บทความ

เกียรติของสตรีในอิสลาม


          พี่น้องผู้อ่านที่รัก โดยข้อเท็จจริงแล้วอิสลามเป็นศาสนาที่ให้เกียรติและยกย่องสถานะของสุภาพสตรีอย่างมาก  แตกต่างจากลัทธิหรือกลุ่มต่างๆในอดีตที่กดขี่ข่มเหงสุภาพสตรี ทำลายความเป็นมนุษย์และศักดิ์ศรีของนาง แปรสถานะของนางให้เป็นทาสของเพศชาย บังคับสุภาพสตรีให้แต่งงานกับผู้ชายที่พวกนางไม่ชอบ 


       บางกลุ่มได้หลอกลวงสุภาพสตรี โดยทำให้พวกนางตกเป็นเครื่องหมายการค้าเพื่อตอบสนองกิเลสของผู้ชายอย่างเดียว  บางกลุ่มห้ามสิทธิของสตรีในเรื่องของการศึกษาและห้ามมิให้นางเหล่านั้นประกอบอาชีพและไม่มีบทบาทในสังคมใดๆ และบางลัทธิมีความเชื่อว่าเพศหญิงนั้นมีความชั่ว กาลกิณี นำมาซึ่งเคราะห์ร้ายนานา


       บางกลุ่มให้ผู้ชายนั้นมีสิทธิที่จะกระทำต่อภรรยาและลูกสาวของตนอย่างไรก็ได้ จะขายหรือลงโทษพวกนางอย่างไรก็ได้ตามความต้องการของผู้ชาย เพราะนางเปรียบเสมือนทาสรับใช้ให้แก่พวกเขา และพวกนางเหล่านั้นจะไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกแต่อย่างใด


       บางลัทธิกำหนดให้ผู้หญิงที่มีประจำเดือนปลีกตัวออกห่างจากสามี โดยให้นางอยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง และห้ามไม่ให้เข้าใกล้ชิดต่อผู้ใดเลย และบางความเชื่อหากสามีได้เสียชีวิตจากนางไป พวกเขาก็จะให้ผู้เป็นภรรยาของผู้ตายนั้นสวมเสื้อผ้าอันสวยงามแล้วพวกเขาก็เผานางทั้งเป็นไปพร้อมๆกับสามีของนางด้วย เพื่อเป็นการเเสดงความภักดีต่อสามีของนาง


       บางสังคมสตรีจะตามผู้ชายตลอด รับใช้ผู้ชายเรื่อยมาราวกับว่าเธอถูกกีดกันสิทธิของเธอด้านการเงิน การเป็นอยู่ในสังคม  พ่อของเธอจะเป็นผู้เลือกสามีให้เธอโดยอาศัยคนกลางที่มาติดต่อเท่านั้น


       บางสังคมในอดีตกาลนั้น สตรีมีสิทธิ์เพียงแค่เชื่อฟังภักดีต่อสามีและถูกลิดรอนโดยที่เธอไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธหรือฟ้องร้องแต่อย่างใด  และบ้างก็ใช้ผู้หญิงขายบริการทางเพศ บำเรอความสนุกเท่านั้น และเอาผู้หญิงรับใช้มาเพื่อดูแลในเรื่องสุขภาพ และนำพวกนางมาเป็นภรรยาเพื่อต้องการให้พวกนางคลอดลูกชายให้พวกเขาเท่านั้น


       ส่วนในค่านิยมอาหรับ ก่อนหน้าการมาของอิสลาม พวกเขาได้เหยียดหยามสตรีเป็นอย่างมาก พวกเขา จะเกิดความอับอายหากรู้ว่าภรรยาให้กำเนิดบุตรสาว โดยมีความเชื่อว่าผู้หญิงจะนำมาซึ่งความอับโชค และไม่สามารถช่วยเหลือในการทำมาหากินได้  และสตรีในยุคนั้นก็ไม่มีสิทธิใดๆเลยทางสังคม มากไปกว่านั้นพวกเขามักจะฝังลูกสาวทั้งเป็นโดยไร้ซึ่งความเมตตา  


