บทความ




3- การละหมาดวิตรฺ





หุก่มการละหมาดวิตรฺ





การละหมาดวิตรฺเป็นสุนัตมุอักกะดะฮฺ ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ส่งเสริมให้กระทำ ทั้งนี้ได้มีรายงานกล่าวว่า





«الوِتْرُ حَقٌّ عَلَى كُلِّ مُسْلِـمٍ»





ความว่า “การละหมาดวิตรฺเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคน” (เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข1422 ซึ่งสำนวนนี้เป็นสำนวนของท่าน และบันทึกโดยอัน-นะสาอีย์ หมายเลข 1712)





เวลาของการละหมาดวิตรฺ





เวลาละหมาดวิตรฺคือหลังจากละหมาดอิชาอ์จนถึงออกฟัจญฺริที่สอง(คือถึงเวลาละหมาดศุบหฺ) และช่วงท้ายของกลางคืนเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เชื่อใจตัวเองว่าจะตื่นละหมาดได้ ทั้งนี้มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า





مِنْ كُلِّ اللَّيْلِ قَدْ أَوْتَرَ رَسُولُ الله صلى الله عليه وسلم مِنْ أَوَّلِ اللَّيْلِ، وَأَوْسَطِهِ، وَآخِرِهِ، فَانْتَـهَى وِتْرُهُ إلَى السَّحَرِ





ความว่า “ในตลอดทั้งคืนเป็นช่วงเวลาที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยละหมาดวิตรฺทั้งสิ้นบางครั้งในช่วงแรก ในช่วงกลาง และในช่วงท้าย จนกระทั่งจบวิตรฺในเวลาสุหูรฺ” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 996 และมุสลิม เลขที่: 745 ซึ่งสำนวนนี้เป็นของมุสลิม)





ลักษณะการละหมาดวิตรฺ





บางครั้งอาจมีร็อกอะฮฺเดียว บางครั้งสาม ห้า เจ็ด หรือเก้า หากต่อกันรวดเดียวด้วยสลามเดียว (บันทึกโดยมุสลิมหมายเลข 746 และอัน-นะสาอีย์ หมายเลข 1713)





จำนวนร็อกอะฮฺของละหมาดวิตรฺอย่างน้อยที่สุดและมากที่สุด





1- อย่างน้อยที่สุดของคือหนึ่งร็อกอะฮฺการละหมาดวิตรฺ และมากที่สุดคือไม่เกินสิบสามร็อกอะฮฺ ให้ละหมาดครั้งละสองร็อกอะฮฺสองร็อกอะฮฺ แล้วจบท้ายด้วยหนึ่งร็อกอะฮฺ และวิตรฺที่สมบูรณ์แบบนั้นอย่างต่ำต้องไม่น้อยกว่าสามร็อกอะฮฺ โดยมีสลามสองครั้ง หรือมีสลามเดียวและตะชะฮฺฮุดครั้งเดียวตอนท้ายก็ได้ และสุนัตให้อ่านสูเราะฮฺ อัล-อะอฺลาในร็อกอะฮฺแรกหลังจากฟาติหะฮฺ ในร็อกอะฮฺที่สองอ่านสูเราะฮฺ อัล-กาฟิรูน และในร็อกอะฮฺที่สามอ่านสูเราะฮฺ อัล-อิคลาศ





2- ถ้าหากละหมาดห้าร็อกอะฮฺให้ตะชะฮฺฮุดครั้งเดียวในตอนท้ายแล้วให้สลาม และหากละหมาดเจ็ดร็อกอะฮฺก็ให้ทำเช่นเดียวกัน แต่หากจะตะชะฮฺฮุดในร็อกอะฮฺที่หก แล้วเริ่มร็อกอะฮฺที่เจ็ดอีกหนึ่งร็อกอะฮฺก็ทำได้





มีรายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า





أوْصَانِي خَلِيلِي بِثَلاثٍ، لا أدَعُهُنَّ حَتَّى أمُوتَ: صَوْمِ ثَلاثَةِ أيَّامٍ مِنْ كُلِّ شَهْرٍ، وَصَلاةِ الضُّحَى وَنَوْمٍ عَلَى وِتْرٍ





ความว่า “ผู้เป็นที่รักยิ่งของฉันได้สั่งเสียฉันสามอย่างด้วยกัน โดยไม่ให้ฉันละเลยสามอย่างนี้จนกว่าฉันจะตายไป คือการถือศีลอดสุนัตสามวันต่อเดือน การละหมาดฎุฮา และการละหมาดวิตรฺก่อนนอน” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1137 สำนวนนี้เป็นของท่าน และมุสลิม เลขที่: 749)





หากละหมาดวิตรฺเก้าร็อกอะฮฺให้ตะชะฮฺฮุดสองครั้ง ครั้งแรกในร็อกอะฮฺที่แปดแต่อย่าเพิ่งให้สลาม ให้ลุกขึ้นมาทำร็อกอะฮฺที่เก้าแล้วตะชะฮฺฮุดแล้วจึงให้สลาม แต่ที่ดีคือให้จบท้ายด้วยหนึ่งร็อกอะฮฺที่เอกเทศเสมอ หลังจากนั้นให้กล่าวหลังจากสลามว่า





