
ท่านนบีสอนเศาะหาบะฮฺอย่างไร?
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
ท่านนบี...สอนเศาะหาบะฮฺอย่างไร ?
มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺพระผู้ทรงเป็นพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก การสรรเสริญและความศานติพึงมีแด่ผู้นำของเรา “ท่านนบีมุหัมมัด” ผู้เป็นศาสนทูตท่านสุดท้าย และแด่บรรดาเครือญาติของท่าน ตลอดจนบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านทั้งหลาย
1. การสอนด้วยการเล่าเรื่องราวต่างๆ
โดยแน่นอน เรื่องราวต่างๆที่ถูกเล่ากันมานั้นมักจะเป็นสิ่งที่มนุษย์มีความชื่นชอบ จนทำให้เนื้อหาเหล่านั้นสามารถซึมซับในจิตใจของพวกเขาได้ ด้วยเหตุนี้เราจะพบว่าในอัลกุรฺอานได้มีการนำเสนอเรื่องราวต่างๆอย่างมากมาย ดังที่อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงคุณลักษณะของคัมภีร์ของพระองค์ไว้ว่า
﴿نَحْنُ نَقُصُّ عَلَيْكَ أَحْسَنَ الْقَصَصِ بِمَا أَوْحَيْنَا إِلَيْكَ هَـذَا الْقُرْآنَ وَإِن كُنتَ مِن قَبْلِهِ لَمِنَ الْغَافِلِينَ﴾
ความว่า “เราจะเล่าเรื่องราวที่ดียิ่งแก่เจ้า ตามที่เราได้วะหีย์อัลกุรอานนี้แก่เจ้า และหากว่าก่อนหน้านี้เจ้าอยู่ในหมู่ผู้ไม่รู้เรื่องราว” (สูเราะฮฺ ยูสุฟ : 3)
﴿لَقَدْ كَانَ فِي قَصَصِهِمْ عِبْرَةٌ لِّأُوْلِي الأَلْبَابِ مَا كَانَ حَدِيثًا يُفْتَرَى وَلَـكِن تَصْدِيقَ الَّذِي بَيْنَ يَدَيْهِ وَتَفْصِيلَ كُلَّ شَيْءٍ وَهُدًى وَرَحْمَةً لِّقَوْمٍ يُؤْمِنُونَ﴾
ความว่า “โดยแน่นอนยิ่ง ในเรื่องราวของพวกเขาเป็นบทเรียนสำหรับบรรดาผู้มีสติปัญญา มิใช่เป็นเรื่องราวที่ถูกปั้นแต่งขึ้น แต่เป็นการยืนยันความจริงที่อยู่ต่อหน้าเขา และเป็นการแจกแจงทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นการชี้ทางที่ถูกต้อง และเป็นการเมตตาแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา” (สูเราะฮฺ ยูสุฟ : 111)
ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเอง ก็ได้รับคำสั่งให้ใช้วิธีการดังกล่าว(ในการอบรมขัดเกลา)เช่นเดียวกัน ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
﴿فَاقْصُصِ الْقَصَصَ لَعَلَّهُمْ يَتَفَكَّرُونَ﴾
ความว่า “ดังนั้น เจ้าจงเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเถิด เพื่อว่าพวกเขาจะไดใคร่ครวญ” (สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ : 176)
ด้วยเหตุนี้ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงมักดำเนินตามวิถีทางนี้และมักจะใช้วิธีการนี้ในการอบรมสั่งสอนบรรดาเศาะหาบะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ของท่าน
ดังมีตัวอย่างจากเรื่องราวของท่านค็อบบาบ อิบนุลอะรอตฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งท่านเป็นชายหนุ่มท่านหนึ่งในบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ถูกทรมานอย่างหนักหนาสาหัส ทุกๆครั้งที่ท่านถูกทรมานท่านก็จะไปหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เพื่อร้องทุกข์ต่อท่านนบีในสิ่งที่ท่านได้ประสบ ท่านค็อบบาบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าเรื่องนี้ว่า
