
รักนบี g และเครื่องหมาย :
การปรารถนาที่จะเห็นและอยู่ร่วมกับท่าน
﴿ حب النبي g وعلاماته، العلامة الأولى : الحرص على رؤيته وصحبته ويكون فقدهما أشد من فقد أي شيء آخر في الدنيا﴾
ดร.ฟัฎลฺ อิลาฮีย์
แปลโดย : อุสมัน สามะ, ไฟซอล ตำภู
ผู้ตรวจทาน : ซุฟอัม อุษมาน
ที่มา : หนังสือรักนบีและสัญญาณ
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
การรักนบี g และเครื่องหมายบ่งชี้ถึงความรักดังกล่าว
ตอนที่สาม
เครื่องหมายแห่งการรักนบีผู้มีเกียรติ g
การรักนบีผู้มีเกียรติ g นั้นมีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายหลายประการด้วยกันซึ่งบรรดานักวิชาการมุสลิมได้ระบุไว้แล้ว ตัวอย่างเช่นที่ อัล-กอฎี อิยาฎฺ ได้กล่าวว่า “หนึ่งในเครื่องหมายแห่งการรักนบี คือ การสนับสนุนแนวทางของท่านพร้อมปกป้องศาสนา(ที่ท่านนบีได้นำมา) และปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมกับท่านเพื่อจะได้ทุ่มเททั้งชีพและทรัพย์สินเพื่อท่าน”[1]
อัล-หาฟิซ อิบนุ หะญัรได้กล่าวว่า “และหนึ่งในสัญลักษณ์ดังกล่าวก็คือ เมื่อเขาได้รับข้อเสนอ(สมมุติ)ให้เลือกระหว่างที่ต้องสูญเสียของบางสิ่งบางอย่างของตนกับการที่ต้องสูญเสียการได้พบเห็นท่านนบี g เขาจะมีความรู้สึกลำบากใจยิ่งที่จะต้องสูญเสียประการหลัง(การที่ไม่ได้พบท่านนบี)มากกว่าการสูญเสียของบางสิ่งบางอย่างของตนไป จึงนับได้ว่าเป็นผู้มีคุณลักษณะของผู้ที่รักนบีดังที่กล่าวข้างต้นจริง ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงไม่อาจนับว่าเป็นผู้หนึ่งที่รักนบีอย่างแท้จริงได้ และสิ่งเหล่านั้นใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับการที่มีความรู้สึกดังกล่าวหรือไม่เพียงอย่างเดียว แต่มันต้องมีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือแนวทางของท่าน(ยึดปฏิบัติสุนนะฮฺต่างๆ) พร้อมปกป้องศาสนา(ที่ท่านนบีได้นำมา) และต่อสู้พิทักษ์ปกป้องการทำลายของเหล่าศัตรู รวมไปถึงการสั่งใช้ในสิ่งที่เป็นคุณธรรม และห้ามปรามในสิ่งที่เป็นบาป”[2]
และท่านนักปราชญ์ อัล-อัยนียฺ ได้กล่าวว่า “พึงทราบเถิดว่า การรักศาสนทูต g คือ การมุ่งมั่นในการที่จะปฏิบัติตามท่านและละทิ้งการขัดต่อท่าน ซึ่งมันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในอิสลาม”[3]
เราจึงสามารถสรุปคำพูดของบรรดานักวิชาการที่ได้กล่าวไว้เกี่ยวกับสัญลักษณ์แห่งการรักนบีผู้มีเกียรติ g ได้ดังนี้
1. ปรารถนาที่จะพบเห็นท่าน และร่วมเป็นมิตรสหายกับท่าน ซึ่งมันมีค่ายิ่งกว่าการสูญเสียสิ่งอื่นใดบนโลกนี้
2. พร้อมที่จะอุทิศชีพและทรัพย์สินเพื่อท่านนบี g
3. น้อมรับและปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน พร้อมทั้งห่างไกลจากการสั่งห้ามของท่านนบี g
4. ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนแนวทาง(สุนนะฮฺ)ของท่าน พร้อมปกป้องบทบัญญัติต่างๆ ของศาสนาอิสลาม
ใครก็ตามที่มีสัญลักษณ์แห่งการรักนบี g ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ก็สมควรที่เขาต้องสรรเสริญพระองค์อัลลอฮฺ ที่ทำให้เขาได้มีความรักต่อท่านนบี(ผู้มีเกียรติและผู้เป็นที่รัก g) และขอให้ยืนหยัดอย่างนี้สืบไป
ส่วนผู้ใดที่ไม่มีเลยหรือพอมีบ้างเพียงบางส่วน ก็ต้องรีบพิจารณาสอบสวนตัวเอง ก่อนที่จะถูกสอบสวนในวันกิยามะฮฺซึ่งทรัพย์สมบัติและลูกหลานจะไม่อำนวยประโยชน์อะไรให้เขาได้เลย เว้นแต่ผู้มาหาอัลลอฮฺด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ผ่องใสเท่านั้น และไม่มีสิ่งเร้นลับใดๆ ที่ปกปิดสำหรับอัลลอฮฺ และอย่าพึงคิดหรือพยายามที่จะหลอกลวงอัลลอฮฺและบรรดาผู้ศรัทธาเป็นอันขาด!? แท้ที่จริงแล้ว ผู้ที่กระทำเช่นนั้น หารู้ไม่ว่าเขากำลังหลอกลวงตัวเองต่างหาก