(سُبْحَانَ الْمَلِكِ الْقُدُّوْسِ)





สุบหานัล มะลิกิล กุดดูส





โดยให้กล่าวสามครั้ง และให้ยืดเสียงในครั้งที่สาม





เวลาในการละหมาดวิตรฺ





ให้มุสลิมละหมาดวิตรฺหลังจากละหมาดตะฮัจญุด แต่หากกลัวว่าไม่ตื่น ก็ให้ละหมาดก่อนนอน เพราะมีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า





«مَنْ خَافَ أَنْ لا يَـقُومَ مِنْ آخِرِ اللَّيْلِ فَلْيُوتِرْ أَوَّلَـهُ، وَمَنْ طَمِعَ أَنْ يَـقُومَ آخِرَهُ فَلْيُوتِرْ آخِرَ اللَّيْلِ، فَإنَّ صَلاةَ آخِرِ اللَّيْلِ مَشْهُودَةٌ، وَذَلِكَ أَفْضَلُ»





ความว่า “ผู้ใดที่กลัวว่าตัวเองจะไม่ตื่นในช่วงท้ายของกลางคืน ให้เขาละหมาดวิตรฺในช่วงแรกๆและผู้ใดที่มั่นใจว่าจะตื่นในช่วงท้ายให้ละหมาดวิตรฺในช่วงท้าย เพราะการละหมาดวิตรฺในช่วงท้ายนั้นมลาอิกะฮฺจะดูเป็นสักขีพยาน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งที่ดีกว่า” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 755)





ผู้ใดที่ได้ละหมาดวิตรฺในช่วงแรกของกลางคืนแล้วตื่นขึ้นมาในช่วงท้ายอีก ให้เขาละหมาดคู่โดยไม่ต้องวิตรฺ ทั้งนี้มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า





«لا وِتْرَانِ فِي لَيْلَةٍ»





ความว่า “ไม่มีการละหมาดวิตรฺสองครั้งในคืนเดียว” (เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 1439 และอัต-ติรมิซีย์ หมายเลข 470)





หุก่มการอ่านกุนูตในการละหมาดวิตรฺ





การกุนูตในวิตรฺนั้นให้ทำได้เป็นบางครั้ง ผู้ใดชอบที่จะทำก็ให้เขาทำ ส่วนผู้ใดที่ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ และที่ดีที่สุดคือไม่ทำมากกว่าทำ เพราะไม่มีรายงานที่ยืนยันได้จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่าท่านอ่านกุนูตในวิตรฺ





ลักษณะการดุอาอ์ในกุนูตวิตรฺ





ในกรณีที่ละหมาดวิตรฺสามร็อกอะฮฺ ให้ยกมือดุอาอ์หลังจากยืนในร็อกอะฮฺที่สามหรือก่อนรุกูอฺหลังจากอ่านสูเราะฮฺจบ โดยให้สรรเสริญ(ตะหฺมีด)อัลลอฮฺ(คือกล่าว อัลหัมดุลิลลาฮฺ) และกล่าวชมเชยอัลลอฮฺ แล้วกล่าวเศาะละวาตต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ต่อจากนั้นให้ขอดุอาอ์ตามที่ใจปรารถนา จากบรรดาดุอาอ์ที่มีรายงานมาจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เช่น





«اللَّهُـمَّ اهْدِنِي فِيْـمَنْ هَدَيْتَ، وَعَافِنِي فِيْـمَنْ عَافَيْتَ، وَتَوَلَّنِي فِيْـمَنْ تَوَلَّيْتَ، وَبَارِكْ لِي فِيْـمَا أَعْطَيْتَ، وَقِنِي شَرَّ مَا قَضَيْتَ، إنَّكَ تَقْضِي وَلا يُـقْضَى عَلَيْكَ، وَإنَّهُ لا يَذِلُّ مَنْ وَالَيْتَ، تَـبَارَكْتَ رَبَّنَا وَتَعَالَيْتَ»





(เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 1425 และอัต-ติรมิซีย์ หมายเลข 464)





และบางครั้งให้เริ่มกุนูตด้วยดุอาอ์ที่ได้รับรายงานจากท่านอุมัรฺเราะฎิยัลลอฮุอันฮุ คือ





«اللَّهُـمَّ إيَّاكَ نَعْبُدُ، وَلَكَ نُصَلِّي وَنَسْجُدُ، وَإلَيْكَ نَسْعَى وَنَحْفِدُ، نَرْجُو رَحْـمَتَـكَ وَنَخْشَى عَذَابَكَ، إِنَّ عَذَابَكَ بِالكَافِرِينَ مُلْـحِقٌ، اللَّهُـمَّ إنَّا نَسْتَعِينُكَ وَنَسْتَغْفِرُكَ، وَنُثْنِي عَلَيْكَ الخَيْرَ وَلا نَكْفُرُكَ، وَنُؤْمِنُ بِكَ وَنَخْضَعُ لَكَ، وَنَخْلَعُ مَنْ يَكْفُرُكَ»





(เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอัล-บัยฮะกีย์ หมายเลข (3144 ดู อิรวาอ์ อัล-เฆาะลีล หมายเลข 428)





และผู้ละหมาดสามารถที่จะเพิ่มดุอาอ์อะไรก็ได้ที่มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม โดยที่ไม่ควรให้ยาวจนเกินไป เช่น





«اللَّهُـمَّ أَصْلِـحْ لِي دِيْنِيَ الَّذِي هُوَ عِصْمَةُ أَمْرِي، وَأَصْلِـحْ لِي دُنْيَايَ الَّتِي فِيهَا مَعَاشِي، وَأَصْلِـحْ لِي آخِرَتِيَ الَّتِي فِيهَا مَعَادِي، وَاجْعَلِ الحَيَاةَ زِيَادَةً لِي فِي كُلِّ خَيْرٍ، وَاجْعَلِ المَوْتَ رَاحَةً لِي مِنْ كُلِّ شَرٍّ»





(บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 2720)





«اللَّهُـمَّ إنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنَ العَجْزِ وَالكَسَلِ، وَالجُبْنِ وَالبُـخْلِ، وَالهَرَمِ وَعَذَابِ القَبْرِ، اللَّهُـمَّ آتِ نَفْسِي تَقْوَاهَا، وَزَكِّهَا أَنْتَ خَيْرُ مَنْ زَكَّاهَا، أَنْتَ وَلِيُّهَا وَمَولاهَا، اللَّهُـمَّ إنِّي أَعُوذُ بِكَ مِنْ عِلْـمٍ لا يَنْفَعُ، وَمِنْ قَلْبٍ لا يَـخْشَعُ، وَمِنْ نَفْسٍ لا تَشْبَـعُ، وَمِنْ دَعْوَةٍ لا يُسْتَـجَابُ لَـهَا»





(บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 2722)





หลังจากนั้นกล่าวในตอนท้ายว่า





«اللَّهُـمَّ إنِّي أَعُوذُ بِرِضَاكَ مِنْ سَخَطِكَ، وَبِمُعَافَاتِكَ مِنْ عُقُوبَتِكَ، وَأَعُوذُ بِكَ مِنْكَ لا أُحْصِي ثَنَاءً عَلَيْكَ، أَنْتَ كَمَا أَثْنَيْتَ عَلَى نَفْسِكَ»





(เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 1427 ซึ่งสำนวนนี้เป็นสำนวนของเขาและบันทึกโดยอัต-ติรมิซีย์ หมายเลข 3566)





หลังจากนั้นให้จบกุนูตด้วยการเศาะละวาตต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และไม่ต้องเอามือลูบหน้าหลังจบดุอาอ์ทั้งในกุนูตวิตรฺและอื่นๆ





มักรูฮฺที่จะอ่านกุนูตในละหมาดอื่นนอกเหนือจากวิตรฺ เว้นแต่จะมีเหตุร้ายหรืออุบัติภัยต่อชาวมุสลิมที่ใดที่หนึ่งก็อนุญาตให้อิมามกุนูตในละหมาดห้าเวลาหลังจากร็อกอะฮฺสุดท้าย หรือบางครั้งก็อาจจะก่อนรุกูอฺก็ได้





กุนูตนะวาซิลหรือนาซิละฮฺ คือการดุอาอ์เพื่อให้ช่วยชาวมุสลิมที่อ่อนแอซึ่งถูกรังแกหรือดุอาอ์เพื่อให้ลงโทษกาฟิรฺที่อยุติธรรมหรือทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน





ละหมาดที่ประเสริฐที่สุดสำหรับคนคนหนึ่งนั้นคือที่บ้านของเขา นอกจากละหมาดห้าเวลาและการละหมาดที่มีบัญญัติให้ละหมาดเป็นญะมาอะฮฺ เช่น ละหมาดกุสูฟ ละหมาดตะรอวีหฺ เป็นต้น เหล่านี้ให้ละหมาดญะมาอะฮฺที่มัสญิด





หุก่มการละหมาดวิตฺรในขณะเดินทาง





ผู้ใดที่อยู่ในระหว่างเดินทางไม่ว่าจะเป็นโดยรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน หรือเรือนั้นมีสุนนะฮฺให้เขาละหมาดวิตรฺบนพาหนะที่ขับขี่อยู่ โดยให้หันหน้าไปทางกิบละฮฺตอนตักบีเราะตุลอิหฺรอมหากทำได้ หากทำไม่ได้ให้เขาละหมาดหันหน้าไปทางไหนก็ได้ตามแต่พาหนะหันไป โดยให้ละหมาดในท่ายืน หากไม่ได้ก็ให้ละหมาดในท่านั่งแล้วให้เคลื่อนไหวด้วยศีรษะของเขา