       แม้กระทั่งยุคปัจจุบันการข่มเหงและการทำลายเกียรติของสตรีก็มีให้เห็นอยู่อย่างมากมายในสังคมต่างๆ เช่น ขบวนการค้าผู้หญิงข้ามชาติ หรือใช้ข้อบังคับทางกฎหมาย เพื่อบังคับ ขืนใจให้พวกเธอนั้นจำยอมปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ แสดงตนต่อสาธารณะ เพียงเพื่อแลกกับอามิสสินจ้าง หรือขู่เข็ญ หักหลังสตรีด้วยการประจานรูปโป๊เปลือยพวกเธอลงบนสังคมอินเตอร์เน็ต


       ทว่าในอิสลามนั้นได้ยกเกียรติสุภาพสตรีอย่างสูงส่ง ยกย่องสถานะของนางอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งได้กำหนดผลตอบแทนให้แก่ผู้ที่ให้เกียรติต่อสตรีอย่างมากมายอีกด้วย 


        ท่านนบีมูฮัมหมัด(ขอพระองค์ทรงประทานความสันติแด่ท่าน) ได้กล่าวว่า : “พวกท่านทั้งหลายจงให้คำสั่งเสีย(ให้ดูแล)แก่สุภาพสตรีด้วยดี ” (บันทึกโดย อัลบุคอรี 3331)





อิสลามกำกับพวกนางให้อยู่ในการปกป้องของสามี เติมเต็มเพิ่มความสุขให้ซึ่งกันและกัน พระองค์ได้ตรัสว่า 


" وَمِنْ آيَاتِهِ أَنْ خَلَقَ لَكُم مِّنْ أَنفُسِكُمْ أَزْوَاجًا لِّتَسْكُنُوا إِلَيْهَا وَجَعَلَ بَيْنَكُم مَّوَدَّةً وَرَحْمَةً  إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَآيَاتٍ لِّقَوْمٍ يَتَفَكَّرُونَ "


ความว่า “ และหนึ่งจากสัญญาณทั้งหลายของพระองค์คือ การที่พระองค์ได้ทรงสร้างคู่ครองให้แก่พวกเจ้าจากตัวของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีความสุขอยู่กับนาง และทรงให้มีความรักใคร่และความเมตตาระหว่างพวกเจ้า แท้จริงในการนี้ แน่นอน ย่อมเป็นสัญญาณแก่หมู่ชนผู้ใคร่ครวญ” (อัลกุรอ่าน บท อัรรูม 21)





       ในอิสลามได้ยกเกียรติและให้สิทธิสุภาพสตรีอย่างมากมาย เช่น มีสิทธิได้รับมรดก จากสามีหรือลูก หรือจากพ่อแม่ของนาง และให้นางมีสิทธิในการครอบครองสมบัติของนาง  อีกทั้งได้สั่งให้ผู้ที่เป็นสามีต้องเลี้ยงดูนางอย่างดี(ไม่ทิ้งขว้าง ละเลย) ให้ความคุ้มครอง ที่อยู่อาศัย เเละให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกนางอย่างพอเพียง


โดยที่พระองค์ได้ตรัสว่า


"وَعَاشِرُوهُنَّ بِالْمَعْرُوفِ فَإِن كَرِهْتُمُوهُنَّ فَعَسَىٰ أَن تَكْرَهُوا شَيْئًا وَيَجْعَلَ اللَّهُ فِيهِ خَيْرًا كَثِيرًا "


ความว่า “และพวกเจ้าจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันอัลลอฮฺก็ทรงให้มีในสิ่งนั้น ซึ่งความดีอันมากมาย” (อัลกุรอ่าน บท อันนิสาอ์ 19)


       อิสลามยังให้เกียรติต่อสุภาพสตรีด้วยการให้สามีเป็นผู้ดูเเล เลี้ยงดูนางในเรื่องปัจจัยยังชีพทั้งหมด ถึงเเม้ว่านางจะเป็นผู้ที่มั่งมี เเละไม่อนุญาตให้สามีเอาเงินของนางโดยพละการ นอกจากนางจะอนุญาต  อีกทั้งสถานะความมีเกียรติและศักดิ์ศรีของสตรีก็มากกว่าผู้ชาย ถ้าหากว่าเธอนั้นเป็นสตรีผู้ศรัทธาที่มีความเกรงกลัวต่อพระผู้เป็นเจ้าในระดับขั้นที่เหนือกว่าผู้ชาย  อัลลอฮ์ได้ตรัสในอัลกุรอ่านว่า


”โอ้มนุษยชาติทั้งหลายเอ๋ย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูล เพื่อจะให้พวกเจ้าได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ์นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน” 


                                                                       (อัลกุรอ่าน บท อัลฮุญุร็อต 13 )