﴿يُخَادِعُونَ اللهَ وَالَّذِينَ آمَنُوا وَمَا يَخْدَعُونَ إِلاَّ أَنفُسَهُمْ وَمَا يَشْعُرُونَ﴾ (البقرة : 9 )
ٰความว่า “พวกเขา พยายามที่จะหลอกลวงอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ศรัทธา แต่พวกเขาไม่ได้หลอกลวงใคร นอกจากพวกเขาเอง และพวกเขาหาได้ตระหนักไม่“ (อัล-บะเกาะเราะฮฺ 9)
และด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงสัญลักษณ์ต่างๆ เหล่านั้นโดยอธิบายผ่านตัวอย่างความรักของบรรดาเศาะหาบะฮฺ(สาวก)ของท่านที่มีต่อท่านนบี g พร้อมๆ กับเปรียบเทียบสภาพความเป็นจริงของเราในยุคปัจจุบัน เผื่ออัลลอฮฺจะได้ทรงปรับปรุงและชี้ทางนำแก่พวกเราด้วย ในการนี้ข้าพเจ้าจะแยกกล่าวถึงทุกๆ สัญลักษณ์ไว้เป็นบทๆ เป็นการเฉพาะ อินชาอัลลอฮฺ (ด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮฺ)
บทที่หนึ่ง
สัญลักษณ์ประการแรก
ปรารถนาที่จะพบเห็นท่านนบี g และร่วมเป็นมิตรสหายเคียงข้างท่าน ซึ่งการสูญเสียสองสิ่งดังกล่าวนั้นสำคัญยิ่งกว่าการสูญเสียสิ่งอื่นใดบนโลกนี้
เป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่าความปรารถนาอันสูงสุดระหว่างคู่รักกันคือการที่ได้พบเจอกันและได้อยู่ใกล้ชิดกัน เช่นเดียวกับผู้ที่รักท่านนบี g ย่อมมีความรู้สึกปรารถนาที่จะพบเห็นท่าน และร่วมเป็นมิตรสหายกับท่านบนโลกนี้และโลกหน้า รอคอยวันแห่งความสุขนั้นจะมาถึงอย่างใจจดใจจ่อเป็นที่สุด จนไม่อาจแลกด้วยความสุขทั้งหมดที่มีอยู่บนโลกนี้ได้เลย เขาจะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มองไปยังใบหน้าอันส่องประกายของท่านนบี g ปลื้มใจที่สุดหากได้ร่วมเดินทางเป็นมิตรสหายกับท่าน และเศร้าโศกเสียใจกลัวว่าจะถูกกีดกั้นจากการได้พบและเคียงข้างท่านจนจำต้องร้องไห้เมื่อเสียท่านไป
ลำดับต่อไปเป็นการนำเสนอตัวอย่างสำคัญๆ บางส่วนของบรรดาผู้ที่รักท่านนบี g เพื่อเป็นการยืนยันสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
1. การร้องไห้เพราะความดีใจเป็นที่สุดของท่านอบู บักรฺ อัศ-ศิดดีก เมื่อทราบว่าได้มีโอกาสเป็นสหายในการร่วมอพยพพร้อมๆ กับท่านนบี g ไปยังมะดีนะฮฺ
ได้มีรายงานโดยอิมาม อัล-บุคอรียฺ จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ซึ่งเป็นภรรยาท่านนบี g นางได้กล่าวว่า : วันหนึ่งระหว่างที่เรากำลังพักอยู่[4] ที่บ้านของท่านอบู บักรฺในช่วงเวลาเริ่มต้นของเที่ยงวัน จู่ๆ ก็ได้มีเสียงเรียกอบูบักรฺว่า นั่นท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺนี่ ท่านคลุมศรีษะปิดใบหน้ามาหาเรา ในช่วงเวลาผิดปกติ ซึ่งท่านนบี g ไม่เคยมาเยี่ยมในช่วงเวลานี้มาก่อนเลย ท่านอบูบักรฺ เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า ขออุทิศชีวิตบิดามารดาแก่ท่าน และขอสาบานด้วยอัลลอฮฺว่า ท่านนบีไม่ได้มาหาฉันในช่วงเวลานี้เว้นแต่ท่านย่อมมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน
ท่านหญิงอะอิชะฮฺได้กล่าวต่อไปว่า : เมื่อท่านนบี g ได้มาถึงแล้วก็ขออนุญาตเข้าบ้าน ท่านอบูบักรฺจึงได้เชื้อเชิญให้เข้า จากนั้นท่านนบี g ก็ได้สั่งอบูบักรฺว่า “จงให้ผู้ที่นั่งอยู่กับท่านออกไปก่อน” (เพื่อจะได้คุยกันเป็นส่วนตัว)
ท่านอบูบักรฺก็ได้ตอบท่านไปว่า: ใช่คนอื่นที่ไหนล่ะครับ พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นครอบครัวของท่าน โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ
ท่านนบี g จึงได้กล่าวว่า: “ฉันได้รับอนุญาตจากอัลลอฮฺให้ออกไปจากมักกะฮฺ(อพยพไปยังมะดีนะฮฺ)แล้ว”
ท่านอบูบักรฺกล่าวตอบว่า : ให้ฉันได้เป็นมิตรสหายร่วมเดินทางกับท่านเถิด [5] โอ้ ผู้เป็นที่รักยิ่งมากกว่าบิดาของฉัน ?
