ใครคือศาสนทูตของพวกเรา
เป็นที่ยอมรับกันโดยดุษณีในธรรมชาติอยู่แล้วว่า พ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดลูกหลานตัวน้อยๆ จะต้องคอยชี้นำ อบรมสั่งสอน เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตด้วยตนเองได้เมื่อเติบใหญ่ บรรดาสัตว์ต่างๆก็เช่นเดียวกัน ที่จะคอยชี้แนะแหล่งอาหาร สอนลูกน้อยให้หัดกระพือปีกบิน ชี้แนะวิธีการสร้างที่อยู่อาศัย และสอนให้รู้จักการหลบภัยต่างๆ
อัลลอฮ์ – มหาบริสุทธิ์และความสูงส่งยิ่งแด่พระองค์- ผู้ทรงสร้างชีวิตและทรงรอบรู้ทุกสิ่งที่พระองค์สร้าง มิได้ปล่อยปละมนุษย์ให้อยู่อย่างไร้แก่นสาร ไร้ศีลธรรม ไร้จุดหมายใดๆในชีวิตก็หาไม่ หากปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพังโดยไร้ทางนำ พวกเขาต่างคนต่างก็จะใช้ความคิดของตัวเองนำพาชีวิตไปอย่างไร้ทิศทาง เราจะเห็นว่าปัจจุบันนี้ผู้คนที่ไม่มีหลักใดๆยึด ต่างก็แสดงความคิดของตัวเองว่าดี ซ้ำยังตีกรอบให้กับผู้อื่น
ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่…
สภาพของมนุษยชาติก่อนแสงแห่งรุ่งอรุณ
ภายหลังการจากไปของ อีซา แห่งนาซาเร็ธ (เยซู - อีซา บุตรมัรยัม) ผู้เรียกร้องมนุษยชาติสู่การสักการะพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเกรียงไกรเพียงหนึ่งเดียว ภายใต้อาณาจักรโรมันและอาณาจักรเปอร์เซียที่เป็นปรปักษ์ต่อกัน มนุษยชาติก็เข้าสู่ยุคแห่งความมืดมนอีกครั้ง (Dark Edge) คำสอนและทางนำแห่งแสงสว่างเลือนรางลงทุกขณะ ความรู้แห่งสัจธรรมได้หดหาย ความป่าเถื่อน งมงาย ความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกัน เข้าครอบคลุมสังคม มนุษย์นั้นพร้อมจะเนรคุณ บิดพริ้วในสัญญาที่ให้ไว้ต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อแลกกับผลประโยชน์ในอำนาจ ทรัพย์สินและเกียรติยศของตนเอง พวกเขาปั้น, สลักหินเพื่อสักการะเทพเจ้า เพื่อแข่งขัน แสดงความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าของตน และข่มขวัญอาณาจักรอื่นๆ
แม้กระทั่งดินแดนคาบสมุทรอาระเบีย ซึ่งไม่มีอาณาจักรใด ให้ความสนใจที่จะยึดครองความแห้งแล้ง และร้อนระอุของทะเลทราย ก็ได้รับอิทธิพล ค่านิยมของการสักการะเทพเจ้าหลายองค์ ทั้งนี้เพื่อดึงดูดผู้คนจากพื้นที่ต่างๆให้เดินทางมาจาริกแสวงบุญ ค้าขาย สร้างความมั่งคั่งให้กับเผ่าอาหรับต่างๆที่ดูแลรักษาเมืองเมกกะ(มักกะฮ์)แห่งนี้