       ในอิสลามยังอนุญาตให้สตรีมีโอกาสทำงาน ประกอบอาชีพ หารายได้ที่ถูกต้องตามหลักการ และเก็บออมทรัพย์ด้วยตัวของพวกนางเอง  พระองค์ได้ตรัสว่า 


 “สำหรับผู้ชายนั้นมีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกเขาได้ขวนขวายไว้ และสำหรับหญิงนั้นก็มีส่วนได้รับจากสิ่งที่พวกนางได้ขวนขวายไว้ และพวกเจ้าจงขอต่ออัลลอฮ์เถิด จากความกรุณาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่าง”


                                                                (อัลกุรอ่าน บท อันนิซาอ์  : 32 )


     ในเรื่องของการปฏิบัติศาสนกิจ สำหรับสตรีมุสลิมนั้น พวกเธอได้รับการยกเว้นที่จะต้องมาละหมาดที่มัสยิดเป็นความสะดวกแก่พวกนาง อีกทั้งพวกนางได้รับการยกเว้นการละหมาดในช่วงที่มีประจำเดือน และหากมีปัญหากันระหว่างสามีภรรยา หลักอิสลามยังห้ามมิให้สามีทำการหย่าเธอในระยะเวลาดังกล่าว (ขณะมีประจำเดือน) เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ช่วงเวลาที่สตรีมีประจำเดือนเป็นช่วงที่ภาวะอารมณ์นั้น แปรปรวน และร่างกายอ่อนแอ คำสั่งใช้ของอิสลามจึงเข้ามาปกป้องจิตใจของสตรีในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นการให้ความสำคัญต่อสตรีเพศอีกประการหนึ่ง และในอิสลามไม่ส่งเสริมให้มีการหย่าร้างกันหากปราศจากสาเหตุที่จำเป็น


       อิสลามนั้นยังเอาใจใส่ต่อสตรีในเรื่องชีวิตคู่ ภรรยาสามารถให้ความเห็นหรือคำปรึกษา แนะนำกับสามีได้ ครั้งหนึ่งท่านนบีมูฮัมหมัด เคยรับเอาความเห็นจากภรรยาของท่านที่ชื่อว่า อุมมี สะละมะห์ ในสถานการณ์ที่คับขัน โดยเลือกเอาความคิดเห็นของนาง


และอิสลามยังมีบัญญัติเพื่อปกป้องเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของสตรี หากผู้ใดใครก็ตาม ใส่ร้าย ให้ความเท็จโดยไร้หลักฐานว่านางผิดประเวณี เขาผู้นั้นจะต้องถูกเฆี่ยน 80 ครั้ง และไม่รับการเป็นพยานใดๆจากเขาผู้นั้นอีกต่อไป  และหากพวกเธอนั้นไม่สามารถอดทนต่อสามีในข้อบกพร่องของเขา หรือไม่ชอบใจ ไม่พึงใจในตัวเขา หรือตัวสามีเองปฏิเสธที่จะหย่านาง หรือไม่ยอมปล่อยนางไป ภรรยาก็สามารถฟ้องหย่าสามี หรือซื้อหย่าจากสามีได้


       ประการต่อมา อิสลามนั้นกำชับต่อบรรดาสามี ให้ปฏิบัติดีต่อภรรยา ให้ความยุติธรรมและความอบอุ่นในการสร้างสังคมครอบครัว ท่านนบีมูฮัมหมัดได้กล่าวว่า 


"ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน คือผู้ที่ดีที่สุดกับครอบครัวของเขา  และฉันก็คือผู้ที่ดีที่สุดกับครอบครัวของฉัน " (รายงานโดย อัตติรมิซีย์  3895 )


      ในอิสลามยังปกป้อง และรักษาเกียรติของนาง แม้กระทั่งเมื่อนางเสียชีวิต ก็มีคำสั่งห้ามเพศชายอาบน้ำศพของนาง ยกเว้นสามีของนางหรือสตรีด้วยกันเองเท่านั้น


     อิสลามมอบเกียรติยศ และให้ความสำคัญแด่ผู้เป็นแม่ ด้วยการสั่งใช้ให้ลูกๆปฏิบัติดี กระทำดีต่อแม่ โดยที่ท่านนบีมูฮัมหมัด ได้เน้นย้ำให้กระทำดีต่อแม่มากกว่าพ่อถึง 3 เท่า เพราะแม่นั้นคือวีรสตรีของครอบครัว แม้ว่าแม่ของเขานั้นจะเป็นผู้ศรัทธาหรือไม่ก็ตาม  และอัลลอฮ์ยังได้คาดโทษที่หนักที่สุด(บาปใหญ่) รองจากการสักการะสิ่งอื่นเทียบเคียงพระองค์   นั่นคือบาปของการเนรคุณ อกตัญญูต่อพ่อแม่ 


และอิสลามสั่งใช้และกำชับให้ทำความดีต่อสตรีในฐานะที่เธอเป็นลูกสาว ด้วยการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และปกป้องพวกเธอตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยครรลองของศาสนาอิสลาม อันจะนำมาซึ่งผลลัพธ์อันดีงามเมื่อพวกเธอเติบใหญ่   และเมื่อพ่อแม่ได้อำลาจากโลกนี้ไป ท่านนบีมูฮัมหมัดได้กล่าวว่า


      “ผู้ใดที่ถูกทดสอบด้วยลูกผู้หญิงเหล่านี้ แล้วเขาก็ได้ทำดีต่อพวกนาง พวกนางจะเป็นเกราะกำบังให้แก่เขาจากไฟนรก”  (รายงานโดย มุสลิม 2629)


อิสลามได้ให้หลักประกัน ในเรื่องค่าใช้จ่ายของสุภาพสตรี แม้นว่านางนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่  จะมีผู้ที่รับผิดชอบดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆในการเลี้ยงดู โดยให้หลักประกันความเป็นอยู่ที่มีเกียรติ ซึ่งนางจะไม่ตกอยู่ในความยากลำบาก ที่ทำให้เธอต้องยื่นมือออกมาขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น จนกระทั่งทำให้เกียรติของนางตกต่ำ 


ถ้าหากว่านางยังเป็นเด็ก หน้าที่ผู้ดูแลคือผู้เป็นบิดา 


 และถ้าหากว่านางได้แต่งงานแล้ว หน้าที่ผู้ดูแลคือสามี โดยจำเป็นต้องดูแลค่าใช้จ่ายให้แก่นาง และหากนางเป็นหญิงหม้าย อิสลามก็ได้ส่งเสริมให้สังคมมีการช่วยเหลือพวกนางเหล่านั้น ด้วยกับผลบุญอันยิ่งใหญ่


ท่านนบีมูฮัมหมัดได้กล่าวว่า "ผู้ที่ช่วยเหลือเลี้ยงดูหญิงหม้ายและผู้ยากไร้ เสมือนกับผู้ที่ได้ทำการต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ หรือเหมือนกับผู้ที่ได้ยืนละหมาดในเวลากลางคืนและถือศีลอดในเวลากลางวัน" (รายงานโดย อัลบุคอรี 5353 และมุสลิม 2982 )


      แท้จริงอิสลามได้ยกระดับสถานะของสตรี ปกป้องศักดิ์ศรี และรักษาไว้ซึ่งสิทธิต่างๆของนางด้วยบทบัญญัติที่สมบูรณ์แบบ โดยทั้งสามีและภรรยาต่างก็รู้สิทธิและหน้าที่ของตน ซึ่งจะทำให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อัลลอฮ์ได้ตรัสในคัมภีร์อัลกุรอ่าน ซึ่งมีความว่า : "ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตามโดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขาที่ดียิ่งกว่า จากที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้" (อัลกุรอ่าน บท อันนะห์ล : 97)





      เหล่านี้คือการที่อิสลามได้มอบความสำคัญให้กับสตรี มอบสิทธิและความคุ้มครอง ปกป้องพวกนางตั้งแต่แบเบาะ จวบจนกระทั่งนางนั้นสิ้นลมหายใจ  ฉะนั้นแล้ว ความเข้าใจผิดว่าสตรีมุสลิมนั้นถูกกดขี่ ลิดรอนสิทธิ์เพราะคำสอนของศาสนา จึงเป็นคำกล่าวที่ห่างไกลจากความจริงเป็นอย่างมาก.



กระทู้ล่าสุด

ข้อความจากนักเทศน์มุส ...

ข้อความจากนักเทศน์มุสลิมถึงคริสเตียน

อานิสงส์ของการถือศีลอ ...

อานิสงส์ของการถือศีลอดหกวันชาวาล

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่ ...

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่านั้น

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี ...

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี่ยวกับการก่อการร้าย