ท่านนบี g จึงกล่าวว่า : “ได้”[6]
แน่นอนว่า อบูบักรฺคงไม่ลืมว่า การเดินทางครั้งนี้ย่อมเต็มไปด้วยความเสี่ยงและอันตรายมากมาย แต่มันไม่สามารถส่งผลกระทบหรือหยุดยั้งความตั้งใจในการเป็นเพื่อนร่วมเดินทางกับท่านนบี g แม้แต่น้อย! ท่านอบูบักรฺได้ร้องไห้ด้วยความดีใจอย่างมีความสุขที่สุด ทันทีที่ได้รับอนุญาตจากท่านนบี g ให้ร่วมออกเดินทางฮิจญ์เราะฮฺไปมะดีนะฮฺด้วยกัน
อัล-หาฟิซ อิบนุ หะญัรฺ กล่าวว่า อิบนุ อิสหากได้ระบุเพิ่มในรายงานของท่านว่า ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้กล่าวว่า ฉันได้เห็นอบูบักรฺร้องไห้ ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนร้องไห้เนื่องจากความดีใจด้วย[7]
2. ความปิติยินดีของชาวอันศอรฺเมื่อท่านนบี g ได้อพยพมาหาพวกเขาถึงมะดีนะฮฺ
ครั้นเมื่อชาวอันศอรฺได้ทราบถึงการอพยบของท่านนบี g มายังเมืองมะดีนะฮฺของพวกเขา ก็รู้สึกปิติยินดียิ่งในการต้อนรับท่าน
ในตำราที่รายงานวจนะและชีวประวัติของท่านนบี g ได้มีบันทึกและถ่ายทอดความรู้สึกของพวกเขาไว้มากมาย ตัวอย่างเช่น
มีรายงานโดยท่านอิมามอัล-บุคอรียฺ จากท่านอุรวะฮฺ บิน ซุเบรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เกี่ยวกับการรอคอยของชาวอันศอรฺที่เขต อัล-หัรเราะฮฺ นอกเมืองมะดีนะฮฺ ซึ่งในรายงานของท่านได้ระบุไว้ว่า “และเมื่อบรรดาผู้ศรัทธาที่มะดีนะฮฺได้ทราบถึงการอพยพของท่านนบี g ออกจากเมืองมักกะฮฺ พวกเขาจึงออกไปรอคอยอยู่ที่เขต อัล-หัรเราะฮฺ ตั้งแต่เช้าจนแสงแดดร้อนระอุจึงค่อยแยกย้ายกลับไปยังบ้านเรือนของตน – พวกเขาทำอย่างนี้ทุกๆ วัน – อยู่มาวันหนึ่ง พวกเขาได้รอคอยนานกว่าปกติแล้วจึงแยกย้ายกลับบ้าน จู่ๆ ได้มีชาวยิวคนหนึ่งได้ปีนขึ้นบนที่สูงเพื่อหาดูอะไรบางอย่างที่ตนต้องการ ทันใดนั้นก็ได้มองเห็นท่านนบี g พร้อมสหายของท่านใส้เสื้อผ้าขาวเด่นชัดมาแต่ไกล ท่ามกลางละอองความร้อนของทะเลทราย เขาจึงกลั้นไม่อยู่ที่จะร้องเสียงดังว่า : โอ้ชาวอาหรับ นั่นคือเจ้านายของพวกท่าน ที่พวกท่านรอคอย (เขาได้มาถึงแล้ว) !