สภาพของชาวอาหรับในยุคนั้นก็ไม่แพ้ประชาชาติใดๆในเรื่องของความเขลา ความป่าเถื่อนและความงมงาย พวกเขากราบไหว้ก้อนหินและท่อนไม้ วิงวอนขอจากสิ่งที่ไม่สามารถให้คุณและให้โทษ ยึดเอาพวกมารร้ายมาเป็นมิตร เป็นผู้ให้ความคุ้มครอง และคิดว่าตนเป็นผู้ที่เลิศล้ำที่สุด ชิงดีชิงเด่น เข่นฆ่าซึ่งกันและกัน ฆ่าลูกตัวเองอันเนื่องจากกลัวความจน ไม่มีระเบียบทางสังคม กินเลือดและดื่มสุรายาเมา กินสิ่งสกปรก และทำสิ่งลามก เป็นยุคแห่งความมืดมน ร่องรอยแห่งสัจธรรมแทบจะหาไม่ได้ เสมือนกับว่าพวกเขาต่างรอคอยศาสนทูตท่านสุดท้ายที่มาจะฟื้นฟู แก้ปัญหา พัฒนา และมาบอกทางนำแก่พวกเขา
การเติบโตของท่าน
ท่านนบีมูฮัมหมัดเป็นกำพร้าที่เสียบิดา(อับดุลลอฮ์) ไปตั้งแต่ท่านกำลังอยู่ในครรภ์ของมารดา(อามีนะฮ์) เมื่ออายุได้ 6 ขวบ ท่านก็กำพร้ามารดาไปอีกคน ท่านจึงอยู่ในการอุปการะของผู้เป็นปู่ และลุงของท่าน
ท่านนบีมูฮัมหมัด เติบโตขึ้นท่ามกลางสิ่งแวดล้อมของทะเลทรายนอกเมืองมักกะฮ์ ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงห่างไกลจากความโกลาหล วุ่นวายของตัวเมือง ท่านเป็นคนโอบอ้อมอารี เป็นคนถือคำสัตย์สัญญา รักษาคำพูด ด้วยกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของท่านตั้งแต่เด็กๆท่านไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวและแตะต้องกับสิ่งงมงายแต่อย่างใด ท่านมีความเฉลียวฉลาดและมีความซื่อสัตย์ ครั้นเติบใหญ่เข้าวัยฉกรรจ์ท่านช่วยเลี้ยงแกะให้แก่ลุงในทะเลทรายชานเมืองมักกะฮ์
ท่านได้แต่งงานกับ ท่านหญิงคอดียะห์ เศรษฐีนีหม้ายแห่งเมืองมักกะฮ์ นางเป็นสุภาพสตรีที่มีความฉลาดมากที่สุด ผู้เคยจ้างวานท่านให้ควบคุมดูแลกองคาราวานค้าขายของนางไปยังเมืองต่างๆ และท่านก็ทำกำไรให้นางอย่างงดงาม ด้วยเหตุที่ท่านมีชื่อเลื่องลือในความซื่อสัตย์ กระทั่งผู้คนได้ตั้งฉายาให้ท่านว่า “อัลอะมีน” หมายถึง ผู้ที่ซื่อสัตย์
พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงแต่งตั่งท่านให้รับหน้าที่ประกาศศาสนาอิสลาม เรียกร้องผู้คนให้สักการะภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว ขณะที่ท่านอายุ 40 ปี โดยผ่านเทวทูตแห่งชั้นฟ้า(ญิบรีล – กราเบรียล)ให้รับบัญชาจากอัลลอฮ์ ในการมอบหน้าที่ความเป็น –นบี- (ผู้เชิญชวนไปสู่พระเจ้าองค์เดียว ผู้ประกาศสัจธรรม ผู้ตักเตือน) ให้กับท่านนบีมูฮัมหมัด และความเป็น –รอซูล(ศาสนทูต) คนสุดท้าย- ผู้นำสาส์นสัจธรรม บทบัญญัติ คำดำรัส และวจนะของอัลลอฮ์ สู่มวลมนุษยชาติ
