
หะดีษริยาฎุศศอลิฮีน : บทว่าด้วยการเตาบะฮฺ
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
บทที่ 2 การเตาบะฮฺ (กลับเนื้อกลับตัว)
بَابُ التَوْبَةِ
อุละมาอ์กล่าวว่า: การเตาบะฮฺเป็นสิ่งที่จำเป็นจากปวงบาปทั้งหลาย และถ้าหากความผิดนั้นเป็นความผิดระหว่างบ่าวกับอัลลอฮฺ โดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดสิทธิของมนุษย์ มีเงื่อนไข 3 ประการ คือ
หนึ่ง: ละทิ้งจากความผิดนั้นๆ
สอง: มีความเสียใจและรู้สึกผิดจากการกระทำความผิด
สาม: มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปทำความผิดนั้นตลอดไป
และหากขาดเงื่อนไขหนึ่งในสามประการนั้น ถือว่าการเตาบะฮฺไม่ถูกต้อง และถ้าหากความผิดนั้นเกี่ยวข้องกับลูกหลานอาดัมแล้วมีเงื่อนไขสี่ประการ นั่นคือ สามประการดังที่กล่าวมา และเงื่อนไขที่สี่คือให้ลบล้างความผิดจากสิทธิของเจ้าของ หากเป็นทรัพย์สินหรือสิ่งในทำนองเดียวกันก็ให้คืนทรัพย์สินนั้นแก่เจ้าของ และหากความผิดนั้นเป็นข้อหาการใส่ร้ายว่าผิดประเวณี (ซินา) หรือข้อหาในทำนองเดียวกันก็ให้เขามอบตัวรับผิดหรือขอโทษจากผู้ที่เขาใส่ความ และหากเป็นความผิดการนินทาก็ให้เขาขอขมา และจำเป็นของเตาบะฮฺจากทุกๆ ความผิด และหากเขาเตาบะฮฺเพียงความผิดบางประการ การเตาบะฮฺของเขานั้นถือว่าใช้ได้เฉพาะความผิดนั้นๆ ตามทัศนะของอะฮฺลุลฮัก(บรรดาผู้ที่เดินบนเส้นทางอันสัจจริง) และยังคงเหลือความผิดอื่นๆ มีตัวบทหลักฐานมากมายจากคำภีร์อัลกุรอานและสุนนะฮฺของท่านนบีและมติเอกฉันท์ของประชาชาติถึงความจำเป็นในการเตาบะฮฺ
อัลลอฮฺตรัสว่า:
ความว่า: “และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ”[1]
อัลลอฮฺตรัสว่า:
ความว่า: “และพวกท่านจงขอนิรโทษจากพระเจ้าของพวกท่าน แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์”[2]
อัลลอฮฺตรัสว่า:
ความว่า: “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงขอลุแก่โทษแด่อัลลอฮฺด้วยการลุแก่โทษอย่างจริงจังเถิด”[3]
وعن أبي هريرةَ ت قَالَ : سمعْتُ رسولَ الله ص يقول : «والله إنِّي لأَسْتَغْفِرُ الله وأَتُوبُ إِلَيْه في اليَوْمِ أَكْثَرَ مِنْ سَبْعِينَ مَرَّةً» رَوَاهُ البُخَارِيُّ .
ความว่า: และจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ ت เล่าว่า: ฉันได้ยินท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص กล่าวว่า: “ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ แท้จริงฉันขอลุแก่โทษ (อิสติฆฟารฺ) และกลับตัว (เตาบัต) ต่ออัลลอฮฺมากกว่า 70 ครั้งในหนึ่งวัน” (หะดีษบันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ)[4]
وعن الأَغَرِّ بنِ يسار المزنِيِّ ت قَالَ : قَالَ رَسُول الله ص : «يَا أَيُّهَا النَّاسُ ، تُوبُوا إِلى اللهِ واسْتَغْفِرُوهُ ، فإنِّي أتُوبُ في اليَومِ مئةَ مَرَّةٍ » رَوَاهُ مُسْلِم.
ความว่า: และจากท่านอัล-อะฆ็อรฺ อิบนุ ยะสารฺ อัล-มุซะนียฺ ت เล่าว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص กล่าวว่า: “โอ้มนุษย์เอ๋ย! พวกท่านจงกลับเนื้อกลับตัว(เตาบะฮฺ)สู่อัลลอฮฺเถิด และพวกท่านจงขอลุแก่โทษ (อิสติฆฟารฺ) ต่อพระองค์ เพราะแท้จริงฉันกล่าวอิสติฆฟารฺกลับตัวไปยังพระองค์วันละ 100 ครั้ง” (หะดีษบันทึกโดยมุสลิม)[5]
وعن أبي حمزةَ أنسِ بنِ مالكٍ الأنصاريِّ- خادِمِ رسولِ الله ص - ت قَالَ : قَالَ رَسُولُ الله ص : «للهُ أفْرَحُ بِتَوْبَةِ عَبْدِهِ مِنْ أَحَدِكُمْ سَقَطَ عَلَى بَعِيرهِ وقد أضلَّهُ في أرضٍ فَلاةٍ» مُتَّفَقٌ عليه .
وفي رواية لمُسْلمٍ : «للهُ أَشَدُّ فَرَحاً بِتَوبَةِ عَبْدِهِ حِينَ يتوبُ إِلَيْهِ مِنْ أَحَدِكُمْ كَانَ عَلَى رَاحِلَتهِ بأرضٍ فَلاةٍ ، فَانْفَلَتَتْ مِنْهُ وَعَلَيْهَا طَعَامُهُ وَشَرَابهُ فأَيِسَ مِنْهَا ، فَأَتى شَجَرَةً فاضطَجَعَ في ظِلِّهَا وقد أيِسَ مِنْ رَاحلَتهِ ، فَبَينَما هُوَ كَذَلِكَ إِذْ هُوَ بِها قائِمَةً عِندَهُ ، فَأَخَذَ بِخِطامِهَا ، ثُمَّ قَالَ مِنْ شِدَّةِ الفَرَحِ : اللَّهُمَّ أنْتَ عَبدِي وأنا رَبُّكَ ! أَخْطَأَ مِنْ شِدَّةِ الفَرَحِ» .