ชาวมุสลิมทั้งหลายก็ตื่นเต้นรีบวิ่งไปหาและต้อนรับท่านนบีถึงท่ามกลางทุ่งหัรเราะฮฺ แล้วท่านนบี g ก็ได้เดินทางเบี่ยงขวาเข้าสู่เมืองมะดีนะฮฺ และหยุดพำนักที่เผ่าของ อัมรฺ บิน เอาฟฺ [8]
อัลลอฮุอักบัร! ความปรารถนาของพวกเขาที่จะเจอท่านนบี g นั้นยิ่งใหญ่มาก ถึงขนาดที่ ได้อดทนนั่งรอคอยท่านนบี g อันเป็นที่รักของพวกเขาในทุกๆ เช้าที่ทุ่งหัรเราะฮฺจนแสงแดดร้อนระอุแล้วจึงได้แยกย้ายกลับบ้าน
ในรายงานของท่านอิบนุ สะอัด ได้กล่าวว่า “เมื่อความร้อนของแสงแดดได้แผดเผา พวกเขาก็จะแยกย้ายกันกลับบ้าน”[9]
และในรายงานของ อัล-หากิม กล่าวว่า “พวกเขาจะรอคอยท่านนบี g จนพวกเขารู้สึกระคายเคืองจากความร้อนระอุของแสงแดด”[10]
ท่านอิมาม อัล-บุคอรียฺ -ได้กล่าวเพิ่มเติมอีก- เกี่ยวกับการต้อนรับท่านนบี g ของชาวอันศอรฺที่มะดีนะฮฺ โดยรายงานจากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า: เมื่อท่านนบีได้มาถึงและหยุดพักที่บริเวณข้างๆ เขต อัล-หัรเราะฮฺ ก็ได้แจ้งข่าวแก่ชาวอันศอรฺ พวกเขาจึงเข้าไปต้อนรับท่านนบี g และอบู บักรฺด้วยการกล่าวสลาม และได้บอกแก่ทั้งสองคนว่า “ท่านทั้งสองเชิญเข้ามาอย่างปลอดภัยและด้วยการรับใช้ของพวกเราแก่ท่านเถิด” ท่านนบี g และอบูบักรฺได้ขี่พาหนะเข้ามะดีนะฮฺโดยการห้อมล้อมภายใต้การอารักขาของชาวอันศอรฺพร้อมๆ กับเสียงประกาศดังไปทั่วว่า : “ท่านนบีของอัลลอฮฺได้มาถึงแล้ว ท่านนบีของอัลลอฮฺได้มาถึงแล้ว !” ผู้คนก็ได้แห่มาพบท่าน พร้อมกล่าวซ้ำๆ กันว่า“ท่านนบีของอัลลอฮฺได้มาถึงแล้ว” ท่านนบีก็ได้เดินผ่านหมู่บ้านมาเรื่อยๆ จนในที่สุดได้มาหยุดที่บ้านของท่านอบู อัยยูบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ [11]
ท่านอิมามอะหฺมัดได้รายงานจากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า “จำนวนชาวอันศอรฺที่ได้ออกมาประชิดและต้อนรับท่านนบี g กับอบูบักรฺมีจำนวนประมาณห้าร้อยคนด้วยกัน พวกเขาได้กล่าวแสดงความยินดีด้วยคำว่า “ท่านทั้งสองเชิญผ่านเข้ามาอย่างปลอดภัยและด้วยการรับใช้เชื่อฟังของพวกเราเถิด”[12]
และท่านอิมามอะหฺมัดได้นำเสนอภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้โดยผ่านการบอกเล่าของอบูบักรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า “เมื่อท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺได้เดินทางออกไปพร้อมๆ กับฉัน จนมาถึงเมืองมะดีนะฮฺแล้วนั้น ผู้คน(ชาวมะดีนะฮฺ)ก็เห่ออกมาดูกันเต็มท้องถนนและบนหลังคาบ้าน ด้วยเสียงร้องอย่างกระหึ่มกึกก้องของเด็กๆ และบรรดาทาสว่า อัลลอฮุอักบัรฺ! ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ g ได้มาถึงแล้ว ท่านนบีมุหัมมัด g ได้มาถึงแล้ว ...!! และพวกเขาก็แย่งกันระหว่างพวกเขาว่า จะให้ท่าน นบี g พักอยู่ที่บ้านใคร”[13]
ท่านอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เปิดใจเกี่ยวกับวันอันประเสริฐนั้นว่า : ฉันไม่เคยเห็นวันไหนเลยที่มีราศีประกายและประเสริฐยิ่งไปกว่าวันที่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ g และอบูบักรฺได้เดินทางเข้ามายังนครมะดีนะฮฺ[14]
และท่านอัล-บัรรออ์ บิน อาซิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ก็ได้เล่าบอกถึงความรู้สึกปลื้มใจของชาวมะดีนะฮฺต่อการมาถึงของท่านนบี g ผู้เป็นที่รักของพวกเขาไว้ว่า “และฉันไม่เคยเห็นชาวมะดีนะฮฺดีใจเป็นที่สุดกับสิ่งอื่นใด มากไปกว่าการที่พวกเขาดีใจกับการมาถึงของท่านนบี g”[15]
3. ชาวอันศอรฺเกรงกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้เคียงข้างกับท่านนบี g ผู้เป็นที่รักของพวกเขา
เมื่อพระองค์อัลลอฮฺได้มอบเกียรติแด่ชาวอันศอรฺด้วยการให้พวกเขาเป็นมิตรสหายและได้อาศัยอยู่กับท่านนบี g ผู้เป็นที่รักของพวกเขา ซึ่งต่างก็แย่งกันที่จะได้ใกล้ชิดกับท่านนบี g เพราะเกรงกลัวว่าจะสูญเสียความโปรดปรานและเกียรติอันยิ่งใหญ่ดังกล่าวไป
ดังเช่นมีรายงานในบันทึกของอิมามมุสลิมจากท่านอบี ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า : “เมื่อท่านนบี g ได้เข้าพิชิตมักกะฮฺ(สงครามเปิดมักกะฮฺปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 8)นั้น ท่านได้มอบให้ท่านอัซ-ซุเบรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ให้คุมทัพปีกหนึ่ง และได้มอบให้ท่านคอลิด g ได้คุมอีกปีกหนึ่ง และได้คำสั่งให้อบู อุบัยดะฮฺนำทหารศึก(ที่มีไม่มีโล่ป้องกันตัว)มารวมตัวกันเดินโดยใช้เส้นทางกึ่งกลางหุบเขา ท่านนบี g ได้เหลือบหันมามองเห็นฉัน (อบู ฮุร็อยเราฮฺ) แล้วเรียกขานฉันว่า : อบู ฮุร็อยเราะฮฺ !