شَكَوْنَا إِلَى رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ مُتَوَسِّدٌ بُرْدَةً لَهُ فِي ظِلِّ الْكَعْبَةِ قُلْنَا لَهُ أَلَا تَسْتَنْصِرُ لَنَا أَلَا تَدْعُو اللهَ لَنَا قَالَ كَانَ الرَّجُلُ فِيمَنْ قَبْلَكُمْ يُحْفَرُ لَهُ فِي الْأَرْضِ فَيُجْعَلُ فِيهِ فَيُجَاءُ بِالْمِنْشَارِ فَيُوضَعُ عَلَى رَأْسِهِ فَيُشَقُّ بِاثْنَتَيْنِ وَمَا يَصُدُّهُ ذَلِكَ عَنْ دِينِهِ وَيُمْشَطُ بِأَمْشَاطِ الْحَدِيدِ مَا دُونَ لَحْمِهِ مِنْ عَظْمٍ أَوْ عَصَبٍ وَمَا يَصُدُّهُ ذَلِكَ عَنْ دِينِهِ وَاللَّهِ لَيُتِمَّنَّ هَذَا الْأَمْرَ حَتَّى يَسِيرَ الرَّاكِبُ مِنْ صَنْعَاءَ إِلَى حَضْرَمَوْتَ لَا يَخَافُ إِلَّا اللهَ
ความว่า “พวกเราได้มาร้องทุกข์ต่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม (ในสิ่งที่พวกเราได้ประสบกับการทรมานจากกลุ่มชนผู้ตั้งภาคีอย่างหนักหนาสาหัส) โดยที่ท่านกำลังตะแคงบนผ้าคลุมของท่านใต้ร่มเงาของกะอฺบะฮฺ พวกเราจึงได้กล่าวว่า “ท่านจะไม่ขอความช่วยเหลือให้แก่เราหรือ ? ท่านจะไม่ขอดุอาอฺให้แก่เราหรือ ?” ท่านเราะสูลุลลอฮฺ จึงกล่าวตอบว่า “เคยมีชนก่อนหน้าพวกท่านที่ถูกนำตัวไป แล้วได้มีการขุดหลุมในดินเพื่อวางตัวเขาลงไปในนั้น แล้วเลื่อยก็ถูกนำมาวางไว้บนหัวของเขา แล้วก็เลื่อยหัวของเขาจนแยกออกเป็นสองส่วน แต่สิ่งนั้นก็ไม่สามารถจะหันเหเขาให้ออกจากศาสนาแต่อย่างใด ส่วนอีกบางคนก็ถูกหวีผมด้วยหวีเหล็กจนกระทั่งเหลือแต่เนื้อและกระดูก แต่สิ่งนั้นก็ไม่สามารถจะหันเหเขาให้ออกจากศาสนาแต่อย่างใด และแน่แท้อัลลอฮฺ จะทรงให้อิสลามนี้ต้องลุล่วงสมบูรณ์จนกระทั่งคนขี่พาหนะสามารถจะเดินทางจาก เมืองศ็อนอาอฺจนถึงเมืองหัฏเราะเมาตฺ(ทั้งสองเมืองอยู่ในประเทศเยเมน)ได้(อย่างปลอดภัย) โดยที่เขาไม่กลัวผู้ใดเลยนอกจากอัลลอฮฺ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 3612)
สำหรับเราแล้ว คงได้จดจำเรื่องราวต่างๆที่เป็นแบบฉบับของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อย่างมากมาย ที่ท่านเคยใช้ในการเล่าเพื่อเป็นการตัรบียะฮฺบรรดาเศาะหาบะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ดังปรากฏในอัสสุนนะฮฺของท่าน ซึ่งส่วนหนึ่งจากบรรดาเรื่องเล่าต่างๆนั้น ได้แก่ เรื่องราวของชายสามคนที่ติดอยู่ในถ้ำ, เรื่องราวของชายท่านหนึ่งที่ได้ฆ่าคนมาแล้ว 1 ร้อยชีวิต, เรื่องราวของชายที่อัลลอฮฺทรงทดสอบให้เขาเป็นคนตาบอด อีกคนเป็นโรคเรื้อน และคนที่สามเป็นคนที่หัวล้าน, เรื่องราวของชาวหลุมไฟ(อัศหาบุลอุคดูด) และเรื่องราวอื่นๆอีกมากมาย
2. การสอนด้วยการให้ข้อตักเตือน
ด้วยกับการให้ข้อตักเตือนนั้น มักจะมีอิทธิผลต่อสภาพจิตใจของคนๆหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ไม่ปรากฏว่าบรมครูท่านแรกผู้เป็นเจ้าของแห่งสาสน์นี้นั่นคือท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ละเลยหรือเพิกเฉยต่อการทำหน้าที่เป็นผู้ที่ให้ข้อตักเตือนเลย ดังที่ท่านอิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้พรรณาถึงคุณลักษณะของท่านนบีไว้ว่า
كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَتَخَوَّلُنَا بِالْمَوْعِظَةِ فِي الْأَيَّامِ كَرَاهَةَ السَّآمَةِ عَلَيْنَا
ความว่า “ปรากฏว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้จัดการอบรมให้ข้อตักเตือนแก่พวกเราในบางวันเพียงเท่านั้น เพราะเกรงว่าพวกเราจะเบื่อหน่าย” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 68)
เศาะหาบะฮฺท่านหนึ่งชื่อ ท่านอิรบาฎ อิบนุสาริยะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าถึงข้อตักเตือนของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไว้ว่า
وَعَظَنَا رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَوْمًا بَعْدَ صَلَاةِ الْغَدَاةِ مَوْعِظَةً بَلِيغَةً ذَرَفَتْ مِنْهَا الْعُيُونُ وَوَجِلَتْ مِنْهَا الْقُلُوبُ فَقَالَ رَجُلٌ إِنَّ هَذِهِ مَوْعِظَةُ مُوَدِّعٍ فَمَاذَا تَعْهَدُ إِلَيْنَا يَا رَسُولَ اللهِ قَالَ «أُوصِيكُمْ بِتَقْوَى اللهِ وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ وَإِنْ عَبْدٌ حَبَشِيٌّ ، فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ يَرَى اخْتِلَافًا كَثِيرًا، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الْأُمُورِ فَإِنَّهَا ضَلَالَةٌ، فَمَنْ أَدْرَكَ ذَلِكَ مِنْكُمْ فَعَلَيْهِ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الْخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ الْمَهْدِيِّينَ، عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ»
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ให้ข้อตักเตือนแก่พวกเราในวันหนึ่งหลังจากละหมาดยามสาย (ละหมาดดุฮา) ด้วยข้อตักเตือนที่กินใจจนทำให้น้ำตาคลอ และทำให้หัวใจสะท้าน ชายคนหนึ่งจึงได้กล่าวว่า นี่คือข้อตักเตือนอำลา ฉะนั้นได้โปรดสั่งเสียแก่พวกเราเถิดโอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ท่านกล่าวว่า ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ พร้อมทั้งเชื่อฟังและภักดี แม้ว่าผู้สั่งใช้พวกท่านจะเป็นบ่าวแห่งเอธิโอเปียก็ตาม เพราะผู้ใดในหมู่พวกท่านที่มีชีวิตอยู่ต่อจากนี้ เขาจะได้เห็นการขัดแย้งอย่างมากมาย และพวกท่านพึงระวังสิ่งใหม่ในศาสนา เพระมันคือความหลงผิด ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกท่านที่พบเหตุดังกล่าว ก็จำเป็นแก่เขาจะต้องยึดสุนนะฮฺของฉัน และสุนนะฮฺของบรรดาเคาะลีฟะฮฺที่ปราดเปรื่องและได้รับทางนำ พวกท่านจงยึดมันด้วยฟันกราม” (บันทึกโดยอัตติรมิซีย์ หมายเลขหะดีษ : 2676 และอิบนุมาญะฮฺ หมายเลขหะดีษ : 42)
ส่วนการจัดการอบรมให้ข้อตักเตือนที่จะส่งให้เกิดผลนั้น ย่อมจะต้องมีการจัดสรรในเรื่องของเวลาให้มีความเหมาะสม และอย่าให้เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องกระทำอย่างเป็นประจำทุกวัน(กระทั่งทำให้มีความรู้สึกเบื่อหน่าย)