ในบางครั้ง ผู้ที่ละหมาดวิตรฺแล้วก็อนุญาตให้เขาละหมาดร็อกอะฮฺสั้นๆ หลังจากวิตรฺได้อีก โดยนั่งละหมาดเมื่อถึงที่รุกูอฺให้ยืนขึ้นแล้วรุกูอฺ





ลักษณะการชดละหมาดวิตรฺ





ผู้ใดนอนหลับไม่ตื่นละหมาดวิตรฺ หรือลืมละหมาดวิตรฺ ให้เขาละหมาดชดเมื่อตื่นขึ้นมา หรือนึกขึ้นได้ ในระหว่างอะซานฟัจญ์รฺกับอิกอมะฮฺด้วยลักษณะปรกติของมัน และสามารถชดตอนกลางวันในลักษณะจำนวนร็อกอะฮฺเป็นเลขคู่ไม่ใช่คี่ ซึ่งหากปรกติเขาละหมาดสิบเอ็ดร็อกอะฮฺก็ให้เขาชดสิบสองร็อกอะฮฺ ครั้งละสองเรื่อยไปจนครบ





มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า





أنَّ رَسُولَ الله صلى الله عليه وسلم كَانَ إذَا فَاتَتْـهُ الصَّلاةُ مِنَ اللَّيْلِ مِنْ وَجَعٍ أَوْ غَيْرِهِ، صَلَّى مِنَ النَّهَارِ ثِنْتَيْ عَشْرَةَ رَكْعَةً





ความว่า “แท้จริงท่านเราะสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมนั้นเมื่อท่านไม่สามารถละหมาดวิตรฺในตอนกลางคืนเพราะเจ็บป่วยหรืออื่นๆ ท่านจะละหมาดชดในตอนกลางวันสิบสองร็อกอะฮฺ” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 746)





4- การละหมาดตะรอวีหฺ





หุก่มการละหมาดตะรอวีหฺ





การละหมาดตะรอวีหฺเป็นสุนัตมุอักกะดะฮฺ ซึ่งมีตัวบทว่าเป็นการกระทำของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และจัดอยู่ในจำพวกละหมาดสุนัตที่บัญญัติให้ละหมาดเป็นญะมาอะฮฺในเดือนเราะมะฎอน





สาเหตุที่เรียกชื่อการละหมาดว่าตะรอวีหฺเพราะผู้ละหมาดต่างนั่งพักกันหลังจบสี่ร็อกอะฮฺ เนื่องจากมีการอ่านยาว และละหมาดนาน





เวลาของการละหมาดตะรอวีหฺ





ให้ละหมาดตะรอวีหฺในเดือนเราะมะฎอนหลังจากละหมาดอิชาอ์จนกระทั่งออกฟัจญ์รฺ เป็นสิ่งที่สุนัตสำหรับทั้งชายและหญิง ซึ่งท่านนบีได้เน้นให้กระทำเป็นพิเศษ มีรายงานจากท่านว่า





«مَنْ قَامَ رَمَضَانَ إيمَاناً وَاحْتِسَاباً غُفِرَ لَـهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِـهِ»





ความว่า “ผู้ใดละหมาดในเดือนเราะมะฎอน ด้วยใจที่ศรัทธาและหวังในความโปรดปรานของอัลลอฮฺ เขาจะได้รับการอภัยโทษจากความผิดของเขาที่ผ่านมา” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1137 สำนวนนี้เป็นของอัล-บุคอรีย์และมุสลิม เลขที่: 749)





ลักษณะของการละหมาดตะรอวีหฺ





หนึ่ง ตามสุนนะฮฺแล้ว ในการละหมาดตะรอวีหฺให้อิมามนำละหมาดบรรดามุสลิมสิบเอ็ดร็อกอะฮฺ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนร็อกอะฮฺที่ดีที่สุด หรือบางครั้งอาจนำละหมาดถึงสิบสามร็อกอะฮฺก็ได้ โดยละหมาดครั้งละสองร็อกอะฮฺ ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด และบางครั้งอาจละหมาดครั้งละสี่ร็อกอะฮฺก็ได้ ดังนั้นบางครั้งอาจละหมาดด้วยวิธีหนึ่งบางครั้งอีกวิธีหนึ่งทั้งนี้เพื่อฟื้นฟูสุนนะฮฺ





1- มีรายงานว่า





سئلت عائشة رضي الله عنها كيف كانت صلاة رسول الله صلى الله عليه وسلم في رمضان؟ فقالت: مَا كَانَ رَسُولُ الله صلى الله عليه وسلم يَزِيْدُ فِي رَمَضَانَ وَلا فِي غَيْرِهِ عَلَى إحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً، يُصَلِّي أَرْبَـعاً فَلا تَسْأَلْ عَنْ حُسْنِـهِنَّ وَطُوْلِـهِنَّ، ثُمّ يُصَلِّي أَرْبَـعاً فَلا تَسْأَلْ عَنْ حُسْنِـهِنَّ وَطُوْلِـهِنَّ، ثُمَّ يُصَلِّي ثَلاثاً...