อบู ฮุร็อยเราะฮฺตอบว่า : ครับ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ !!
ท่านนบี g : “ห้ามให้ใครเข้ามาพบฉันเด็ดขาด เว้นแต่เฉพาะชาวอันศอรฺเท่านั้น” ท่านกล่าวต่อไปอีกว่า “จนกว่าพวกท่านจะได้มาพบฉันที่ภูเขา อัศ-เศาะฟา”
อบู ฮุร็อยเราะฮฺ รายงานต่อไปว่า : เราได้เดินไปเรื่อยๆ (ด้วยความฮึกเหิมและเป็นที่เกรงขาม กระทั่งว่า)ใครที่จะสังหารผู้ใดก็สามารถทำได้เลยโดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะเผชิญหน้ากับทัพของเราเลยแม้แต่คนเดียว จนกระทั่ง อบู ซุฟยานได้มาถึงแล้วกล่าวร้องเรียนแก่ท่านนบี g ว่า : “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ! ชาวกุร็อยชฺถูกล้างเผ่าพันธุ์จนสิ้นแล้ว ! หลังจากนี้จะไม่มีคำว่ากุร็อยชฺอีกต่อไปแล้ว !”
ท่านนบี g จึงก็ได้กล่าวไปว่า : “ใครก็ตามแต่ที่เข้าไปหลบในบ้านของกุร็อยชฺก็จะได้รับความคุ้มครองและความปลอดภัย”
ได้ยินดังนั้น ชาวอันศอรฺจึงได้กล่าวว่า : ชายผู้นี้(ท่านนบี g ) ได้กลับบ้านเกิดอย่างสมใจแล้ว และได้เกิดความเอ็นดูแก่ญาติพี่น้องของตนเสียแล้ว
อบู ฮุร็อยเราฮฺ ได้เล่าว่า : และแล้วก็มีวะหฺยูมายังท่านนบี g หลังจากนั้น ท่านนบี g ก็ได้เรียกชาวอันศอรฺว่า “ชาวอันศอรฺทั้งหลายเอ๋ย !”
บรรดาชาวอันศอรฺได้กล่าวว่า : โอ้ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ !! พวกเราพร้อมน้อมรับคำสั่งของท่านเสมอ
ท่านนบี g :”พวกท่านได้กล่าวว่า ‘ชายผู้นั้น(ท่านนบี g ) ก็ได้กลับบ้านเกิดอย่างสมใจแล้ว’ ใช่หรือไม่ ?”
ชาวอันศอรฺตอบว่า : ใช่ครับท่าน เป็นไปอย่างนั้นจริง !