พระองค์อัลลอฮ์ได้ส่งท่านไปเผยแพร่ในกลุ่มชนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความงมงายและโง่เขลา, ในสังคมที่เต็มไปด้วยกับการกราบไหว้ต่อวัตถุ ผู้คนต่างเลื่อมใสต่อคำพูดของพวกหมอดู, ในบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยการนองเลือด มีการตัดญาติขาดมิตร แต่ท่านก็มีการอดทนในการเรียกร้องไปสู่สัจธรรม เรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว และเชิญชวนไปสู่คุณธรรมอันดีงาม
พระองค์ทรงยกเกียรติท่านให้สูงส่ง ให้ชื่อของท่านมีการกล่าวขานกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ให้ปาฏิหาริย์ได้เกิดกับท่านอย่างโดดเด่น ท่านถูกส่งมาพร้อมกับคัมภีร์และโองการที่ชัดเจน พระองค์ได้ทรงช่วยเหลือท่านจากศัตรู และท่านคือคนแรกที่จะได้รับการฟื้นคืนชีพ ท่านคือศาสนทูตคนสุดท้าย และจะเป็นผู้ที่มีคนติดตามมากที่สุด, เป็นคนแรกที่จะได้เข้าสวรรค์, เป็นผู้ที่มีความหมั่นเพียรในการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์มากที่สุด
มารยาทของท่านที่มีต่ออัลลอฮ์
ท่านนบีมูฮัมหมัดเป็นผู้ที่มีความรัก มีความเคารพและให้เกียรติต่ออัลลอฮ์มากที่สุด ท่านไม่มีนิสัยหยิ่งยโส ไม่เคยอ้างในสิ่งที่ท่านไม่ได้มีอำนาจใดๆ และท่านไม่ได้ครอบครองในสิ่งที่เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ผู้เป็นเจ้า อัลลอฮ์ ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอ่าน ซึ่งมีความหมายว่า “จงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด) ว่าฉันไม่มีอำนาจที่จะครอบครองประโยชน์ใดๆ และโทษใดๆ ไว้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ตัวของฉันเองได้ นอกจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เท่านั้น และหากฉันเป็นผู้ที่รู้สิ่งเร้นลับแล้ว แน่นอนฉันก็ย่อมกอบโกยสิ่งที่ดีไว้ มากมายแล้ว และความชั่วร้ายก็ย่อมไม่ประสบกับฉันได้ ฉันมิใช่ใครอื่น นอกจากผู้ตักเตือนและผู้ประกาศข่าวดีแก่กลุ่มชนที่ศรัทธาเท่านั้น”
(อัลกุรอ่าน บท อัลอะร็อฟ 188 )
และเมื่อครั้งที่ชายคนหนึ่งได้กล่าวกับท่านนบีว่า "สิ่งที่อัลลอฮ์และท่านได้ประสงค์แล้ว (มันก็จะเกิดขึ้น)!” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “นี่ท่านจะทำให้ฉันนั้นเสมอเทียบเท่ากับอัลลอฮฺกระนั้นหรือ? ท่านต้องกล่าวว่า : สิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น”
(รายงานโดย อะห์หมัด 1839)
เเละอัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวเเก่ท่านนบี ในอัลกุรอ่านว่า “จงกล่าว(แก่พวกเขา)เถิด(มูฮัมหมัด) ว่าแท้จริงฉันไม่มีอำนาจที่จะให้โทษและให้คุณแก่พวกท่านได้“ (อัลกุรอ่าน บท อัลญิน 21)
ความนอบน้อมถ่อมตนของท่าน