จากท่านอบีวาอิล ชะกีก อิบนุสะละมะฮ ได้เล่าว่า
كَانَ عَبْدُ اللهِ يُذَكِّرُ النَّاسَ فِي كُلِّ خَمِيسٍ فَقَالَ لَهُ رَجُلٌ يَا أَبَا عَبْدِ الرَّحْمَنِ لَوَدِدْتُ أَنَّكَ ذَكَّرْتَنَا كُلَّ يَوْمٍ قَالَ أَمَا إِنَّهُ يَمْنَعُنِي مِنْ ذَلِكَ أَنِّي أَكْرَهُ أَنْ أُمِلَّكُمْ وَإِنِّي أَتَخَوَّلُكُمْ بِالْمَوْعِظَةِ كَمَا كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَتَخَوَّلُنَا بِهَا مَخَافَةَ السَّآمَةِ عَلَيْنَا
ความว่า “ปรากฏว่าท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุนั้น จะอบรมให้ข้อตักเตือนพวกเราในทุกวันพฤหัสบดี มีชายคนหนึ่งได้กล่าวแก่ท่านว่า โอ้ อบูอับดุรเราะหฺมาน(อิบนุมัสอูด) ฉันปรารถนาที่จะให้ท่านอบรมให้ข้อตักเตือนพวกเราทุกวัน ท่านจึงกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ฉันไม่อยากทำเช่นนั้นก็คือ ฉันไม่ต้องการทำให้พวกท่านรู้สึกเบื่อหน่าย และฉันต้องการจัดเตรียมเวลาการอบรมต่อพวกท่าน เหมือนที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้จัดการอบรมสั่งสอนพวกเรา(อย่างเหมาะสม) เพราะกลัวพวกเราจะเบื่อหน่าย” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 70 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 2821)
3. ผสมผสานระหว่างการให้ขวัญกำลังใจและการขู่สำทับ
สภาพจิตใจของมนุษย์นั้นบางครั้งก็อยู่ในสภาพที่สูงส่งแต่ในบางครั้งก็มีสภาพที่ตกต่ำ มีทั้งจิตใจที่เลวทรามและที่อ่อนแอ ด้วยเหตุนี้วิถีทางที่อิสลามได้ใช้ในการอบรมขัดเกลานั้น ก็มักจะเกี่ยวโยงกับทุกสภาพจิตใจเหล่านั้น จึงมีการผสมผสานระหว่างการให้ขวัญกำลังใจและการขู่สำทับ บางครั้งก็มีการให้ความหวังและบางครั้งก็อาจทำให้เกิดความหวาดกลัว
ดังที่ท่านอนัส อิบนุมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
خَطَبَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خُطْبَةً مَا سَمِعْتُ مِثْلَهَا قَطُّ قَالَ لَوْ تَعْلَمُونَ مَا أَعْلَمُ لَضَحِكْتُمْ قَلِيلًا وَلَبَكَيْتُمْ كَثِيرًا قَالَ فَغَطَّى أَصْحَابُ رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وُجُوهَهُمْ لَهُمْ خَنِينٌ
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวเทศนา(คุตบะฮฺ) ซึ่งฉันไม่เคยได้ยินการกล่าวเทศนาเหมือนครั้งนั้นเลย ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “หากพวกท่านรู้ในสิ่งที่ฉันรู้ แน่นอนพวกท่านจะหัวเราะให้น้อยและร้องไห้ให้มาก ท่านอนัสได้เล่าอีกว่า (เมื่อได้ยินเช่นนั้น) บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงก้มหน้าลงด้วยสภาพของความทุกข์ระทมใจ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 4621)
และยังมีหะดีษอื่นๆที่ได้กล่าวถึงการให้ความหวังและเป็นขวัญกำลังใจอีก ดังที่ท่านอบูซัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
أَتَيْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَعَلَيْهِ ثَوْبٌ أَبْيَضُ وَهُوَ نَائِمٌ ثُمَّ أَتَيْتُهُ وَقَدْ اسْتَيْقَظَ فَقَالَ: «مَا مِنْ عَبْدٍ قَالَ لَا إِلَهَ إِلَّا اللهُ ثُمَّ مَاتَ عَلَى ذَلِكَ إِلَّا دَخَلَ الْجَنَّةَ» قُلْتُ: وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ؟، قَالَ: «وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ»، قُلْتُ: وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ؟، قَالَ: «وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ»، قُلْتُ: وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ؟، قَالَ: «وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ، عَلَى رَغْمِ أَنْفِ أَبِي ذَرٍّ» وَكَانَ أَبُو ذَرٍّ إِذَا حَدَّثَ بِهَذَا قَالَ وَإِنْ رَغِمَ أَنْفُ أَبِي ذَرٍّ
ความว่า “ฉันได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งท่านได้สวมเสื้อสีขาวและกำลังนอนอยู่ หลังจากที่ฉันได้มาถึง ท่านก็ได้ตื่นขึ้นมา ท่านจึงกล่าวว่า ไม่มีบ่าวคนใดที่ได้กล่าว –ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ- ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ แล้วเขาได้ตายไปด้วยสภาพนั้น นอกจากสำหรับเขาแล้วย่อมได้เข้าสู่สวนสวรรค์อย่างแน่นอน ฉัน(อบูซัร)จึงได้กล่าวว่า แม้นว่าเขาจะทำซินา(ผิดประเวณี) หรือขโมยกระนั้นหรือ ? ท่านนบีจึงตอบว่า แม้นว่าเขาจะทำซินาหรือขโมยก็ตาม ฉันก็ได้กล่าวอีกว่า แม้นว่าเขาจะทำซินาหรือขโมยกระนั้นหรือ ? ท่านนบี ก็ตอบอีกว่า แม้นว่าเขาจะทำซินาหรือขโมย และแม้นว่าเป็นสิ่งที่อบูซัรไม่พอใจก็ตาม และปรากฏว่าเมื่อท่านอบูซัรได้รายงานหะดีษนี้ ท่านก็ได้กล่าวว่า และแม้นว่าเป็นสิ่งที่อบูซัรไม่พอใจก็ตาม” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 5827 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 283)
และจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
كُنَّا قُعُودًا حَوْلَ رَسُولِ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- مَعَنَا أَبُو بَكْرٍ وَعُمَرُ فِى نَفَرٍ فَقَامَ رَسُولُ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- مِنْ بَيْنِ أَظْهُرِنَا فَأَبْطَأَ عَلَيْنَا وَخَشِينَا أَنْ يُقْتَطَعَ دُونَنَا وَفَزِعْنَا فَقُمْنَا فَكُنْتُ أَوَّلَ مَنْ فَزِعَ فَخَرَجْتُ أَبْتَغِى رَسُولَ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- حَتَّى أَتَيْتُ حَائِطًا لِلأَنْصَارِ لِبَنِى النَّجَّارِ فَدُرْتُ بِهِ هَلْ أَجِدُ لَهُ بَابًا فَلَمْ أَجِدْ فَإِذَا رَبِيعٌ يَدْخُلُ فِى جَوْفِ حَائِطٍ مِنْ بِئْرٍ خَارِجَةٍ - وَالرَّبِيعُ الْجَدْوَلُ - فَاحْتَفَزْتُ كَمَا يَحْتَفِزُ الثَّعْلَبُ فَدَخَلْتُ عَلَى رَسُولِ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- فَقَالَ « أَبُو هُرَيْرَةَ ». فَقُلْتُ نَعَمْ يَا رَسُولَ اللَّهِ. قَالَ « مَا شَأْنُكَ ». قُلْتُ كُنْتَ بَيْنَ أَظْهُرِنَا فَقُمْتَ فَأَبْطَأْتَ عَلَيْنَا فَخَشِينَا أَنْ تُقْتَطَعَ دُونَنَا فَفَزِعْنَا فَكُنْتُ أَوَّلَ مَنْ فَزِعَ فَأَتَيْتُ هَذَا الْحَائِطَ فَاحْتَفَزْتُ كَمَا يَحْتَفِزُ الثَّعْلَبُ وَهَؤُلاَءِ النَّاسُ وَرَائِى فَقَالَ « يَا أَبَا هُرَيْرَةَ ». وَأَعْطَانِى نَعْلَيْهِ قَالَ « اذْهَبْ بِنَعْلَىَّ هَاتَيْنِ فَمَنْ لَقِيتَ مِنْ وَرَاءِ هَذَا الْحَائِطِ يَشْهَدُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ مُسْتَيْقِنًا بِهَا قَلْبُهُ فَبَشِّرْهُ بِالْجَنَّةِ »
