมาด จะสุญูดในสภาพไหนก็ได้ไม่ว่าจะยืนหรือนั่ง มีหะดัษ หรือสะอาดไม่มีหะดัษ แต่สุญูดในสภาพที่สะอาดนั้นประเสริฐกว่า
มีรายงานจากท่านอบู บักเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า
أن النبي كان إذا أتاه أمر يَسُرُّه، أو يُسَرُّ به خَرَّ ساجداً شكراً ٬ تبارك وتعالى
ความว่า “ปรากฏว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เมื่อมีเรื่องที่ทำให้ท่านพอใจ หรือถูกทำให้ท่านพอใจ ท่านจะก้มลงสุญูดเป็นการชุกูรฺขอบคุณต่ออัลลอฮฺ” (เป็นหะดีษหะสัน บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 2774 และอิบนุ มาญะฮฺ 1394 สำนวนนี้เป็นของอิบนุ มาญะฮฺ)
สิ่งที่กล่าวในสุญูดชุกูรฺ
ให้กล่าวในสุญูดชุกูรฺเหมือนที่กล่าวในสุญูดละหมาดปรกติเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นซิกิรฺหรือดุอาอ์
ช่วงเวลาที่ห้ามจากการละหมาด
ช่วงเวลาที่ห้ามจากการละหมาดมีห้าช่วง คือ
1- มีรายงานจากท่านอบู สะอีด อัล-คุดรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«لا صَلاةَ بَـعْدَ صَلاةِ العَصْرِ حَتَّى تَغْرُبَ الشَّمْسُ، وَلا صَلاةَ بَـعْدَ صَلاةِ الفَجْرِ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ»
ความว่า “ไม่มีการละหมาดหลังจากละหมาดอัศรฺจนกว่าตะวันจะตกดินและไม่มีการละหมาดหลังจากละหมาดฟัจญ์รฺจนกว่าตะวันจะขึ้น” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 586 และมุสลิม เลขที่: 827 ซึ่งสำนวนนี้เป็นของมุสลิม)
2- มีรายงานจากท่านอุกฺบะฮฺ บิน อามิรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า
ثَلاثُ سَاعَاتٍ كَانَ رَسُولُ الله صلى الله عليه وسلم يَنْـهَانَا أَنْ نُصَلِّيَ فِيهِنَّ، أَوْ أَنْ نَقْبُرَ فِيهِنَّ مَوتَانَا: حِينَ تَطْلُعُ الشَّمْسُ بَازِغَةً حَتَّى تَرْتَفِعَ، وَحِينَ يَـقُومُ قَائِمُ الظَّهِيرَةِ حَتَّى تَـمِيلَ الشَّمْسُ، وَحِينَ تَضيَّفُ الشَّمْسُ لِلْغُرُوبِ حَتَّى تَغْرُبَ
ความว่า “มีอยู่สามเวลาที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ห้ามไม่ให้พวกเราละหมาดหรือฝังคนตายลงกุบูรฺ คือ เมื่อตะวันกำลังจะขึ้นจนกระทั่งตะวันขึ้นเรียบร้อยแล้ว เมื่อตะวันอยู่ตรงศีรษะจนกระทั่งตะวันคล้อยเรียบร้อยแล้ว และเมื่อตะวันกำลังจะตกดินจนกระทั่งตะวันตกดินเรียบร้อยแล้ว” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 831)
อนุญาตให้ละหมาดสุนัตหลังจากละหมาดอัศฺริตราบใดที่ดวงตะวันยังสว่างจ้าและเด่นตระหง่านอยู่
มีรายงานจากท่านอะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า
أَنَّ النَّبِيَّ صلى الله عليه وسلم نَـهَى عَن الصَّلاةِ بَـعْدَ العَصْرِ إلا وَالشَّمْسُ مُرْتَفِعَةٌ
ความว่า “แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ห้ามไม่ให้ละหมาดสุนัตหลังจากละหมาดอัศรฺนอกจากในขณะที่ดวงตะวันยังเด่นตระหง่านอยู่”(เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอบู ดาวูด สำนวนนี้เป็นของอบู ดาวูดหมายเลข 1274 และบันทึกโดยอัน-นะสาอีย์ หมายเลข 573)
หุก่มการละหมาดในเวลาที่ต้องห้าม
1- อนุญาตให้ละหมาดชดละหมาดวาญิบในเวลาต้องห้ามทั้งห้าที่ได้กล่าวมา และอนุญาตให้ละหมาดสองร็อกอะฮฺเฏาะวาฟ และละหมาดสุนัตที่มีสาเหตุ เช่นตะหิยะตุลมัสญิด สองร็อกอะฮฺวุฎูอ์(หลังอาบน้ำละหมาด) ละหมาดกุสูฟ เป็นต้น
2- มีบัญญัติสำหรับผู้ที่ไม่ได้ละหมาดสุนัตก่อนละหมาดศุบหฺเพราะมีเหตุจำเป็น ให้เขาละหมาดชดสุนัตดังกล่าวหลังละหมาดศุบหฺได้ และละหมาดสุนัตซุฮรฺให้ชดหลังละหมาดอัศรฺได้
3- อนุญาตให้ละหมาดสุนัตในมัสญิดอัลหะรอมได้ทุกเวลา
มีรายงานจากท่านญุบัยฺร อิบนุ มุฏฺอิม เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«يَا بَنِي عَبْدِ مَنَافٍ لا تَـمْنَعُوا أَحَداً طَافَ بِـهَذَا البَيْتِ وَصَلَّى أَيّة سَاعَةٍ شَاءَ مِنْ لَيْلٍ أَوْ نَـهَارٍ»
ความว่า “โอ้ ลูกหลานของอับดุมะนาฟ พวกท่านอย่าได้ห้ามผู้ใดทำการเฏาะวาฟบัยตุลลอฮฺ และอย่าได้ห้ามขัดขวางเขาจากการละหมาด ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม หากเขาต้องการจะปฏิบัติไม่ว่าในเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตาม” (เป็นหะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอัต-ติรมิซีย์ หมายเลข 868 และอิบนุ มาญะฮฺหมายเลข 1254)