ท่านนบี g : “ไม่จริงเลย ! แท้จริงฉันเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของพระองค์อัลลอฮฺ ฉันได้อพยพไปยังพระองค์อัลลอฮฺและยังพวกท่านแล้ว ชีวิตฉันจะตายหรือจะเป็นก็เคียงข้างพวกท่านเสมอตลอดไป”
ชาวอันศอรฺจึงได้กรูเข้าหาท่านนบี g ด้วยน้ำตาที่ไหลริน ร้องไห้ด้วยความเสียใจที่สุดพร้อมกับกล่าวว่า “พวกเราไม่ได้พูดอย่างนั้นเว้นแต่เพราะความรักยิ่งในพระองค์อัลลอฮฺและต่อท่านนบีเท่านั้นเอง(คือพวกเขาหวั่นเกรงว่าท่านนบี g จะเปลี่ยนไปรักชาวมักกะฮฺแทนพวกเขา)”
ท่านนบี g : “แท้จริง พระองค์อัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ได้เชื่อในคำพูดของพวกท่าน และยอมรับเหตุผลอันเป็นข้ออ้างของพวกท่านแล้ว”[16]
ท่านอิมาม อัน-นะวะวียฺ ได้กล่าวอธิบายหะดีษฺบทนี้ว่า “เมื่อชาวอันศอรฺได้สังเกตเห็นความอ่อนโยนเอ็นดูของท่านนบี g ที่มีต่อชาวมักกะฮฺ คือท่านมิได้สังหารพวกเขา(ทั้งๆ ที่อยู่ในสภาวะสงคราม) ชาวอันศอรฺก็เข้าใจว่าท่านบี g คงกลับมาถึงบ้านเกิด(เมืองมักกะฮฺ)ของท่าน และพักพิงที่นั่นเป็นการถาวร คงละทิ้งพวกเขาและเมืองมะดีนะฮฺเสียแล้ว ทำให้ชาวอันศอรฺเกิดลำบากใจอย่างมาก! พระองค์อัลลอฮฺก็ประทานวะหฺยูลงมายังท่านนบี g เพื่อแจ้งข้อเท็จจริงแก่ชาวอันศอรฺ ท่านนบีg ก็ได้กล่าวว่า แท้จริง ฉันได้อพยพสู่อัลลอฮฺและสู่บ้านเมืองของพวกท่าน เพื่อจะอาศัยอยู่ที่นั่น ดังนั้นฉันจะไม่จากมันไป และฉันจะไม่ยกเลิกการอพยพของฉันที่เกิดขึ้นเพื่ออัลลอฮฺ ทว่าฉันจะอยู่กับพวกท่านตลอดไป อยู่ก็อยู่พร้อมกับพวกท่าน ตายก็ตายพร้อมกับพวกท่าน”
เมื่อท่านได้พูดดังกล่าว ชาวอันศอรฺต่างก็ร่ำไห้และขอโทษด้วยความเสียใจ และได้กล่าวแก่ท่านว่า ขอสาบานด้วยอัลลอฮฺ พวกเราไม่ได้พูดเช่นนั้นขึ้นมา เว้นแต่เพราะว่าเราปรารถนาแรงกล้าที่จะอยู่กับท่านและใกล้ชิดท่านตลอดไปพร้อมกับพวกเรา เพื่อเราจะได้ประโยชน์จากท่าน และได้รับความสิริมงคลของท่าน และให้ท่านได้ชี้ทางเราสู่ทางที่เที่ยงตรง เช่นที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ว่า
﴿وَإِنَّكَ لَتَهْدِي إِلَى صِرَاطٍ مُّسْتَقِيمٍ﴾ (الشورى : 52)
ความว่า “แท้จริง เจ้า(มุหัมมัด)ย่อมชี้ทางสู่เส้นทางอันเที่ยงธรรม” (อัช-ชูรอ 52)
และนี่ก็คือความหมายของพวกเขาที่ได้พูดไปว่า “เราไม่ได้พูดสิ่งที่กล่าวออกไป เว้นแต่เพราะกลัวว่าท่านจะจากเราไป และจะให้คนอื่นมาแทนที่พวกเรา”
เหตุที่พวกเขาร้องไห้ก็เพราะว่าดีใจกับสิ่งที่ท่านนบี g ได้พูดกับพวกเขา และละอายในสิ่งที่พวกเขากลัวว่าท่านจะได้รับฟังเรื่องที่น่าอายจากพวกเขา[17]
4. เศาะหาบะฮฺกลัวว่าจะไม่สามารถพบเห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในสวนสวรรค์
มีเศาะหาบะฮฺท่านอื่นอีกที่รักท่านนบี g อย่างสัจจริงที่ได้นึกถึงการเสียชีวิตของเขาและการเสียชีวิตของท่านนบี g ผู้เป็นที่รักและมีเกียรติของเขา ซึ่งเขากลัวว่าจะไม่สามารถเห็นใบหน้าอันมีเกียรติของท่านนบี g ในสวนสวรรค์ ถึงแม้ว่าเขาจะได้เข้าสวนสวรรค์เหมือนกันก็ตาม อันเนื่องจากความสูงส่งแห่งฐานะของท่านนบี g เพราะท่านนบีย่อมจะอยู่ร่วมกับบรรดานบีทั้งหลาย(ในชั้นอันสูงส่งของสวรรค์)