ความว่า “พวกเราได้นั่งล้อมท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งมีท่านอบูบักรฺ ท่านอุมัร และท่านอื่นๆอยู่ร่วมด้วย และแล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ได้ลุกขึ้นยืนในระหว่างที่พวกเราได้นั่งกันอยู่ โดยที่พวกเราได้ล่าช้ามาก(ที่จะลุกขึ้นยืนตามท่าน) และพวกเราเองก็กลัวว่าท่านจะได้รับอันตรายจากเหล่าศัตรู (เมื่อเป็นเช่นนั้น) พวกเราจึงได้เร่งรีบในการลุกขึ้น(เพื่อที่จะตามท่านเราะสูลุลลอฮฺ) และฉันเป็นคนแรกที่มีความรวดเร็ว(ในการลุกขึ้น) ดังนั้นฉันจึงออกไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กระทั่งได้พบกับเรือกสวนแห่งหนึ่งของชาวอันศอรฺซึ่งเป็นของชนเผ่าอันนัจญารฺ ดังนั้นฉันก็ได้เดินเวียนไปมาเพื่อหาว่ามีทางเข้าหรือไม่ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีทางเข้าเลย ครั้นเมื่อ(ฉันได้เห็น)ลำธารเล็กๆได้ไหลเข้าสู่เรือกสวนแห่งนั้น ฉันจึงได้ตั้งท่าเตรียมพร้อม(ที่จะเข้าไป) ดั่งการตั่งท่าของสุนัขจิ้งจอกที่เตรียมจะตะคุบเหยื่อ และแล้วฉันก็ได้เข้าไปพบท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านจึงถามฉันว่า “นั่น..อบูฮุร็อยเราะฮฺใช่มั้ย ?” ฉันจึงตอบว่า “ใช่แล้วครับ...โอ้ท่านเราะสูลุลอลฮฺ” ท่านจึงถามอีกว่า “ท่านมีเรื่องอะไรรึ ?” ฉันจึงตอบว่า “ในระหว่างที่ท่านได้นั่งอยู่ร่วมกับเรานั้น ท่านก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป โดยที่พวกเราได้ล่าช้ามาก(ที่จะลุกขึ้นตามท่าน) และพวกเราเองก็กลัวว่าท่านจะได้รับอันตรายจากเหล่าศัตรู (เมื่อเป็นเช่นนั้น) พวกเราจึงได้เร่งรีบที่จะลุกขึ้น(เพื่อที่จะตามท่าน) และฉันเป็นคนแรกที่รวดเร็ว(ในการลุกขึ้น) ดังนั้นฉันจึงมายังเรือกสวนแห่งนี้ แล้วฉันก็ได้ตั้งท่าเตรียมพร้อม(ที่จะเข้าไป) ดั่งการตั่งท่าของสุนัขจิ้งจอกที่เตรียมจะตะคุบเหยื่อ ส่วนคนอื่นๆนั้นก็อยู่หลังฉันอีก ท่านจึงกล่าวว่า โอ้อบูฮุร็อยเราะฮฺเอ่ย –แล้วท่านก็ยื่นรองเท้าของท่านแก่ฉัน- เจ้าจงเดินไปด้วยกับรองเท้าของฉันคู่นี้เถิด ดังนั้นหากว่าเจ้าได้พบเจอผู้ใดหลังเรือกสวนแห่งนี้ โดยที่เขาได้ปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และเป็นผู้ที่ความเชื่อมั่นในความศรัทธานั้นมีอยู่ในหัวใจของเขา ดังนั้นก็จงแจ้งข่าวดีแก่เขาด้วยกับสวนสวรรค์ที่เขาจะได้รับเถิด ” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 156)