ความว่า: และจากท่านอบูหัมซะฮฺ อนัส อิบนุ มาลิก อัล-อันศอรีย์ ت – คนรับใช้ของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص- เล่าว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص กล่าวว่า: “อัลลอฮฺทรงดีใจต่อการกลับตัว (เตาบะฮฺ) ของบ่าวของพระองค์ยิ่งกว่าความดีใจของคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านที่ได้พบอูฐของเขาโดยบังเอิญซึ่งมันได้จากเขาไปในแผ่นดินที่เวิ้งกว้าง[6]” มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ[7]
และในการรายงานของมุสลิมมีสำนวนว่า: “อัลลอฮฺทรงดีใจต่อการกลับตัว (เตาบะฮฺ) ของบ่าวของพระองค์ในขณะที่เขาทำการกลับตัว (เตาบะฮฺ) ยิ่งกว่าคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านซึ่งได้นั่งอยู่บนสัตว์พาหนะของเขาในแผ่นดินที่เวิ้งกว้าง แล้วมันก็หลุดหนีไปโดยที่อาหารและน้ำดื่มติดไปด้วย เขาหมดหวังที่จะได้เจอมันอีก แล้วเขาก็ไปลงนอนใต้ร่มเงาไม้ในสภาพที่หมดหวังจะเจอกับพาหนะของเขาอีก และในขณะที่เขาอยู่ในสภาพนั้นจู่ๆ มันก็ยืนอยู่ต่อหน้าเขา แล้วเขาก็จับเชือก และได้กล่าวเนื่องจากความดีใจอย่างที่สุดว่า โอ้อัลลอฮฺ พระองค์คือบ่าวของฉัน และฉันคือพระเจ้าของพระองค์ เขาพูดผิดไปเนื่องจากความหลงดีใจอย่างที่สุด”
وعن أبي موسَى عبدِ اللهِ بنِ قَيسٍ الأشْعريِّ ت عن النَّبيّ ص قَالَ : «إنَّ الله تَعَالَى يَبْسُطُ يَدَهُ بالليلِ لِيَتُوبَ مُسِيءُ النَّهَارِ ، ويَبْسُطُ يَدَهُ بالنَّهَارِ لِيَتُوبَ مُسِيءُ اللَّيلِ ، حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ مَغْرِبِها» رواه مسلم.
ความว่า: และจากท่านอบูมูซา อับดุลลอฮฺ อิบนุ ก็อสฺ อัล-อัชอะรีย์ ت จากท่านนบี ص ท่านกล่าวว่า: “แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงแบพระหัตถ์ของพระองค์ในเวลากลางคืนเพื่อรับการกลับตัว (เตาบะฮฺ) ของผู้ทำผิดในเวลากลางวัน และทรงแบพระหัตถ์ในเวลากลางวันเพื่อรับการกลับตัวของผู้ทำผิดในเวลากลางคืน จนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก(หมายถึงปรากฏสัญญาณวันกิยามะฮฺ)” (หะดีษบันทึกโดยมุสลิม)[8]
وعن أبي هُريرةَ ت قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللهِ ص : «مَنْ تَابَ قَبْلَ أنْ تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْ مَغْرِبِها تَابَ اللهُ عَلَيهِ» رواه مسلم .
ความว่า: และจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ ت เล่าว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص กล่าวว่า: “ใครก็ตามที่กลับตัว (เตาบะฮฺ) ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก อัลลอฮฺจะทรงรับการกลับตัวของเขา” (หะดีษบันทึกโดยมุสลิม)[9]
وعن أبي عبد الرحمان عبد الله بنِ عمَرَ بنِ الخطابِ ب عن النَّبي ص قَالَ : «إِنَّ الله ﻷ يَقْبَلُ تَوبَةَ العَبْدِ مَا لَمْ يُغَرْغِرْ» رواه الترمذي، وَقالَ : حديث حسن.
ความว่า: และจากท่านอบูอับดิรฺเราะหฺมาน อับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัรฺ อิบนุ อัล-ค็อฏฏอบ ب จากท่านนบี ص กล่าวว่า: “แท้จริงอัลลอฮฺ ﻷ ทรงตอบรับการกลับตัว (เตาบะฮฺ) ของบ่าวของพระองค์ตราบใดที่วิญญานยังไม่ออกถึงลูกกระเดือก” (หะดีษบันทึกโดยอัต-ติรฺมิซียฺ และท่านกล่าวว่าเป็นหะดีษหะสัน)[10]
