บทความ

อิสลามสอนให้ก่อการร้ายจริงหรือ


      หากมีเหตุการณ์คร่าชีวิตที่บริสุทธิ์ใดๆ เกิดขึ้นสักเหตุการณ์หนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวโทรทัศน์ หรือสื่อต่างๆ และผู้ก่อเหตุมิใช่มุสลิม มักถูกเรียกขานกันว่า อาชญากรรม แต่หากผู้ก่อเหตุเป็นมุสลิม สื่อต่างๆโดยส่วนใหญ่ กลับให้ชื่อว่าเป็นการ ก่อการร้าย !


    ก่อการร้าย เป็นคำแปลมาจากภาษาอังกฤษคำว่า (Terrorist / เทอโรริสต์)  ถูกนำมาใช้โดยผู้ที่ต้องการโจมตี, ต่อต้าน, สร้างความหวาดกลัวต่ออิสลาม อันเป็นศาสนาแห่งความสงบ สันติ บรรดาผู้ที่กล่าวหาว่าอิสลามนั้น เป็นศาสนาที่สอนให้ก่อการร้าย มักจะใช้สื่อต่างๆทั่วโลก นำเสนอด้านลบของบุคคลและโยงไปสู่ศาสนา สร้างโฆษณาชวนเชื่อ สร้างความหวาดกลัว รังเกียจอิสลาม ทั้งที่จริงแล้ว บุคคลหนึ่งนั้น ก็คือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา บางคนยังขาดการศึกษาอิสลามจากรากฐานที่ถูกต้อง มีโอกาสจะเข้าใจคำสอนในศาสนาของตัวเองอย่างผิดๆ ก้าวเข้าสู่ความชั่วร้ายในจิตใจของตน บวกกับการตามกิเลส อารมณ์ใฝ่ต่ำ  และกระทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาอันแท้จริง จึงไม่มีความเป็นธรรม การที่คนๆหนึ่งได้มาตัดสินอิสลามด้วยกับการกระทำผิดของมุสลิมบางคน


  แล้วคำสอนของอิสลาม ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ คืออะไร ? 


อิสลามได้ห้ามก่อการร้ายอย่างชัดเจน ห้ามละเมิดผู้อื่น ห้ามก่อความเสื่อมเสียและความวุ่นวายบนผืนแผ่นดิน อัลลอฮ์ได้ตรัสซึ่งมีความหมายว่า  “และพวกเจ้าอย่าฆ่าชีวิตที่อัลลอฮ์ทรงห้ามไว้ เว้นแต่ด้วยความเที่ยงธรรม(เป็นคดีความอาชญากรรม) และผู้ใดถูกฆ่าอย่างอยุติธรรม ดังนั้น เราได้ให้อำนาจแก่ผู้ปกครองของเขา ฉะนั้น อย่าได้ล่วงเกินขอบเขตในเรื่องการฆ่า แท้จริงเขา (ผู้ถูกอธรรม) จะได้รับความช่วยเหลือ”


 (อัลกุรอ่าน บท อัลอิสรออ์ 33)


และอัลลอฮ์ได้ตรัสว่า “และผู้ใดที่กระทำเช่นนั้นโดยเจตนาละเมิดและข่มเหงแล้ว เราก็จะให้เขาเข้าไฟนรกและนั่นเป็นสิ่งที่ง่ายดายสำหรับอัลลอฮ์” (อัลกุรอ่าน บท อันนิซาอ์ 30)


"และพวกเจ้าอย่าก่อความเสียหายในผืนแผ่นดิน หลังจากได้มีการปรับปรุงแก้ไขมันแล้ว และจงวิงวอนขอต่อพระองค์ด้วยความยำเกรง และความปรารถนาอันแรงกล้า แท้จริงความเอ็นดูเมตตาของอัลลอฮ์นั้นอยู่ใกล้แก่ผู้กระทำดีทั้งหลาย"


                                                              (อัลกุรอ่าน บท อัลอะร็อฟ 56 )


ท่านนบีมูฮัมหมัดได้กล่าวว่า   “ผู้ใด ฆ่าผู้ที่ได้ทำสัญญา(คือผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม ที่อาศัยอยู่ในประเทศมุสลิมอย่างถูกกฎหมาย) เขาจะไม่ได้กลิ่นไอของสวรรค์” 