ความว่า “ครั้งหนึ่งมีคนถามท่านหญิงอาอิชะฮฺว่าลักษณะการละหมาดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในเดือนเราะมะฎอนเป็นอย่างไร? ท่านตอบว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่เคยละหมาดเกินสิบเอ็ดร็อกอะฮฺเลยไม่ว่าในเดือนเราะมะฎอนหรือเดือนอื่นๆ ท่านละหมาดสี่ร็อกอะฮฺซึ่งไม่ต้องบอกถึงความสละสลวยและความยาวนานของมัน แล้วท่านละหมาดอีกสี่ร็อกอะฮฺซึ่งไม่ต้องบอกถึงความสละสลวยและความยาวนานของมันเช่นกัน แล้วท่านก็ละหมาดอีกสามร็อกอะฮฺ” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลข 1147)





2- มีรายงานจากท่านอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า





كَانَ رَسُولُ الله صلى الله عليه وسلم يُصَلِّي مِنَ اللَّيْلِ ثَلاثَ عَشْرَةَ رَكْعةً





ความว่า “ปรากฏว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้ละหมาดในตอนกลางคืนสิบสามร็อกอะฮฺ” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 1138 และมุสลิม เลขที่: 764 ซึ่งสำนวนนี้เป็นของมุสลิม)





3- มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า





كَانَ رَسُولُ الله صلى الله عليه وسلم يُصَلِّي فِيْـمَا بَيْنَ أَنْ يَفْرُغَ مِنْ صَلاةِ العِشَاءِ إلَى الفَجْرِ إحْدَى عَشْرَةَ رَكْعَةً، يُسَلِّمُ بَيْنَ كُلِّ رَكْعَتَيْنِ، وَيُوْتِرُ بِوَاحِدَةٍ





ความว่า “ปรากฎว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้ละหมาดหลังจากเสร็จละหมาดอิชาอ์จนกระทั่งออกฟัจญฺริสิบเอ็ดร็อกอะฮฺ ท่านจะให้สลามในทุกๆสองร็อกอะฮฺแล้วละหมาดวิตฺริหนึงร็อกอะฮฺ” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 736)





สอง ตามสุนนะฮฺในการละหมาดตะรอวีหฺให้อิมามละหมาดสิบเอ็ดร็อกอะฮฺหรือสิบสามร็อกอะฮฺ ไม่ว่าจะเป็นช่วงต้นหรือช่วงท้ายเราะมะฎอน แต่มีให้เน้นเฉพาะในสิบวันสุดท้ายให้ละหมาดให้นาน ยืนนาน รุกูอฺและสุญูดนาน ทั้งนี้เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้นละหมาดตลอดทั้งคืน ดังนั้น หากจะละหมาดน้อยกว่าหรือมากกว่าที่กล่าวมาก็ได้





เมื่อใดที่มะอ์มูมจะได้ผลบุญเหมือนละหมาดตลอดทั้งคืน





ที่ดีที่สุดสำหรับมะอ์มูมนั้นคือการละหมาดพร้อมอิมามจนจบไม่ว่าอิมามจะละหมาดสิบเอ็ด สิบสามหรือยี่สิบสาม หรือน้อยกว่าหรือมากกว่านั้น ทั้งนี้เพื่อที่จะได้ผลบุญเหมือนละหมาดตลอดทั้งคืน มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า





«إنَّهُ مَنْ قَامَ مَعَ الإمَامِ حَتَّى يَنْصَرِفَ كُتِبَ لَـهُ قِيَامُ لَيْلَةٍ»





ความว่า “แท้จริงแล้วผู้ที่ละหมาดพร้อมอิมามจนจบ เขาจะได้ได้ผลบุญเหมือนละหมาดทั้งคืน” (เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 1375 และอัน-นะสาอีย์ หมายเลข 806 ซึ่งสำนวนนี้เป็นของอัน-นะสาอีย์)





หากมีผู้เป็นอิมามสองคน ผู้ที่จะได้ผลบุญเหมือนละหมาดตลอดทั้งคืนก็คือผู้ที่ละหมาดพร้อมอิมามทั้งสองคน เพราะคนที่สองก็คือตัวแทนของคนแรกในการเพิ่มการละหมาดให้สมบูรณ์





ผู้ใดที่ควรเป็นอิมามนำละหมาดตะรอวีหฺ





ผู้ที่สมควรจะเป็นอิมามนำละหมาดในเดือนเราะมะฎอนคือผู้ที่อ่านอัลกุรอานได้ดี รักษาตัจญ์วีดดีและท่องจำอัลกุรอาน หากจำไม่ได้อนุญาตให้อิมามอ่านจากมุศหัฟ(อัลกุรอานเป็นเล่ม)ได้ และที่ดีที่สุดคือให้บรรดามะอ์มูมได้ฟังอัลกุรอานทั้งเล่มในเดือนเราะมะฎอน ถ้าไม่ได้หมดก็ให้ได้ส่วนหนึ่งก็ยังดี