ท่านนบีมูฮัมหมัด (ขออัลลอฮ์ทรงอำนวยพรและความศานติแด่ท่าน) เป็นผู้ที่มีความนอบน้อมถ่อมตนมากที่สุดในบรรดาผู้ศรัทธา เป็นผู้ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มเสมอ ชอบอยู่ร่วม และรับประทานอาหารกับผู้ที่ยากจนขัดสน เอ็นดูและเมตตาต่อพวกเขา ชอบช่วยเหลืองานในครอบครัว ซ่อมรองเท้าด้วยตนเอง อยู่แบบสมถะ ร่วมยกก้อนอิฐพร้อมกับบรรดาสาวกของท่านในการก่อสร้างมัสยิด ไม่เคยตำหนิและด่าทอต่อคนรับใช้ ท่านอนัส ได้กล่าวว่า “ฉันเคยรับใช้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ เป็นเวลาเก้าปี ท่านไม่เคยกล่าวตำหนิต่อฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว” (รายงานโดยมุสลิม 2309)
ท่านจะให้เกียรติผู้อาวุโส และมีความเมตตาต่อเด็ก หากท่านเดินผ่านเด็กๆท่านมักจะเริ่มกล่าวทักทายแก่พวกเขาด้วยการกล่าวสลาม(ความสันติ) ให้แก่พวกเขา มีความเมตตาอาทรต่อครอบครัว เป็นผู้ที่มีมารยาทอันสูงส่ง มีความนอบน้อมถ่อมตนอย่างมาก ท่านไม่ชอบที่ใครจะยกยอท่านจนเกินควร มีครั้งหนึ่งท่านได้กล่าวว่า "พวกท่านทั้งหลายจงอย่าได้ยกเกียรติฉันอย่างเลยเถิด เสมือนกับที่พวกนะซอรอได้ยกเกียรติต่อท่านนบีอีซา(เยซู)บุตรของมัรยัม เพราะแท้จริง ฉันเป็นเพียงบ่าวของอัลลอฮ์ และเป็นศาสนทูตของพระองค์ "
(รายงานโดย อัลบุคอรี 3445)
ท่านนบีเป็นผู้ที่มีความใจบุญสุนทานยิ่งกว่าใครๆ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีความเผื่อแผ่เมตตาอย่างกว้างขวาง ไม่เคยปฏิเสธต่อผู้ที่มาขอ หากท่านมีท่านจะให้ และไม่เคยขับไล่ผู้ใดแม้แต่ผู้เดียว
ท่านเป็นผู้ที่มีความสมถะ ไม่เคยหลงใหลต่อโลกนี้ เป็นผู้ที่หมั่นทำความดีเพื่อเป็นเสบียงสู่โลกหน้าอันถาวร ท่านเคยกล่าวว่า “อุปมาของฉันกับโลกนี้นั้นไม่ได้เปรียบเสมือนสิ่งใดนอกจาก จะเหมือนกับผู้ที่เดินทางที่ได้มาแวะพักผ่อนใต้ร่มไม้เพียงชั่วครู่ แล้วก็ต้องจากมันและต้องทิ้งมันไป” (รายงานโดยอัตติรมีซีย์ 2377 )
ท่านเป็นผู้ที่อดทนต่อลิขิตของอัลลอฮ์ หลายคืนที่ท่านไม่มีอาหารค่ำรับประทาน ท่านและครอบครัวต้องนอนทนกับความหิวโหย ในบางครั้งก็ต้องทนกับความหิวที่ไม่มีอันจะกิน เศษอินทผาลัมแห้งเพื่อจะมารองท้องก็ยังหาไม่ได้ และบางครั้งท่านออกนอกบ้านเพื่อหาอาหารพร้อมกับเอาก้อนหินมารัดไว้ที่หน้าท้องเพื่อบรรเทาอาการปวด บางครั้งบรรดาสาวกของท่านจะรู้ถึงสีหน้า และเสียงของท่านที่เปลี่ยนไปอันเนื่องมาจากความเจ็บปวดที่มาจากความหิวโหย บางครั้งท่านไม่มีอาหารใดๆนอกจากน้ำดื่มเท่านั้น ด้วยกับความหิวและความลำบากเช่นนี้ที่อัลลอฮ์ได้ลิขิตสำหรับท่าน ท่านจึงมีความรักและมีความเมตตาต่อคนยากจนขัดสนมากที่สุด