- وعن زِرِّ بن حُبَيْشٍ ، قَالَ : أَتَيْتُ صَفْوَانَ بْنَ عَسَّالٍ ت أسْألُهُ عَن الْمَسْحِ عَلَى الخُفَّيْنِ ، فَقالَ : ما جاءَ بكَ يَا زِرُّ ؟ فقُلْتُ : ابتِغَاء العِلْمِ ، فقالَ : إنَّ المَلائكَةَ تَضَعُ أجْنِحَتَهَا لطَالبِ العِلْمِ رِضىً بِمَا يطْلُبُ . فقلتُ : إنَّهُ قَدْ حَكَّ في صَدْري المَسْحُ عَلَى الخُفَّينِ بَعْدَ الغَائِطِ والبَولِ ، وكُنْتَ امْرَءاً مِنْ أَصْحَابِ النَّبيِّ ص فَجئتُ أَسْأَلُكَ هَلْ سَمِعْتَهُ يَذكُرُ في ذلِكَ شَيئاً ؟ قَالَ : نَعَمْ ، كَانَ يَأْمُرُنا إِذَا كُنَّا سَفراً - أَوْ مُسَافِرينَ - أنْ لا نَنْزعَ خِفَافَنَا ثَلاثَةَ أَيَّامٍ وَلَيالِيهنَّ إلاَّ مِنْ جَنَابَةٍ ، لكنْ مِنْ غَائطٍ وَبَولٍ ونَوْمٍ . فقُلْتُ : هَلْ سَمِعْتَهُ يَذْكرُ في الهَوَى شَيئاً ؟ قَالَ : نَعَمْ ، كُنّا مَعَ رسولِ اللهِ ص في سَفَرٍ ، فبَيْنَا نَحْنُ عِندَهُ إِذْ نَادَاه أَعرابيٌّ بصَوْتٍ لَهُ جَهْوَرِيٍّ : يَا مُحَمَّدُ ، فأجابهُ رسولُ الله ص نَحْواً مِنْ صَوْتِه : «هَاؤُمْ» فقُلْتُ لَهُ : وَيْحَكَ ! اغْضُضْ مِنْ صَوتِكَ فَإِنَّكَ عِنْدَ النَّبي ص وَقَدْ نُهِيتَ عَنْ هذَا ! فقالَ : والله لاَ أغْضُضُ . قَالَ الأعرَابيُّ : المَرْءُ يُحبُّ القَوْمَ وَلَمَّا يلْحَقْ بِهِمْ ؟ قَالَ النَّبيُّ ص : «المَرْءُ مَعَ مَنْ أَحَبَّ يَومَ القِيَامَةِ» . فَمَا زَالَ يُحَدِّثُنَا حَتَّى ذَكَرَ بَاباً مِنَ المَغْرِبِ مَسيرَةُ عَرْضِهِ أَوْ يَسِيرُ الرَّاكبُ في عَرْضِهِ أرْبَعينَ أَوْ سَبعينَ عاماً - قَالَ سُفْيانُ أَحدُ الرُّواةِ : قِبَلَ الشَّامِ - خَلَقَهُ الله تَعَالَى يَوْمَ خَلَقَ السَّمَاواتِ والأَرْضَ مَفْتوحاً للتَّوْبَةِ لا يُغْلَقُ حَتَّى تَطْلُعَ الشَّمْسُ مِنْهُ. رواه الترمذي وغيره، وَقالَ: حديث حسن صحيح.
ความว่า: และจากท่านซิรฺ อิบนุ หุบัยชฺ เล่าว่า: “ฉันได้ไปหาท่านศ็อฟวาน อิบนุ อัสสาล ت เพื่อที่ฉันจะได้ถามเขาเรื่องการเช็ดบนรองเท้าคุฟ แล้วท่านก็ได้ถามฉันว่า ด้วยเหตุใดท่านจึงมาหาฉัน? ฉันตอบว่า เพื่อแสวงหาความรู้ แล้วเขาก็กล่าวว่า แท้จริงบรรดามลาอิกะฮฺจะวางปีกของเขาบนผู้แสวงหาความรู้เพื่อเป็นการแสดงความพึงพอใจต่อสิ่งที่เขาได้แสวงหา ต่อมาฉันก็กล่าวว่า: ฉันรู้สึกตะขิดตะขวงใจเรื่องการเช็ดบนรองเท้าคุฟหลังจากการอุจจาระและปัสสาวะ และท่านก็เป็นหนึ่งจากบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านนบี ص ดังนั้นฉันจึงมาถามท่านว่าท่านเคยได้ยินท่านนบี ص พูดถึงเรื่องนี้ไหม? เขาตอบว่า เคย ท่านได้สั่งใช้ให้พวกเรา –เมื่อพวกเราเดินทาง- มิให้ถอดรองเท้าคุฟของพวกเราเป็นระยะเวลา 3 วัน 3 คืนนอกจากจะมีญะนาบะฮฺ[11] แต่ทว่า (มิให้ถอด) เนื่องจากการอุจจาระ ปัสสาวะ และนอน และฉันก็ถามเขาต่ออีกว่า: ท่านเคยได้ยินท่านนบี ص พูดถึงเรื่องความรักไหม? เขาตอบว่า: เคย ในขณะที่พวกเราอยู่กับท่านนั้น จู่ๆ ก็มีชายชนบทคนหนึ่งเรียกท่านด้วยเสียงอันดังว่า โอ้มุหัมมัด แล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ก็ขานตอบด้วยเสียงพอๆ กับเสียงเขาว่า “เราอยู่นี่” และฉันก็กล่าวแก่เขา (ชายอาหรับชนบท) ว่า นี่ จงลดเสียงของท่านซะ เพราะท่านยืนอยู่ต่อหน้านบี ص และท่านก็ถูกห้ามมิให้กระทำเช่นนี้! ชายคนนั้นตอบว่า: ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่ลดเสียง ชายอาหรับคนนั้นกล่าวว่า: คนๆ หนึ่งรักคนกลุ่มหนึ่งแต่เขาไม่ทันพบกับพวกเขา? ท่านนบี ص ตอบว่า: “คนๆ หนึ่งจะอยู่กับบุคคลที่เขารักในวันกิยามะฮฺ” ต่อมาท่านก็ยังคงสนทนากับพวกเราจนกระทั่งท่านพูดถึงประตูบานหนึ่งจากทางทิศตะวันตก ซึ่งมีความกว้างหรือระยะทางความกว้างเท่ากับการเดินทางของผู้ขี่พาหนะเป็นเวลา 40 หรือ 70 ปี ท่านสุฟยาน[12]นักรายงานหะดีษคนหนึ่งกล่าวว่า: อยู่ทางประเทศชาม อัลลอฮฺได้สร้างมันในวันที่พระองค์สร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเปิดไว้เพื่อตอบรับการกลับตัว (เตาบะฮฺ) มันจะไม่ปิดจนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก” (หะดีษบันทึกโดยอัต-ติรฺมิซียฺ และท่านกล่าวว่าเป็นหะดีษหะสันเศาะหี้หฺ)[13]