หุก่มการดุอาอ์เมื่อเคาะตัมอัลกุรอาน





การดุอาอ์หลังจากเคาะตัมอัลกุรอานในเดือนเราะมะฎอนและเดือนอื่นๆ หากนอกการละหมาดใครใคร่ทำก็ทำได้ แต่การดุอาอ์เคาะตัมอัลกุรอานในละหมาดนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีบัญญัติไว้ เพราะไม่ปรากฎหลักฐานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และจากบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านแม้แต่คนเดียว





ผู้ใดที่ละหมาดตะฮัจญุดซึ่งปรกติเขาจะละหมาดช่วงท้ายของกลางคืน แล้วเขาละหมาดวิตรฺหลังจากละหมาดตะฮัจญุด หากเขาละหมาดพร้อมอิมามหากอิมามละหมาดวิตรฺ ให้เขาละหมาดวิตรฺพร้อมอิมาม และเมื่อเขาลุกขึ้นมาช่วงท้ายของกลางคืนอีกครั้งก็ให้เขาละหมาดคู่





หากสตรีคนใดปรารถนาที่จะออกไปละหมาดที่มัสญิด ไม่ว่าจะเป็นละหมาดวาญิบหรือสุนัตให้เธอออกไปได้โดยไม่แต่งตัวสวยและไม่ใส่เครื่องหอม





5- การละหมาดอีดทั้งสอง





จำนวนอีดในอิสลาม





อีดในอิสลามมีสามอีดด้วยกัน





1- อีดุลฟิฏรี คือวันที่หนึ่งเดือนเชาวาลของทุกปี





2- อีดุลอัฎหา คือวันที่สิบเดือนซุลหิจญะฮฺของทุกปี





3- อีดุลอุสบูอฺ (อีดประจำสัปดาห์) คือวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ ซึ่งได้กล่าวไปแล้ว





หิกมะฮฺที่ได้บัญญัติการละหมาดอีดทั้งสอง





การละหมาดอีดุลฟิฏรีเกิดขึ้นหลังจากถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนได้ครบสมบูรณ์แล้ว ส่วนการละหมาดอีดุลอัฎหานั้นเกิดขึ้นหลังจากภารกิจหัจญ์และปิดท้ายสิบวันแห่งซุลหิจญะฮฺ ดังนั้นการละหมาดอีดทั้งสองจึงเป็นความประเสริฐของอิสลามที่เปิดโอกาสให้ชาวมุสลิมได้มีโอกาสฉลองหลังจากที่ได้ปฏิบัติอิบาดะฮฺที่ยิ่งใหญ่ทั้งสอง เพื่อเป็นการชุกูรฺต่ออัลลอฮฺ





มีรายงานจากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า





قَدِمَ رَسُولُ الله٬ ﷺ المَـدِينَةَ وَلَـهُمْ يَوْمَانِ يَلْعَبُونَ فِيهِمَا فَقَالَ: «مَا هَذَانِ الْيَوْمَانِ؟» قَالُوا: كُنَّا نَلْعَبُ فِيهِمَا فِي الْـجَاهِلِيَّةِ، فَقَالَ رَسُولُ الله٬ ﷺ: «إِنَّ اللهَ قَدْ أَبْدَلَكُمْ بِهِمَا خَيْراً مِنْهُمَا يَوْمَ الْأَضْحَى وَيَوْمَ الْفِطْرِ»





ความว่า “ตอนที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เดินทางมาสู่มะดีนะฮฺ ชาวมะดีนะฮฺสมัยนั้นมีวันสำคัญอยู่สองวัน ที่พวกเขามีการละเล่นรื่นเริงกัน ท่านจึงถามว่า สองวันนี้เป็นวันอะไรกัน? พวกเขาตอบว่า เป็นสองวันที่พวกเราเล่นละเริงกันมาตั้งแต่สมัยญาฮิลิยะฮฺ ท่านเราะสูลุลลอฮฺก็เลยกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้เปลี่ยนสองวันนี้ด้วยสองวันที่ดีกว่านั่นก็คือวันอีดุลอัฎหาและอีดุลฟิฏรี” (เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 1134 ซึ่งสำนวนนี้เป็นของอบู ดาวูด และอัน-นะสาอีย์ หมายเลข 1556)





หุก่มการละหมาดอีดทั้งสอง





การละหมาดอีดทั้งสองเป็นสุนัตมุอักกะดะฮฺสำหรับมุสลิมและมุสลิมะฮฺทุกคน





เวลาการละหมาดอีดทั้งสอง





หลังจากตะวันขึ้นเท่ากับด้ามหอกจนกระทั่งตะวันคล้อย ซึ่งหากผู้คนไม่รู้ว่าเป็นวันอีดจนถึงหลังตะวันคล้อยแล้ว ให้ละหมาดในวันรุ่งขึ้นในเวลาของมัน และไม่อนุญาตให้เชือดอุฎฺหิยะฮฺนอกจากหลังจากละหมาดอีดุลอัฎหาแล้ว