ความยำเกรงต่ออัลลอฮ์และความอดทนของท่านนบี
ท่านเป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์มากที่สุด ครั้งหนึ่งท่านเห็นเมล็ดอินทผาลัมตั้งอยู่บนถนน แต่ท่านไม่กล้าที่จะรับประทานมัน ท่านกล่าวว่า "หากฉันไม่กลัวว่ามันเป็นการบริจาคทาน แน่นอนฉันก็จะรับประทานมันไปแล้ว" (รายงานโดย อัลบุคอรี 2431 ) อันเนื่องมาจากว่าท่านเป็นผู้ที่อัลลอฮ์สั่งห้ามกินของที่มาจากการบริจาคทาน
ท่านนบีมูฮัมหมัดเป็นผู้ที่เจอกับบททดสอบในชีวิตอย่างมากมาย ท่านได้กำพร้าบิดาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา และมารดาของท่านได้จากท่านไปในขณะที่ท่านนั้นยังเป็นเด็ก ลูกชายของท่านทั้งสามคนได้เสียชีวิตในวัยเยาว์ ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่ท่านได้รับหน้าที่เผยแผ่สัจธรรม ท่านต้องเจอกับการข่มเหงทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจต่างๆนานา เจอกับการกลั่นแกล้งจากกลุ่มชนของท่าน โดนใส่ไคล้ เหยียดหยามเย้ยหยันว่าเป็นคนเสียสติ เป็นนักกวี นักไสยศาสตร์ โดนทุบตีจนฟันกรามหัก ถูกทำร้ายจนเลือดอาบศีรษะ ถูกขู่เอาชีวิตหากไม่เลิกเผยแผ่คำสอน บางครั้งก็ถูกวางยาพิษในอาหาร ถูกทำไสยศาสตร์ ถูกขับไล่ไสส่งจากเผ่าตระกูลอื่น และจากเผ่าของท่านเอง เจอกับบททดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ท่านนบีมูฮัมหมัด ก็ไม่ย่อท้อที่จะเผยแผ่สัจธรรมด้วยความอดทนอย่างถึงที่สุด พระองค์อัลลอฮ์ได้สั่งให้ท่านมีความอดทนเสมือนกับการอดทนของบรรดาศาสนทูตในอดีต “ดังนั้นเจ้าจงอดทนดังเช่นบรรดาผู้ตั้งจิตมั่นแห่งศาสนทูตทั้งหลาย ได้อดทนมาก่อนแล้ว และอย่ารีบเร่ง (ให้มีการลงโทษ) แก่พวกเขา “ (อัลกุรอ่าน บท อัลอะห์ก้อฟ 35 ) ท่านนบีมูฮัมหมัด ไม่เคยถือโทษโกรธใดๆต่อผู้ที่มาทำร้ายท่าน กลับอดทนมุ่งมั่น ทำหน้าที่ประกาศศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าต่อไป อีกทั้งยังวิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ ให้ทรงมอบทางนำอันเที่ยงแท้ให้กับพวกเขาเหล่านั้น
ความเมตตาของท่านนบี
ท่านเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา เป็นผู้ที่มีความรักและความหวังดีต่อประชาชาติของท่านมากที่สุด หากได้ยินเสียงร้องของเด็กน้อยในละหมาด ท่านก็จะรวบรัดในการละหมาดเพื่อให้เสร็จเร็วขึ้น เพราะเห็นใจต่อผู้ที่เป็นแม่ ท่านมักจะไปเยี่ยมหลุมฝังศพเพื่อรำลึกถึงชีวิตแห่งโลกหน้า และท่านก็มักจะร้องไห้