وعن أبي سَعيد سَعْدِ بنِ مالكِ بنِ سِنَانٍ الخدريِّ ت : أنّ نَبِيَّ الله ص قَالَ : «كَانَ فِيمَنْ كَانَ قَبْلَكمْ رَجُلٌ قَتَلَ تِسْعَةً وتِسْعينَ نَفْساً ، فَسَأَلَ عَنْ أعْلَمِ أَهْلِ الأرضِ ، فَدُلَّ عَلَى رَاهِبٍ ، فَأَتَاهُ . فقال : إنَّهُ قَتَلَ تِسعَةً وتِسْعِينَ نَفْساً فَهَلْ لَهُ مِنْ تَوبَةٍ ؟ فقالَ : لا ، فَقَتَلهُ فَكَمَّلَ بهِ مئَةً ، ثُمَّ سَأَلَ عَنْ أَعْلَمِ أَهْلِ الأَرضِ ، فَدُلَّ عَلَى رَجُلٍ عَالِمٍ . فقَالَ : إِنَّهُ قَتَلَ مِئَةَ نَفْسٍ فَهَلْ لَهُ مِنْ تَوْبَةٍ ؟ فقالَ : نَعَمْ ، ومَنْ يَحُولُ بَيْنَهُ وبَيْنَ التَّوْبَةِ ؟ انْطَلِقْ إِلى أرضِ كَذَا وكَذَا فإِنَّ بِهَا أُناساً يَعْبُدُونَ الله تَعَالَى فاعْبُدِ الله مَعَهُمْ ، ولاَ تَرْجِعْ إِلى أَرْضِكَ فَإِنَّهَا أرضُ سُوءٍ ، فانْطَلَقَ حَتَّى إِذَا نَصَفَ الطَّرِيقَ أَتَاهُ الْمَوْتُ ، فاخْتَصَمَتْ فِيهِ مَلائِكَةُ الرَّحْمَةِ ومَلائِكَةُ العَذَابِ . فَقَالتْ مَلائِكَةُ الرَّحْمَةِ : جَاءَ تَائِباً ، مُقْبِلاً بِقَلبِهِ إِلى اللهِ تَعَالَى ، وقالتْ مَلائِكَةُ العَذَابِ : إنَّهُ لمْ يَعْمَلْ خَيراً قَطُّ ، فَأَتَاهُمْ مَلَكٌ في صورَةِ آدَمِيٍّ فَجَعَلُوهُ بَيْنَهُمْ - أيْ حَكَماً - فقالَ : قِيسُوا ما بينَ الأرضَينِ فَإلَى أيّتهما كَانَ أدنَى فَهُوَ لَهُ . فَقَاسُوا فَوَجَدُوهُ أدْنى إِلى الأرْضِ التي أرَادَ ، فَقَبَضَتْهُ مَلائِكَةُ الرَّحمةِ» مُتَّفَقٌ عليه .
وفي رواية في الصحيح : «فَكَانَ إلى القَريَةِ الصَّالِحَةِ أقْرَبَ بِشِبْرٍ فَجُعِلَ مِنْ أهلِهَا» .
وفي رواية في الصحيح : «فَأَوحَى الله تَعَالَى إِلى هذِهِ أَنْ تَبَاعَدِي ، وإِلَى هذِهِ أَنْ تَقَرَّبِي ، وقَالَ : قِيسُوا مَا بيْنَهُما ، فَوَجَدُوهُ إِلى هذِهِ أَقْرَبَ بِشِبْرٍ فَغُفِرَ لَهُ» . وفي رواية : «فَنَأى بصَدْرِهِ نَحْوَهَا» .
ความว่า: และจากท่านอบูสะอีด สะอัด อิบนุ มาลิก อิบนุ สินาน อัล-คุดรียฺ ت เล่าว่า: ท่านนบี ص กล่าวว่า: “ในประชาชาติก่อนหน้าพวกท่านนั้นมีชายคนหนึ่งได้เข่นฆ่าผู้คนมา 99 ชีวิต ต่อมาเขาได้ถามหาถึงปราชญ์ที่มีความรู้มากที่สุดบนผืนแผ่นดิน และเขาก็ถูกแนะให้ไปหาบาทหลวงท่านหนึ่ง แล้วเขาก็ได้ไปหาและได้ถามบาทหลวงท่านนั้นว่า เขาได้ฆ่าคนมา 99 ชีวิต เขามีสิทธิ์ที่จะกลับตัว (เตาบะฮฺ) หรือไม่? บาทหลวงคนนั้นตอบว่า ไม่มีสิทธิ์เลย แล้วชายคนนั้นก็ฆ่าบาทหลวงครบเป็นคนที่ 100 หลังจากนั้นเขาก็ถามหาถึงปราชญ์ที่มีความรู้ที่สุดบนผืนแผ่นดิน แล้วเขาก็ถูกแนะยังชายคนหนึ่งที่มีความรู้ และเขาก็ได้ถามว่า เขาได้ฆ่าคนมา 100 ชีวิต เขามีสิทธิ์ที่จะกลับตัว (เตาบะฮฺ) ไหม? ชายที่มีความรู้นั้นตอบว่า มีสิ แล้วใครเล่าจะมาขวางกั้นระหว่างท่านกับการกลับตัว แต่ว่า ท่านจงเดินทางออกไปยังแผ่นดินนั้นๆ เพราะแท้จริง ณ ที่นั่นมีผู้คนที่สักการะอัลลอฮฺ ـ ดังนั้นท่านจงสักการะพร้อมๆ กับพวกเขา และท่านจงอย่ากลับไปยังดินแดนของท่านอีกเด็ดขาด เพราะมันเป็นดินแดนที่ชั่วช้า แล้วเขาก็ได้เดินทางออกจนกระทั่งถึงครึ่งทางความตายก็มาเยือนเขา และแล้วมลาอิกะฮฺแห่งความเมตตาปรานี(เราะหฺมะฮฺ) กับมลาอิกะฮฺแห่งการลงโทษ(อะซาบ) ก็เกิดโต้เถียงกัน(ว่าผู้ใดที่ควรจะเป็นผู้รับวิญญาณเขาไป) มลาอิกะฮฺแห่งความเมตตาปรานีกล่าวว่า ชายคนนี้ได้เดินทางมาในสภาพที่กลับตัวและด้วยหัวใจที่มุ่งสู่อัลลอฮฺ ـ และมลาอิกะฮฺแห่งการลงโทษก็กล่าวว่า เขาไม่เคยประกอบคุณงามความดีเลย แล้วมีมลาอิกะฮฺท่านหนึ่งในร่างมนุษย์ได้มาหาพวกเขา และพวกเขาก็ขอให้เขาตัดสินข้อโต้แย้ง เขาตอบไปว่า พวกท่านจงวัดระยะทางระหว่างสองดินแดนนั้นว่าศพของชายผู้นี้อยู่ใกล้ดินแดนไหนก็ให้ถือว่าเขาอยู่ในดินแดนนั้น แล้วพวกเขาก็ได้วัดและปรากฏว่าเขาอยู่ใกล้ดินแดนที่เขาต้องการ(เดินทางไป) จากนั้นมลาอิกะฮฺแห่งความเมตตาปรานีจึงได้เอาวิญญาณเขาไป” (มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ)[14]