กระนั้นก็ตาม หากว่าเราได้สังเกตหรือพิจารณาถึงสภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมทำให้เราได้เข้าใจอย่างดีเลยว่า การให้ความสำคัญและการมุ่งเน้นในเรื่องของการขู่สำทับนั้น ก็เป็นสิ่งที่จิตใจของผู้คนนั้นมีความปรารถนาและเรียกร้องมันอยู่ แต่ทั้งนี้ก็สมควรที่จะต้องมีการให้ขวัญกำลังใจประกอบด้วย เช่นการให้ขวัญกำลังใจโดยการเล่าถึงความสุขที่มีอยู่ในสวนสวรรค์และผลตอบแทนที่จะได้รับ ความสุขในการใช้ชีวิตในโลกใบนี้สำหรับผู้ที่มีความยึดมั่นอย่างหนักแน่นมั่นคงในการเชื่อฟังต่ออัลลอฮฺ การเล่าถึงความดีงามที่มีอยู่ในอิสลามและผลของมันที่มีต่อมนุษย์ชาติ เป็นต้น ซึ่งในอัลกุรฺอานเองก็มีการนำเสนอในรูปแบบนี้เช่นเดียวกัน ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
﴿وَلَوْ أَنَّ أَهْلَ الْقُرَى آمَنُواْ وَاتَّقَواْ لَفَتَحْنَا عَلَيْهِم بَرَكَاتٍ مِّنَ السَّمَاء وَالأَرْضِ وَلَـكِن كَذَّبُواْ فَأَخَذْنَاهُم بِمَا كَانُواْ يَكْسِبُونَ﴾
ความว่า “และหากว่าชาวเมืองนั้นได้ศรัทธากันและมีความยำเกรงแล้วไซร้ แน่นอนเราก็เปิดให้แก่พวกเขาแล้ว ซึ่งบรรดาความเพิ่มพูนจากฟากฟ้าและแผ่นดินแต่ทว่าพวกเขาปฏิเสธ ดังนั้นเราจึงได้ลงโทษพวกเขา เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้” (สูเราะฮฺอัลอะรอฟ : 96)
และอัลลอฮฺ ตรัสอีกว่า
﴿وَلَوْ أَنَّهُمْ أَقَامُواْ التَّوْرَاةَ وَالإِنجِيلَ وَمَا أُنزِلَ إِلَيهِم مِّن رَّبِّهِمْ لأكَلُواْ مِن فَوْقِهِمْ وَمِن تَحْتِ أَرْجُلِهِم مِّنْهُمْ أُمَّةٌ مُّقْتَصِدَةٌ وَكَثِيرٌ مِّنْهُمْ سَاء مَا يَعْمَلُونَ﴾
ความว่า “และหากว่าเขาเหล่านั้นได้ดำรงไว้ซึ่งอัต-เตารอต และอัล-อินญีล และสิ่งที่ถูกประทานลงมา แก่พวกเขาจากพระเจ้าของพวกเขาแล้ว แน่นอนพวกเขาก็ได้บริโภคไปแล้วที่มาจากเบื้องบนของพวกเขา และที่มาจาภายใต้เท้า ของพวกเขาในหมู่พวกเขานั้นมีกลุ่มหนึ่งที่มีความยุติธรรม และมากมายในหมู่พวกเขานั้น ช่างเลวร้ายจริง ๆ สิ่งที่พวกเขากระทำกัน” (สูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ : 66)
4. การโน้มน้าวจิตใจ
จากท่านอบู อุมามะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
إِنَّ فَتًى شَابًّا أَتَى النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ يَا رَسُولَ اللهِ ائْذَنْ لِي بِالزِّنَا فَأَقْبَلَ الْقَوْمُ عَلَيْهِ فَزَجَرُوهُ، قَالُوا مَهْ مَهْ، فَقَالَ «ادْنُهْ» فَدَنَا مِنْهُ قَرِيبًا، قَالَ فَجَلَسَ، قَالَ: «أَتُحِبُّهُ لِأُمِّكَ؟» قَالَ: لَا وَاللهِ، جَعَلَنِي اللهُ فِدَاءَكَ، قَالَ: «وَلَا النَّاسُ يُحِبُّونَهُ لِأُمَّهَاتِهِمْ»، قَالَ: «أَفَتُحِبُّهُ لِابْنَتِكَ؟» قَالَ: لَا وَاللهِ يَا رَسُولَ اللهِ، جَعَلَنِي اللهُ فِدَاءَكَ، قَالَ: «وَلَا النَّاسُ يُحِبُّونَهُ لِبَنَاتِهِمْ»، قَالَ: «أَفَتُحِبُّهُ لِأُخْتِكَ قَالَ لَا وَاللهِ جَعَلَنِي اللهُ فِدَاءَكَ، قَالَ: «وَلَا النَّاسُ يُحِبُّونَهُ لِأَخَوَاتِهِمْ»، قَالَ: «أَفَتُحِبُّهُ لِعَمَّتِكَ»، قَالَ: لَا وَاللهِ جَعَلَنِي اللهُ فِدَاءَكَ، قَالَ: «وَلَا النَّاسُ يُحِبُّونَهُ لِعَمَّاتِهِمْ» قَالَ: «أَفَتُحِبُّهُ لِخَالَتِكَ»، قَالَ: لَا وَاللهِ جَعَلَنِي اللهُ فِدَاءَكَ، قَالَ: «وَلَا النَّاسُ يُحِبُّونَهُ لِخَالَاتِهِمْ» قَالَ: فَوَضَعَ يَدَهُ عَلَيْهِ، وَقَالَ «اللَّهُمَّ اغْفِرْ ذَنْبَهُ وَطَهِّرْ قَلْبَهُ وَحَصِّنْ فَرْجَهُ»، فَلَمْ يَكُنْ بَعْدُ ذَلِكَ الْفَتَى يَلْتَفِتُ إِلَى شَيْءٍ