                                                             (รายงานโดย อัลบุคอรีย์ 3166 ) 


นั่นจึงหมายถึง ผู้ศรัทธามุสลิม ไม่มีสิทธิ์ใดๆที่จะคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ ส่วนผู้ใดที่ฝ่าฝืน เขาจะไม่ได้รับแม้กลิ่นไอของสวรรค์


หากแต่ว่าอิสลามนั้นมีแต่คำสอนให้ปฏิบัติดีต่อเพื่อนมนุษย์ ด้วยมารยาทที่ดี ด้วยความยุติธรรม และมอบความรัก ความปลอดภัย การอภัยซึ่งกันและกัน ดังที่ได้ปรากฏในหลักฐานอย่างมากมาย เช่น พระองค์อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า 


" และพวกเจ้าจงพูดจาแก่เพื่อนมนุษย์อย่างดีงาม.." 


                                                     (อัลกุรอ่าน บท อัลบะกอเราะห์ 83)


" ความดีและความชั่วนั้น หาเท่าเทียมกันไม่ เจ้าจงตอบโต้(ความชั่ว)ด้วยสิ่งที่ดีกว่า แล้วเมื่อนั้นผู้ที่อยู่ระหว่างเขาเคยเป็นศัตรู ก็จะกลับกลายเป็นเยี่ยงมิตรที่สนิทกัน" 


                                                                  ( อัลกุรอ่าน บท ฟุศศิลัต 34)


"อัลลอฮ์มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้มีความยุติธรรม"      (อัลกุรอ่าน บท อัลมุมตะฮินะห์ 8)


ท่านนบีมูฮัมหมัด – ขออัลลอฮ์ทรงอำนวยพรและความศานติแด่ท่าน- ได้สั่งว่า 


" ผู้ใดที่ได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลกแล้วก็จงทำความดีแก่เพื่อนบ้านของเขา" 


(รายงานโดย มุสลิม 309) 


“ท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด, จงทำดีหลังความชั่วเพื่อลบล้างมัน และจงปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยมารยาทที่ดีงาม” (รายงานโดย อัตติรมิซีย์ 1987 )


“จงอย่าก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น และจงอย่าก่อความเดือดร้อนซึ่งกันและกัน” (รายงานโดย อิบนุมาญะห์ 2340) และยังมีหลักฐานอื่นๆอีกมากมายที่สั่งให้ทำดีและช่วยเหลือต่อผู้อื่น 


        อิสลามเป็นศาสนาที่นำมาซึ่งความสงบสุข ความมีระเบียบวินัย ด้วยกับหลักความเชื่อในอิสลาม เป็นหลักความเชื่อแห่งความสันติ ด้วยกับนามชื่อของอัลลอฮ์ ที่พระองค์มีชื่อหนึ่งคือ "อัส-สลาม" คือผู้ทรงสันติ และพระองค์คือผู้ให้ความสันติ และจากคุณลักษณะของพระองค์คือผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ พระองค์ได้สั่งให้ปวงบ่าวมีความเมตตาซึ่งกันและกัน พระองค์ทรงเมตตาต่อปวงบ่าวของพระองค์มากกว่าพ่อแม่ของพวกเขา และมากกว่าพวกเขาต่อตัวของพวกเขาเอง


" และพวกเจ้าจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ" (อัลกุรอ่าน บท อันนิซาอ์ 29)


      ส่วนมุสลิมคือผู้ที่มีคำพูดและการกระทำของเขาปลอดภัยต่อผู้อื่น เวลาเจอกันพวกเขาก็จะเริ่มทักทายด้วยการกล่าวสลาม หรือ "อัสสลามูอาลัยกุม" ซึ่งมีความหมายว่า "ขอความสันติจงมีแด่ทุกท่าน" บ่งบอกถึงความรักและความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับความสันติสุข


       อิสลามได้จัดระเบียบให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ด้วยกับความรู้ การอบรมสั่งสอน การเรียนการศึกษา การตักเตือนที่ดีงาม เชิญชวนไปสู่ความดีด้วยวิธีการใช้ปัญญา นิ่มนวล และไม่ประจานผู้กระทำความผิดโดยปราศจากความรู้ให้เขาเกิดความอับอาย ในอัลกุรอ่าน บท อัลนะห์ลู โองการที่ 125 ซี่งมีความหมายว่า


"จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของเจ้าโดยสุขุมและการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยวิธีที่ดีที่สุด แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงผู้ที่หลงจากทางของพระองค์ และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาของผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง"


       อิสลามนั้นยังมีคำสอนที่ดีงามอีกมายมาย มีแบบอย่างการปฏิบัติด้วยมารยาทอันงดงาม ความรัก ความเมตตา การให้อภัยต่อกัน ซึ่งเห็นได้จากตัวอย่างในชีวิตของท่านนบีมูฮัมหมัด  อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า "และจงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด และอย่าให้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสอง และต่อผู้เป็นญาติที่ใกล้ชิด และเด็กกำพร้าและผู้ขัดสน และเพื่อนบ้านใกล้เคียง และเพื่อนที่ห่างไกล และเพื่อนเคียงข้าง และผู้เดินทาง และผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง(ทาส,คนรับใช้)  แท้จริงอัลลอฮฺ ทรงไม่ชอบผู้ยะโส ผู้โอ้อวด”  (อัลกุรอ่าน บท อันนิซาอ์ 36)


คำสอนเหล่านี้หรือ ! ที่จะสร้างให้มุสลิมเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นเพราะตัวบุคคลเองที่เข้าใจผิด เกิดความยะโสโอหัง ก้าวล่วงเข้าสู่จิตใจที่ชั่วร้ายของตนเอง ละเมิดขอบเขตของพระผู้เป็นเจ้า หรือผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในศาสนา ก่อความเดือดร้อนและความเสื่อมเสียต่อศาสนาอิสลาม ใช่หรือไม่ว่า อาชญากรที่ก่อสงคราม รุกรานดินแดนผู้อื่น คร่าชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเกิดจากฝีมือของผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมนั้นมีถมไป เช่น สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 , การล่าอาณานิคมของพวกจักวรรดินิยม เป็นต้น 


    ดังนั้นแล้ว ศาสนาอิสลามจึงไม่มีคำสอนให้ก่อความเดือดร้อนต่อเพื่อนมนุษย์ แต่กลับเต็มไปด้วยคำสั่งให้ปฏิบัติดีต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ส่วนใครที่กระทำสวนทางกับคำสอนของอัลลอฮ์ พระองค์คือผู้ทรงตัดสินอย่างยุติธรรม เหนือบรรดาผู้ตัดสินทั้งมวล พระองค์จะตอบแทนคนเหล่านั้นด้วยบทลงโทษอันหนักหน่วง  มือ เท้า และอวัยวะทุกส่วนของเขาจักเป็นพยานมัดตัวต่อการกระทำของเขาในภพหน้า อย่างไม่มีข้อแก้ตัวหรือเลี่ยงบาลีอันใดพ้น อัลลอฮ์ได้ตรัสใน   กุรอ่านซึ่งมีความว่า 


“ส่วนที่จะถูกตำหนิ(หรือโดนลงโทษ)นั้นได้แก่บรรดาผู้ที่อธรรมต่อมนุษย์ และก่อความเสียหายให้เกิดขึ้นในแผ่นดินโดยปราศจากความเป็นธรรม ชนเหล่านี้พวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด” 


                                                                          (อัลกุรอ่าน บท อัชชูรอ 42)



กระทู้ล่าสุด

ความแข็งกระด้างของหัว ...

ความแข็งกระด้างของหัวใจ

ข้อคดิ จากสูเราะฮอฺ ั ...

ข้อคดิ จากสูเราะฮอฺ ัล-หิจญ์รฺ อายะฮทฺ ี่ ๔๕

ห้ามเยาะเย้ยดูถูกผู้อ ...

ห้ามเยาะเย้ยดูถูกผู้อื่น

ความวุ่นวายและการทดสอ ...

ความวุ่นวายและการทดสอบ แห่งโลกดุนยา