และมีรายงานหนึ่งในหนังสือ “อัศ-เศาะหี้หฺ”[15] ระบุว่า: “ปรากฏว่าระยะทางสู่เมืองที่ดีนั้นใกล้กว่าหนึ่งคืบ ดังนั้นเขาจึงถูกถือว่าเป็นชาวเมืองนั้น”
และมีอีกรายงานหนึ่งในหนังสือ “อัศ-เศาะหี้หฺ”[16] ระบุว่า: “แล้วอัลลอฮฺ ـ ทรงประทานวะหฺยูแก่ดินแดนที่เขาจากมาให้ยืดห่างออกไปไกล และแก่ดินแดนที่เขามุ่งไปให้หดเข้ามาใกล้ และเขาก็กล่าวว่า พวกท่านจงวัดระยะทางระหว่างทั้งสองเถิด ต่อมาพวกเขาก็พบว่าเขาอยู่ใกล้กับดินแดนที่เขากำลังจะเดินทางไปหนึ่งคืบ แล้วอัลลอฮฺก็ทรงอภัยโทษให้แก่เขา”
และมีสายรายงานหนึ่ง[17]ระบุว่า: “และเขาได้พยายามลุกขึ้นด้วยหน้าอกของเขาหันสู่ดินแดนที่เขาต้องการเดินทางไป”
ความว่า: และจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ กะอับ อิบนุ มาลิก –ท่านเป็นผู้นำทางให้กับท่านกะอับ تตอนที่เขาตาบอด- เล่าว่า: เขาได้ยินกะอับ อิบนุ มาลิก تได้เล่าเรื่องของเขาตอนที่มิได้เข้าร่วมสงครามตะบูกกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ว่า: ฉันไม่เคยพลาดในการเข้าร่วมสงครามที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ได้ออกสมรภูมิเลยนอกจากสงครามตะบูก และฉันก็ไม่ได้เข้าร่วมสงครามบัดรฺมาแล้วและท่านก็ไม่ได้ตำหนิผู้ใดที่ไม่ได้เข้าร่วมสงครามนั้น เพราะท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص และบรรดามุสลิมได้ออกไป (จากนครมะดีนะฮฺ) โดยมีจุดมุ่งหมายที่กองคาราวานเผ่ากุร็อยชฺ จนกระทั่งอัลลอฮฺ ـ ทรงให้พวกเขาและศัตรูต้องมาเผชิญกันโดยมิได้นัดหมาย และแท้จริงฉันได้ให้สัตยาบันกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ในคืนอัล-อะเกาะบะฮฺว่าจะยึดมั่นในศาสนาอิสลาม และฉันไม่ปรารถนาจะแลกคืนนั้นด้วยกับออกศึกบัดรฺเลย ถึงแม้นว่าสมรภูมิบัดรฺจะถูกกล่าวขานมากกว่าในหมู่ผู้คน
เรื่องของฉันตอนที่ไม่ได้ออกสมรภูมิตะบูกพร้อมกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص นั้น คือฉันไม่เคยเข้มแข็งและร่ำรวยเท่าตอนที่ฉันไม่ได้ออกสมรภูมินั้นเลย ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เคยมีสัตว์พาหนะสองตัวมาก่อนเลยนอกจากในช่วงสงครามนี้ และท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص จะไม่ออกศึกนอกจากท่านจะใช้เล่ห์กลยุทธ์ จนกระทั่งในสงครามนั้น ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ได้ทำศึกในช่วงที่อากาศร้อนระอุ และท่านได้เดินทางไกลและมีน้ำดื่มน้อยนิด และท่านก็เผชิญกับข้าศึกจำนวนมหาศาล ท่านได้ประกาศให้มุสลิมได้ทราบเพื่อเตรียมตัวพร้อมในสงคราม ท่านได้บอกให้พวกเขารู้ว่าจะมุ่งไปทางไหน มุสลิมที่ออกไปกับท่านเราะสูลุลลอฮฺมีจำนวนมากมาย โดยไม่มีการรวบรวมในสมุดบันทึก หมายถึงบัญชีรายชื่อกองทหาร