ความว่า “เด็กหนุ่มคนหนึ่งมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วได้กล่าวว่า “โอ้เราะสูลุลลอฮฺ อนุญาตให้ฉันทำซินา(ผิดประเวณี)เถิด” บรรดาผู้คนจึงได้หันกลับมามองเขาแล้วได้ขับไล่เขาออกไป โดยได้ส่งเสียงว่า “มะฮฺ มะฮฺ”(แสดงความไม่พอใจ) แต่ท่านนบีกลับกล่าว(ต่อเด็กหนุ่มคนนั้น)ว่า “เข้ามาใกล้ๆซิ” เมื่อเขาเข้ามาใกล้ ท่านจึงบอกกับเขาว่า “นั่งลงซิ" เมื่อเขานั่งลง ท่านก็ได้ถามเด็กหนุ่มคนนั้นว่า “เจ้าพอใจจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับมารดาของเจ้าหรือไม่ ?” เขาตอบว่า“ไม่ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่านเถิด” ท่านนบี จึงกล่าวว่า "ผู้คนทั้งหลายก็ย่อมไม่ชอบที่จะเกิดเรื่องนี้กับมารดาของพวกเขาเช่นเดียวกัน" ท่านนบีได้ถามต่อว่า “เจ้ารักที่จะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับบุตรสาวของเจ้าหรือไม่?" เขาตอบว่า “ไม่ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ โอ้เราะสูลุลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่านเถิด”ท่านนบีจึงกล่าวว่า "ผู้คนก็ย่อมไม่ชอบที่จะให้เกิดเรื่องนี้กับบุตรสาวของพวกเขาเช่นเดียวกัน" ท่านนบีได้ถามต่อไปว่า “เจ้าพอใจจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพี่สาวหรือน้องสาวของเจ้าหรือไม่?” เขาตอบว่า “ไม่ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่านเถิด” ท่านนบีจึงกล่าวว่า "ผู้คนก็ย่อมไม่ชอบที่จะให้เกิดเรื่องนี้กับพี่สาวหรือน้องสาวของพวกเขาเช่นเดียวกัน" ท่านนบีได้ถามต่อไปว่า “เจ้าพอใจจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพี่สาวหรือน้องสาวของพ่อของเจ้าหรือไม่?”เขาตอบว่า “ไม่ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่านเถิด” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “ผู้คนก็ย่อมไม่ชอบที่จะเกิดเรื่องนี้พี่สาวหรือน้องสาวของพ่อของพวกเขาเช่นเดียวกัน” ท่านนบีได้ถามต่อไปว่า “เจ้าพอใจจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพี่สาวหรือน้องสาวของแม่ของเจ้าหรือไม่?” เขาตอบว่า “ไม่ ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่านเถิด” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “ผู้คนก็ย่อมไม่ชอบที่จะเกิดเรื่องนี้พี่สาวหรือน้องสาวของแม่ของพวกเขาเช่นเดียวกัน” จากนั้นท่านนบีได้วางมือของท่านบนตัวเขา แล้วท่านก็ได้กล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺ โปรดอภัยโทษให้กับความผิดของเด็กหนุ่มคนนี้ด้วยเถิด โปรดชำระหัวใจของเขาให้สะอาด และโปรดรักษาความบริสุทธิ์ของเขาด้วยเถิด” หลังจากนั้นเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ให้ความสนใจในเรื่องลักษณะอย่างนี้อีกเลย” (บันทึกโดยอะหฺมัด หมายเลขหะดีษ : 22211)