อิมาม อัฏ-เฏาะบะรีย์ ได้รายงานเรื่องราวเศาะหาบะฮฺท่านนี้ให้กับเราผ่านคำพูดของอาอิชะฮฺ บินติ อัศ-ศิดดีก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า “มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี g แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮฺ แท้จริงท่านเป็นที่รักยิ่งของฉันยิ่งกว่าชีวิตของฉันและบุตรของฉันเสียอีก แท้จริง ฉันอยู่ที่บ้านนึกถึงท่านจนอดทนไม่ไหว ก็เลยมาหาท่านเพื่อมองหน้าท่าน และเมื่อฉันนึกถึงการเสียชีวิตของฉันและการเสียชีวิตของท่าน ฉันรู้ว่าเมื่อท่านเข้าสวนสวรรค์ท่านจะถูกยกฐานะพร้อมกับบรรดานบี และฉันเมื่อเข้าสวนสววค์ฉันกลัวว่าจะไม่ได้พบเห็นท่านอีก” ท่านนบี g ไม่ตอบใดๆ จนกระทั่งญิบรีล อะลัยฮิสสลาม นำโองการ (วะหฺยู) ลงมาว่า
﴿وَمَن يُطِعِ اللّهَ وَالرَّسُولَ فَأُوْلَـئِكَ مَعَ الَّذِينَ أَنْعَمَ اللهُ عَلَيْهِم مِّنَ النَّبِيِّينَ وَالصِّدِّيقِينَ وَالشُّهَدَاء وَالصَّالِحِينَ وَحَسُنَ أُولَـئِكَ رَفِيقاً﴾ (النساء : 69)
ความว่า “และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺและเราะซูลแล้ว ชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบี บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี(ศิดดีกีน) บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดียิ่งแล้ว”[18]
5. เราะบีอะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ขอเพื่อให้ได้เป็นมิตรสหายกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในสวนสวรรค์
ผู้รักท่านนบี g อย่างสัจจริงอีกท่านได้มีโอกาสให้ขอจากท่านนบี g ท่านผู้นี้คือ เราะบีอะฮฺ บิน กะอับ อัล-อัสละมีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ แล้วอะไรเล่าคือ คำขอของเขา ?
อิมามมุสลิมมีรายงานเรื่องราวของเขาให้กับเราผ่านคำพูดของเขาเอง เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ครั้งหนึ่งฉันได้ค้างคืนกับท่านนบี g แล้วฉันก็ช่วยท่านเตรียมน้ำเพื่ออาบน้ำละหมาดและสิ่งจำเป็นอื่นๆ แก่ท่าน ท่านนบี g ก็บอกกับฉันว่า “จงขอสิ (เจ้าอยากได้อะไร?)” ฉันก็กล่าวว่า ฉันขอจากท่านเพื่อให้ได้เป็นมิตรสหายกับท่านในสวนสวรรค์ ท่านนบี g ถามอีกว่า “มีสิ่งอื่นอีกไหม?” ฉันตอบว่า เท่านั้นแหล่ะคือสิ่งที่ฉันอยากได้ ท่านนบี g ก็กล่าวว่า “ท่านเช่นนั้น เจ้าจงสนับสนุนฉันให้สามารถช่วยเหลือท่านได้ ด้วยการที่ท่านต้องสุญูดต่ออัลลอฮฺให้เยอะ”[19]
เช่นนี้แหล่ะ คือคนที่รักท่านนบี g อย่างสัจจริง เมื่อมีโอกาสให้ขอก็ไม่ลังเลใจในการเลือกขอที่จะเป็นมิตรสหายกับท่านนบี g ทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ อีกทั้ง ไม่มีสิ่งอื่นในความคิดของเขาที่จะทดแทนการเป็นมิตรสหายกับท่านนบี g ได้อีกด้วย
6. ชาวอันศอรฺเลือกเอาท่านเราะซูลุลลอฮฺ g แทนแพะ แกะ และอูฐ
เรื่องนี้มิได้เจาะจงเฉพาะเราะบีอะฮฺ บิน กะอับ อัล-อัสละมีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เพียงคนเดียวเท่านั้นในการเลือกเอาท่านเราะสซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แต่มันเป็นเช่นนี้กับบรรดาผู้รักท่านนบี g อย่างสัจจริง ซึ่งในสงครามหุนัยนฺชาวอันศอรฺถูกให้เลือกระหว่างการเป็นมิตรสหายกับท่านนบี g กับการเลือกเอาแพะ แกะและอูฐ พวกเขาก็พอใจยินยอมให้ผู้คนนำเอาทรัพย์สินของโลกดุนยากลับสู่บ้านเรือนของพวกเขา และพวกเขา(ชาวอันศอร)ได้เลือกเอาท่านนบี g กลับสู่ภูมิลำเนาของพวกตน