กะอับเล่าต่อว่า: มีผู้ชายน้อยคนนักที่จะไม่ออกไป นอกจากเขาคิดว่าเขาจะปิดบังไว้ได้ตราบใดที่วะหฺยูยังคงถูกประทานจากอัลลอฮฺ และท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ได้เข้าร่วมสงครามนั้นช่วงผลไม้กำลังสุกและอากาศกำลังดีและฉันก็ชอบมันเป็นอย่างยิ่ง ท่านเราะสูลุลลอฮฺและบรรดามุสลิมที่อยู่กับท่านได้เตรียมตัว และฉันก็ได้ไปแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวพร้อมกับท่าน แต่ฉันก็กลับไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันพูดกับตัวเองว่า: ฉันมีความสามารถพร้อมเมื่อฉันต้องการ และมันยังคงยืนกรานกับฉันเช่นนั้นจนผู้คนได้พากันเอาจริงเอาจัง รุ่งเช้าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص พร้อมกับบรรดามุสลิมได้ออกเดินทาง ฉันก็ยังไม่ได้จัดการกับอุปกรณ์ใดๆ ของฉันเลย พอรุ่งเช้าฉันออกไปและกลับมา และสงครามได้ล่วงผ่านไป ฉันตั้งใจว่าจะเดินทางและตามไปทันพวกเขา ฉันก็ได้แต่หวังว่าจะทำ จนฉันหมดโอกาสที่จะทำเช่นนั้น ต่อมาเมื่อฉันเดินออกไปพบผู้คน หลังจากนั้นท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ได้ออกไปแล้ว ที่ทำให้ฉันเสียใจก็คือ ฉันไม่ได้พบเห็นผู้ที่จะยึดถือเป็นแบบอย่างได้เลยนอกจากพบกับคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหน้าไว้หลังหลอกหรือไม่ก็คนที่อัลลอฮฺ ตะอาลา อภัยให้เขา เพราะเป็นพวกที่อ่อนแอ และท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ก็ไม่ได้เอ่ยถึงฉันเลยจนท่านเดินทางถึงตะบูก ท่านได้พูดขึ้นขณะนั่งอยู่ท่ามกลางประชาชนที่ตะบูกว่า: “กะอับ อิบนุ มาลิกทำอะไรอยู่หนอ?” ชายคนหนึ่งจากตระกูลสาลิมิยฺยะฮฺ กล่าวขึ้นว่า: โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ผ้าห่มสองผืนของเขาและการมองดูสีข้างของเขาอย่างลำพองคงฉุดตัวเขาไว้แน่ มุอาซ อิบนุ ญะบัล ت ได้กล่าวแก่เขาว่า: ที่ท่านพูดมานั้นเลวมาก ! ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ฉันไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขานอกจากความดีเท่านั้น ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص หยุดนิ่งขณะที่ท่านอยู่ในสภาพเช่นนั้น ท่านได้เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดขาวกลืนหายไปกับเปลวแดด ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص กล่าวว่า: “ขอให้เป็นอบู ค็อยษะมะฮฺเถิด” ก็ปรากฏชายคนหนึ่งนั้นคือ อบู ค็อยษะมะฮฺ อัล-อันศอรียฺ ซึ่งเป็นผู้ที่บริจาคอินทผลัมจำนวนหนึ่งศออฺเป็นทานขณะพวกมุนาฟิกพูดจาทิ่มแทงเขา
กะอับเล่าต่อว่า: พอฉันได้ข่าวว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص กำลังมุ่งหน้ากลับมาจากตะบูก ความเศร้าโศกเสียใจได้บังเกิดขึ้นกับฉัน และฉันเริ่มนึกถึงการโกหก ฉันพูดว่า: พรุ่งนี้ฉันจะรอดจากความกริ้วโกรธของท่านนบีด้วยสิ่งใด? และฉันจะขอความช่วยเหลือจากทุกคนในครอบครัวของฉันที่มีความคิดดีๆ ในเรื่องดังกล่าว เมื่อมีผู้กล่าวว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص กลับมาถึงแล้ว ความคิดเหลวไหลก็หายไปจากฉัน จนฉันรู้ว่าไม่มีทางที่จะใช้สิ่งใดทำให้ตนเองรอดพ้นไปได้อย่างแน่นอน ฉันจึงตัดสินใจว่าต้องพูดความจริง พอรุ่งเช้าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ก็มาถึง เป็นธรรมดาเมื่อมาถึงท่านจะเริ่มต้นที่มัสญิด ท่านจะละหมาดในมัสญิดสองร็อกอัต แล้วนั่งลงเพื่อเพื่อให้ผู้คนเข้าพบ เมื่อท่านได้กระทำดังนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกที่ไม่ได้ออกไปสงครามก็ได้เข้ามาหาท่านแจ้งข้อขัดข้องและสาบานแก่ท่าน พวกเขามี 80 กว่าคน ท่านรับข้อแก้ตัวของพวกเขา และได้ให้สัตยาบันแก่พวกเขาและขออภัยโทษให้แก่พวกเขา และได้มอบหมายสิ่งที่พวกเขาแฝงเร้นไว้ให้แก่อัลลอฮฺตะอาลาจนเมื่อฉันเข้ามา เมื่อฉันให้สลาม ท่านแสดงอาการยิ้มเหมือนอาการยิ้มของคนที่กำลังโกรธ แล้วท่านก็กล่าวว่า “เชิญ!” ฉันเดินเข้าไปจนนั่งลงต่อหน้าท่าน ท่านกล่าวแก่ฉันว่า “อะไรทำให้ท่านไม่ออกไปสงคราม? ท่านไม่ได้ซื้อพาหนะไว้หรือ?”