ลักษณะการออกไปละหมาดอีดทั้งสอง





1- สุนัตให้ผู้ที่จะออกไปละหมาดอีดทำความสะอาดร่างกาย สวมใส่เสื้อผ้าที่ดี เพื่อแสดงถีงความรื่นเริงดีใจในวันดังกล่าว และไม่อนุญาตให้สตรีแต่งกายสวยงามหรือใส่เครื่องหอม และให้พวกผู้หญิงออกไปละหมาดพร้อมผู้คนทั่วไปและให้ผู้ที่มีประจำเดือนเข้าร่วมฟังคุฏบะฮฺด้วยโดยให้พวกเธอแยกตัวต่างหากจากมุศ็อลลา





2- สุนัตให้บรรดามะอ์มูมออกไปยังที่ละหมาดแต่เนิ่นๆ หลังจากศุบหฺด้วยการเดินเท้าไปถ้าทำได้ ส่วนอิมามนั้นให้ออกไปตอนที่จะเริ่มละหมาดเลย และสุนัตให้ออกไปทางหนึ่งและกลับอีกทางหนึ่งที่ไม่ใช่ทางมา เพื่อแสดงออกถึงความพิเศษของวันนี้และตามแบบอย่างสุนนะฮฺ





3- สุนัตให้ผู้ที่ออกไปละหมาดอีดุลฟิฏรีรับประทานอินทผลัมเป็นจำนวนคี่ก่อนออกไปละหมาด ส่วนผู้ที่จะออกไปอีดุลอัฎหาให้อดจากการรับประทานอาหารจนกระทั่งได้รับประทานเนื้อกุรบานของเขาเอง ถ้าเขาทำกุรบาน





สถานที่ละหมาดอีดทั้งสอง





1- สุนัตให้ออกไปละหมาดอีด ณ ที่โล่งใกล้ๆ เมือง ซึ่งเมื่อผู้ละหมาดไปถึงมุศ็อลลาแล้วให้ละหมาดตะหิยะตุลมัสญิดสองร็อกอะฮฺแล้วนั่งซิกิรฺต่ออัลลอฮฺ ไม่ละหมาดอีดทั้งสองในมัสญิดนอกจากมีเหตุจำเป็น เช่น ฝนตก หิมะ หรืออื่นๆ ยกเว้นที่มักกะฮฺซึ่งต้องละหมาดในมัสญิดอัลหะรอม





2- อนุญาตให้ผู้ที่เข้าไปอยู่ในมุศ็อลลาแล้วละหมาดสุนัตก่อนหรือหลังละหมาดอีดทั้งสอง ตราบใดที่เวลานั้นไม่ใช่เวลาที่ห้ามละหมาด แต่หากเป็นเวลาที่ต้องห้ามแล้ว ไม่มีบัญญัติให้ละหมาดใดๆ นอกจากละหมาดตะหิยะตุลมัสญิดเท่านั้น และให้ใช้เวลาไปกับการทำอิบาดะฮฺ คือการตักบีรฺจนกระทั่งอิมามเข้ามา





ลักษณะการละหมาดอีดทั้งสอง





เมื่อถึงเวลาละหมาด ให้อิมามขึ้นไปนำบรรดามะอ์มูมละหมาดสองร็อกอะฮฺ โดยไม่มีการอะซานและไม่มีการอิกอมะฮฺ ให้กล่าวตักบีรฺในร็อกอะฮฺแรกเจ็ดครั้งหรือเก้าครั้งพร้อมตักบีเราะตุลอิหฺรอมและในร็อกอะฮฺที่สองให้ตักบีรฺห้าครั้งหลังลุกขั้นมายืน





หลังจากนั้นสุนัตให้อ่านเสียงดังโดยเมื่ออ่านฟาติหะฮฺแล้วให้อ่านสูเราะฮฺ อัล-อะอฺลา และในร็อกอะฮฺที่สองหลังจากอัล-ฟาติหะฮฺให้อ่านสูเราะฮฺ อัล-ฆอชิยะฮฺ หรือในร็อกอะฮฺแรกสูเราะฮฺกอฟ (ق) และในร็อกอะฮฺที่สองให้อ่านสูเราะฮฺ อัล-เกาะมัรฺ (اقتربت الساعة) หรือจะสลับกันบางครั้งอ่านแบบที่หนึ่ง บางครั้งอ่านแบบที่สอง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสุนนะฮฺทุกรูปแบบที่บัญญัติไว้





หลังจากให้สลามแล้ว ให้กล่าวคุฏบะฮฺหนึ่งคุฏบะฮฺโดยหันหน้าไปทางบรรดามมะอ์มูม ในคุฏฺบะฮฺให้กล่าวตะหฺมีดฺ(อัลหัมดุลิลลาฮฺ) ชุกูรฺต่ออัลลอฮฺ และให้ระลึกถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัตตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺ และกล่าวส่งเสริมให้ทำกุรบานเป็นการเฉพาะในอีดอัฎหาและอธิบายหุก่มต่างๆ ของการกุรบาน