มีหนังสือสุนนะฮฺและประวัติศาตร์มากมายที่เล่าเรื่องนี้อย่างละเอียด ดังที่อิมามอัล-บุคอรีย์ ได้รายงานจากอับดุลลอฮฺ บิน ซัยดฺ บิน อาศิม เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า เมื่อครั้งที่อัลลอฮฺให้ชัยชนะและทรัพย์สินที่ได้จากการทำสงครามแก่ท่านนบี g ในสงครามหุนัยนฺ ท่านก็แบ่งทรัพย์สินเหล่านั้นให้กับบรรดาผู้ที่เข้ารับอิสลามใหม่ๆ และไม่ได้แบ่งให้กับชาวอันศอรฺแต่อย่างใด ทำให้พวกเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่พวกเขาไม่ได้รับในสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายต่างได้รับแบ่งกัน แล้วท่านนบี g ก็กล่าวปาฐกถาให้กับพวกเขาโดยกล่าวว่า “โอ้บรรดาชาวอันศอรฺ ฉันเคยเห็นพวกท่านอยู่ในความหลงผิด แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงให้ทางนำแก่พวกท่านโดยผ่านฉัน มิใช่ดอกหรือ? พวกท่านเคยแตกแยกกัน แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทรงสร้างความเป็นพี่น้องระหว่างพวกท่านโดยผ่านฉัน มิใช่ดอกหรือ? และพวกท่านเคยตกทุกข์ได้ยาก แล้วอัลลอฮฺก็ทรงประทานให้กับพวกท่านซึ่งความมั่งมีสุขสบายอันมากมายโดยผ่านฉัน มิใช่ดอกหรือ?” ซึ่งทุกๆ ครั้งที่ท่านนบี g กล่าวประโยคหนึ่ง พวกเขาจะกล่าวตอบว่า “อัลลอฮฺและเราะซูลของพระองค์เป็นผู้มีเมตตากรุณายิ่งแล้ว”[20] ท่านนบี g กล่าวต่อไปว่า “หากพวกท่านประสงค์แน่นอนพวกท่านอาจจะกล่าวว่า ท่าน(หมายถึงนบี)มายังพวกเราในสภาพอย่างนั้นอย่างนี้”[21] “พวกท่านยังไม่พอใจอีกหรือ ที่ผู้คนได้เลือกเอาแพะ แกะ และอูฐ หรือทรัพสินอื่นๆ กลับบ้านไป แล้วพวกเจ้าได้เลือกเอานบี g กลับสู่ภูมิลำเนาของพวกท่าน ? หากว่าไม่มีการอพยพเกิดขึ้น แน่นอนฉันจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ร่วมกับชาวอันศอรฺ และหากผู้คนเดินทางไปทางหนึ่ง แน่นอนฉันจะเดินไปตามทางชาวอันศอรฺ ชาวอันศอรฺเปรียบเสมือนเครื่องแต่งกายชั้นในแต่บุคคลอื่นเหมือนเครื่องแต่งกายชั้นนอก (หมายถึง ชาวอันศอรฺมีความใกล้ชิดกับท่านนบี g มากกว่า) และแท้จริง หลังจากฉันเสียชีวิตไปแล้ว พวกเจ้าจะได้พบเจอการเห็นแก่พวกพ้องในสิ่งที่เป็นของสาธารณะ ดังนั้น พวกเจ้าจงอดทนให้ดี จนกว่าพวกเจ้าจะได้พบฉันที่สระน้ำ(ในวันกิยามะฮฺ)”[22]
และในหะดีษฺของอบู สะอีด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านนบี g กล่าวเพิ่มอีกว่า “โอ้พระองค์อัลลอฮฺ ทรงได้โปรดประทานความเมตตาแก่ชาวอันศอรฺและลูกหลานของพวกเขาด้วยเถิด” จากนั้น พวกเขาต่างก็ร้องไห้น้ำตาไหลจนกระทั่งเคราเปียกปอน และกล่าวว่า พวกเราพอใจกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ g เป็นส่วนแบ่งของพวกเราแล้ว[23]
อิมาม อิบนุล ก็อยยิม กล่าวว่า เมื่อครั้งที่เราะสูลุลลอฮฺ g ได้อธิบายถึงเหตุผลที่แฝงอยู่ในการที่ท่านได้ทำกับพวกเขา(ชาวอันศอรฺ)เช่นนั้น พวกเขาก็หันกลับด้วยความยอมจำนน และเห็นว่าทรัพย์สินที่ได้จากการทำสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ การที่ท่านนบี g ได้กลับไปอยู่ร่วมกับพวกเขา ทำให้พวกเขาหลงลืมแพะแกะ อูฐ และเชลยศึกที่เป็นผู้หญิงและเด็ก เนื่องจากพวกเขาได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ และได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านนบี g ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่และหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้วด้วย[24]
7. อุมัรฺ อัล-ฟารูก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ มีความปราถนาให้ฝังศพของท่านใกล้กับท่านนบี g
เรายังเห็นผู้รักท่านนบี g อย่างสัจจริงอีกท่าน เขาผู้นั้นคือ อุมัรฺ บิน อัล-ค็อฏฏอบ ขณะที่ท่านต้องจากโลกดุนยาที่ไม่ยั่งยืนไปสู่โลกอาคิเราะฮฺอันนิรันดร ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับท่านก็คืออยากให้ฝังศพท่านใกล้กับท่านนบีผู้เป็นที่รักอันมีเกียรติ g