กะอับเล่าว่า: ฉันกล่าวว่า: โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ความจริงฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ถ้าหากฉันนั่งอยู่กับชาวโลกคนใดที่มิใช่ท่าน ฉันเห็นว่าฉันสามารถรอดพ้นจากความโกรธของเขาไปได้ด้วยข้อแก้ตัว ความจริงฉันมีพรสวรรค์ในเรื่องการโต้คารม แต่ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าฉันรู้ดีว่าถ้าหากฉันพูดปดกับท่านในวันนี้ ซึ่งอาจจะทำให้ท่านพอใจ แต่อัลลอฮฺก็จะทรงทำให้ท่านรู้และท่านก็จะโกรธฉัน และถ้าหากฉันพูดความจริงกับท่าน ท่านก็จะต้องโกรธฉัน ทว่าฉันหวังที่จะได้รับบั้นปลายที่ดีจากอัลลอฮฺ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันไม่เคยเข้มแข็งและร่ำรวยเหมือนเช่นนี้มาก่อนขณะที่ฉันไม่ได้ออกไปกับท่าน
กะอับเล่าว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص กล่าวว่า: “สำหรับคนนี้นั้น เขาได้พูดความจริง ดังนั้นท่านจงลุกขึ้นเถิดจนกว่าอัลลอฮฺจะตัดสินในเรื่องของท่าน” มีผู้ชายหลายคนจากตระกูลบนี สาลิมะฮฺเดินตามฉันแล้วพูดกับฉันว่า พวกเราไม่เคยรู้ว่าท่านทำผิดมาก่อนหน้านี้เลย แล้วท่านหมดสภาพแล้วหรือที่จะไม่แก้ตัวกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ด้วยข้อแก้ตัวอย่างเดียวกับพวกที่ไม่ได้ออกไปทำสงครามทั้งหลายแก้ตัว เพราะน่าจะเป็นการเพียงพอแล้วถ้าหากท่านขอให้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص วิงวอนขออภัยโทษให้ท่าน
กะอับเล่าว่า: ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า พวกเขาเฝ้าพูดกับฉัน จนฉันเกิดความรู้สึกต้องการจะกลับไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص แล้วไปโกหกตัวเอง ฉันถามพวกเขาว่า: มีใครประสบเหตุการณ์เช่นนี้ร่วมกับฉันบ้าง? พวกเขาตอบว่า: มีสองคนที่ประสบเหตุการณ์เดียวกับท่าน
กะอับเล่าว่า: ฉันถามว่า: เขาทั้งสองเป็นใคร? พวกเขาตอบว่าคือ มุรอเราะฮฺ อิบนุ เราะบีอฺ อัล-อัมรียฺ และฮิลาล อิบนุ อุมัยยะฮฺ อัล-วากิฟียฺ
กะอับเล่าว่า: พวกเขาได้เอ่ยถึงชายสองคนที่เป็นคนดีเคยออกไปร่วมในสมรภูมิบัดฺรฺ ซึ่งบุคคลทั้งสองเป็นแบบอย่างที่ดี
กะอับเล่าว่า: ฉันจึงเดินจากไป เมื่อพวกเขากล่าวถึงคนทั้งสองให้ฉันฟัง ขณะเดียวกันท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ก็ได้ห้ามผู้คนไม่ให้พูดคุยกับเราเพียงสามคน จากจำนวนพวกที่ไม่ได้ออกไปทำสงครามพร้อมกับท่าน
กะอับเล่าว่า: ผู้คนได้พากับหลีกหนีพวกเรา หรือเขาได้กล่าวว่า: พวกเขามีท่าทีต่อเราเปลี่ยนแปลงไปจนฉันเกิดความรู้สึกว่าแปลกถิ่น มันเหมือนไม่ใช่ถิ่นเดิมที่ฉันเคยรู้จัก ฉันต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นเวลาถึง 50 วัน ส่วนเพื่อนอีกสองคนของฉัน เขาชราแล้วทั้งคู่ และได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในบ้าน ส่วนฉันเป็นคนหนุ่มที่สุดและแข็งแรงที่สุด ฉันออกไปร่วมละหมาดกับบรรดามุสลิม ฉันตระเวนไปตลาด โดยไม่มีใครพูดกับฉันแม้สักคนเดียว ฉันไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص คารวะท่านด้วยสลาม ขณะที่ท่านยังคงนั่งอยู่ในที่ของท่านภายหลังละหมาด ฉันพูดกับตัวเองว่า: ท่านได้ขยับริมฝีปากของท่านตอบสลามฉันหรือเปล่า? จากนั้นฉันได้ละหมาดใกล้ๆ กับท่าน และแอบมองท่าน เมื่อฉันหันมาสู่ละหมาด ท่านก็มองดูที่ฉัน เมื่อฉันหันไปทางท่าน ท่านก็หันหน้าหนี เมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานที่ต้องเผชิญกับความเมินเฉยของบรรดามุสลิม ฉันเดินไปจนขึ้นไปบนกำแพงสวนของอบู เกาะตาดะฮฺ ซึ่งเขาเป็นลูกของลุงฉัน เขาเป็นคนที่ฉันรักที่สุด ฉันให้สลามเขา ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าเขาไม่ได้ตอบสลามฉัน ฉันพูดกับเขาว่า: อบู เกาะตาดะฮฺเอ๋ย ด้วยอัลลอฮฺ ฉันขอให้ท่านช่วย ท่านก็รู้มิใช่หรือว่าฉันรักอัลลอฮฺและเราะสูลุลลอฮฺ ص ? เขานิ่ง หลังจากนั้นฉันได้กลับไปขอความช่วยเหลือจากเขาอีก แต่เขาก็นิ่งเงียบ หลังจากนั้นฉันได้กลับไปขอความช่วยเหลือจากเขาอีก แต่เขาก็นิ่งเงียบอีก หลังจากนั้นฉันได้กลับไปขอความช่วยเหลือจากเขาอีก เขากล่าวว่า: อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ย่อมรู้ดี ดวงตาทั้งสองของฉันเอ่อนองด้วยน้ำตา ฉันหันกลับจนเดินขึ้นไปบนกำแพงสวน ขณะฉันเดินอยู่ในตลาดของมะดีนะฮฺ ได้มีชาวนาคนหนึ่งจากพวกขาวนาชาวชามที่นำอาหารมาขายในนครมะดีนะฮฺพูดขึ้นว่า: จะมีใครชี้ทางให้ฉันไปหากะอับ อิบนุ มาลิกบ้าง? ผู้คนพากันชี้ให้เขามาที่ฉัน จนเขาได้มาหาฉัน และยื่นสาส์นฉบับหนึ่งจากกษัตริยิ์ฆ็อสสานให้ฉัน และโดยที่ฉันเป็นคนที่รู้หนังสือ ฉันจึงอ่านมัน ในนั้นมีใจความว่า: เราได้ทราบข่าวว่าเพื่อนของท่านกระทำกับท่านอย่างหยาบคาย อัลลอฮฺมิได้กำหนดให้ท่านต้องอยู่ในถิ่นที่ต่ำต้อยและคับแค้น จงไปอยู่กับเราเถิด เราจะให้ความช่วยเหลือท่าน ฉันพูดขึ้นขณะที่ฉันอ่านสาส์นนั้นว่า: นี้ก็เป็นการทดสอบอีกเช่นกัน ฉันได้นำสาส์นนั้นไปที่เตาไฟและเผามัน จนเวลาผ่านไปสี่สิบวันจากจำนวนห้าสิบวัน โดยที่วะหฺยูยังได้ได้ถูกประทานลงมา ได้มีผู้แทนของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص มาหาฉันและแจ้งว่า: ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص มีคำสั่งให้ท่านเลิกอยู่กับภรรยาของท่าน ฉันถามว่า: ฉันต้องหย่าภรรยาของฉันไหม? หรือจะให้ฉันทำประการใด? เขาตอบว่า: ไม่ต้องหย่า แต่ท่านต้องเลิกยุ่งกับภรรยาและอย่าเข้าใกล้ตัวนางเป็นเด็ดขาด และท่านเราะสูลุลลอฮฺได้ส่งผู้แทนไปแจ้งข่าวเดียวกันแก่เพื่อนทั้งสองของฉัน ฉันได้กล่าวแก่ภรรยาว่า: เธอจงไปอยู่กับครอบครัวของเธอเถิด เธอจงอยู่กับพวกเขาจนกว่าอัลลอฮฺจะทรงตัดสินในเรื่องนี้ ภรรยาของฮิลาล อิบนุ อุมัยยะฮฺ ได้ไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص แล้วกล่าวแก่ท่านว่า: โอ้เราะสูลุลลอฮฺ ฮิลาล อิบนุ อุมัยยะฮฺ เป็นคนชราที่ยากจน เขาไม่มีทาสรับใช้ ท่านจะรังเกียจไหมหากฉันจะรับใช้เขา? ท่านตอบว่า: ไม่หรอก, แต่อย่าให้เขาเข้าใกล้เธอ นางตอบว่า: ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า เขาเคลื่อนไหวทำอะไรไม่ได้แล้ว และขอสาบานต่ออัลลอฮฺอีกว่า เขายังคงร้องไห้ตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นจนถึงบัดนี้ ได้มีญาติบางคนของฉันบอกแก่ฉันว่า: ท่านควรเข้าไปขออนุญาตท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ในเรื่องภรรยาของท่านบ้าง เพราะท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ได้อนุญาตให้ภรรยาของฮิลาล อิบนุ อุมัยยะฮฺรับใช้เขา? ฉันตอบว่า: ฉันจะไม่ขออนุญาตท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ในเรื่องภรรยาของฉัน และฉันก็ไม่อาจรู้ได้ว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص จะพูดอย่างไรเมื่อฉันขออนุญาตท่านในเรื่องภรรยา เพราะฉันยังเป็นคนหนุ่มแน่น ฉันจึงอยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นระยะเวลา 10 วัน และพวกเราก็อยู่มาครบ 50 วันนับตั้งแต่ได้ห้ามพูดกับพวกเรา ต่อมาฉันได้ไปละหมาดศุบหฺในเช้าของวันที่ 50 บนดาดฟ้าบ้านหลังหนึ่งของเรา ในขณะที่ฉันนั่งอยู่ในอาการที่อัลลอฮฺตะอาลาได้กล่าวถึงพวกเราไว้ หัวใจของฉันรู้สึกตีบตัน และแผ่นดินที่กว้างขวางก็ดูแคบลง ฉันได้ยินคนที่ขึ้นไปบนภูเขาสัลอฺ ส่งเสียงตะโกนเต็มที่ว่า: กะอับ อิบนุ มาลิกเอ๋ย จงรับทราบข่าวดีเถิด ฉันได้ทรุดตัวลงสุญูดและรู้ว่าพ้นภัยแล้ว ต่อมาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ได้ประกาศให้ผู้คนทราบว่า อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้รับการเตาบะฮฺของพวกเราแล้ว และขณะท่านได้ละหมาดศุบหฺ และผู้คนได้พากันไปแจ้งข่าวดีให้พวกเราทราบ ได้มีกลุ่มผู้แจ้งข่าวดีไปหาเพื่อนทั้งสองคนของฉัน มีคนหนึ่งควบม้าเร็วมาหาฉัน และมีคนหนึ่งจากเผ่าอัสลัม พยายามมาหาฉัน เขาขึ้นไปบนภูเขา และปราฏว่าเสียงของเขาเร็วกว่าม้า เมื่อคนที่ฉันได้ยินเสียงแจ้งข่าวดีมาถึงฉัน ฉันได้ถอดเสื้อผ้าของฉันออกสวมให้เขาเป็นค่าตอบแทนการแจ้งข่าวดีของเขา ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ในยามนั้นฉันไม่มีสมบัติใดอื่นนอกจากเสื้อผ้าสองชิ้นนั้น ฉันได้ขอยืมเสื้อผ้ามาสวม และตั้งใจจะไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص ผู้คนได้เข้ามาแสดงความยินดีแก่ฉันที่อัลลอฮฺได้ทรงรับการเตาบะฮฺเป็นกลุ่มๆ พวกเขากล่าวแก่ฉันว่า ขอให้ท่านรับคำอวยพรเถิดว่าอัลลอฮฺรับการเตาบะฮฺของท่านแล้ว หลังจากนั้นฉันได้เข้าไปในมัสญิด พบว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ص กำลังนั่งอยู่โดยที่มีผู้คนห้อมล้อมรอบตัวท่าน ฏ็อลหะฮฺ อิบนุ อุบัยดุลลอฮฺ ت ได้ปรี่เข้ามาหาฉันสัมผัสมือและอวยพรให้ฉัน ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าไม่มีบรรดามุญาฮิรีนคนใดลุกขึ้นเลยนอกจากเขาเท่านั้น และกะอับไม่เคยลืมน้ำใจของฏ็อลหะฮฺเลย