เมื่อวันอีดและวันญุมุอะฮฺเกิดตรงเป็นวันเดียวกัน ถือว่าผู้ที่ละหมาดอีดแล้วจะไม่ไปละหมาดญุมุอะฮฺก็ได้โดยให้ละมาดซุฮฺริแทน แต่สำหรับผู้เป็นอิมามและผู้ที่ไม่ได้ละหมาดอีดยังคงวาญิบต้องไปละหมาดญุมุอะฮฺอยู่





เมื่ออิมามลืมตักบีรฺหนึ่งตักบีรฺใดจากบรรดาตักบีรฺซะวาอิด โดยเริ่มอ่านอัล-ฟาติหะฮฺและสูเราะฮฺแล้ว ถือว่าตกไปไม่เป็นไร(คือไม่ต้องกล่าวตักบีรฺซะวาอิดชดใช้) เพราะมันเป็นสุนัตที่เวลาของมันได้ผ่านพ้นไปแล้ว และให้ผู้ละหมาดยกมือในขณะตักบีรฺทั่วไป ดังที่มีรายงานในการยกมือทั้งในละหมาดฟัรฎูและสุนัต แต่ไม่ต้องยกมือในขณะตักบีรฺซะวาอิดในสองร็อกอะฮฺของละหมาดอีดทั้งสองหรือการละหมาดอิสติสกออ์





มีสุนัตสำหรับอิมามให้มีการสอนสั่งผู้หญิงโดยเฉพาะในคุฏบะฮฺของเขา กล่าวเตือนถึงสิ่งพวกเธอจำเป็นต้องทำและส่งเสริมให้พวกเธอเศาะดะเกาะฮฺให้มากๆ





ผู้ใดที่ทันละหมาดอีดพร้อมอิมามก่อนที่อิมามจะให้สลาม หลังจากอิมามให้สลามแล้วให้เขาลุกขึ้นละหมาดต่อตามลักษณะของมันจนจบ และผู้ใดที่ไม่ทันละหมาดเลยก็ไม่จำเป็นต้องชด





เมื่ออิมามละหมาดอีดเสร็จแล้ว ผู้ใดที่ปรารถนาจะกลับบ้านเลยก็กลับได้ และผู้ใดที่ปรารถนาจะนั่งฟังคฏฺบะฮฺ (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่า) ก็ให้เขานั่งฟัง





หุก่มการตักบีรฺในวันอีด





สุนัตสำหรับมุสลิมทุกคนให้มีการตักบีรฺในวันอีดด้วยเสียงอันดัง ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ตลาด ถนนหนทาง มัสญิด เป็นต้น แต่ผู้หญิงจะออกเสียงดังไม่ได้หากชายอื่นที่ไม่ใช่มะหฺร็อมอยู่ด้วย





ช่วงเวลาในการตักบีรฺ





1- ช่วงเวลาในการตักบีรฺของวันอีดุลฟิฏรฺเริ่มตั้งแต่คืนวันอีดจนกระทั่งละหมาดอีด





2- ช่วงเวลาในการตักบีรฺของวันอีดุลอัฎหาเริ่มตั้งแต่เริ่มเข้าวันที่สิบของเดือนซุลหิจญะฮฺจนกระทั่งตะวันตกดินวันที่สิบสามของเดือนเดียวกัน





สำนวนการตักบีรฺ





1- การกล่าวตักบีรฺแบบคู่ คือ





« الله أكبر، الله أكبر، لا إله إلا الله، والله أكبر، الله أكبر، ولله الحمد »





2- การกล่าวตักบีรฺแบบคี่ คือ





«الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، لا إله إلا الله، والله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، ولله الحمد »





3- การกล่าวตักบีรฺแบบคี่ครั้งแรกและแบบคู่ครั้งที่สอง





«الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر، لا إله إلا الله، والله أكبر، الله أكبر، ولله الحمد »





บางครั้งใช้สำนวนนี้บ้างและบางครั้งใช้สำนวนนั้นบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่กระทำได้





หุก่มอีดที่อุตริขึ้นมา





งานฉลองวันเกิดส่วนบุคคล และงานอื่นๆ เช่นวันปีใหม่ฮิจญ์เราะฮฺศักราชหรือคริสต์ศักราช คืนอิสรออ์ คืนนิศฟุชะอฺบาน วันเกิดท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม วันแม่ และอื่นๆ ที่แพร่หลายท่ามกลางชาวมุสลิมบางส่วน ทุกสิ่งที่กล่าวมาถือเป็นบิดอะฮฺที่ถูกปฏิเสธ ผู้กระทำมัน ยอมรับมัน เรียกไปสู่มัน หรือลงทุนลงแรงเพื่อมัน ถือว่าเป็นคนบาป ต้องรับบาปที่เกิดจากมัน และต้องรับบาปของผู้ที่ทำมัน



กระทู้ล่าสุด

หนึ่งบทใคร่ครวญกับอาย ...

หนึ่งบทใคร่ครวญกับอายะฮฺ โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงอย่ากล่าวว่า “รออินา” แต่จงกล่าวว่า “อุนซุรนา”

รวมหลักฐานว่าด้วยความ ...

รวมหลักฐานว่าด้วยความประเสริฐของวันศุกร์.