ท่านเคยมาเยี่ยมลูกชายของท่านที่ชื่อว่าอิบรอฮีมขณะที่ยังเป็นทารกกับแม่เลี้ยงคนหนึ่ง ท่านได้เห็นร่องรอยฝุ่นที่เกาะอยู่บนทารก ท่านก็ยกขึ้นมากอด เเละจูบทารกน้อยเนื่องจากความเมตตาของผู้เป็นพ่อ เเละเมื่อท่านได้ข่าวการเสียชีวิตของเด็กน้อยคนนี้ น้ำตาก็หลั่งไหล เเละท่านกล่าวว่า “แน่นอนน้ำตาย่อมไหลริน หัวใจย่อมโศกเศร้า แต่เราจะไม่กล่าวสิ่งใด นอกจากในสิ่งที่พระผู้อภิบาลทรงพอพระทัยเท่านั้น และแน่นอนการจากไปของเจ้านั้นโอ้อิบรอฮีมเอ๋ย ย่อมนำมาซึ่งความโศกเศร้า “ (รายงานโดย อัลบุคอรี 1303 )
ท่านเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญต่อครอบครัว ปฏิสัมพันธ์ดีต่อลูกๆ หากว่าฟาติมะห์ลูกสาวของท่านมาหา ท่านจะลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวต้อนรับ และให้นางเข้ามานั่งข้างๆท่าน ท่านเคยกล่าวว่า "คนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านคือคนที่ทำดีที่สุดต่อครอบครัวของเขา และฉันเป็นคนดีที่สุดสำหรับครอบครัวของฉัน” (รายงานโดย อัตติรมีซีย์ 3895)
ท่านเป็นผู้ที่มีมารยาทอันงดงาม สุภาพอ่อนโยน ไม่เคยตบตีภรรยาหรือแม้กระทั่งคนรับใช้ ท่านเป็นผู้ที่มีความละอาย เกรงกลัวต่ออัลลอฮ์มากกว่าผู้ใด ไม่เคยไปแตะต้องสตรีใดๆที่ไม่ใช่ภรรยาของท่าน
ท่านมีความกตัญญู เป็นผู้ที่ไม่ลืมบุญคุณ ท่านมักจะเชื่อมสัมพันธ์ต่อญาติพี่น้องและเพื่อนๆของท่านหญิงคอดียะห์(ภรรยาของท่าน)หลังจากที่นางได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยมอบของขวัญ ส่งอาหารเพื่อเยี่ยมเยือนพวกเขา เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของนาง
ท่านได้ไปเยี่ยมบรรดาสาวกของท่านที่ได้เสียชีวิตในสมรภูมิอูฮุด หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปแปดปี ณ สุสานของพวกเขา พร้อมกับขอพรให้แก่พวกเขา เพื่อเป็นการอำลา
ท่านเป็นผู้ที่มีความเสียสละ มักจะแบ่งปันความดีให้แก่สาวกของท่าน หากมีคนนำสิ่งของมาให้แก่ท่าน ท่านก็จะแบ่งปันให้แก่บรรดาสาวกที่อยู่ร่วมกับท่านในขณะนั้น ให้ผู้อื่นก่อนให้ตัวเองถึงแม้ว่าท่านจะมีความต้องการก็ตาม ไม่เคยอิจฉาใครๆในเรื่องของทางโลก เป็นผู้ที่มีความนิ่มนวล มีความอ่อนโยน
ท่านนบีมูฮัมหมัดเป็นผู้ที่ตอบแทนความดี ด้วยกับความดี และไม่เคยตอบแทนความชั่วด้วยกับความชั่ว ท่านปฏิบัติต่อผู้คนด้วยกับความอ่อนโยน มาตรว่าคนผู้นั้นจะหยาบช้าต่อท่านเพียงใดก็ตาม ครั้งหนึ่งที่คนอาหรับชนบท(เบดูอิน) มากระชากเสื้อของท่านอย่างแรงจนเกิดร่องรอยที่คอ เพื่อขอเงินจากท่าน แต่ท่านก็กลับหันมายิ้มให้แก่เขา และให้ในสิ่งที่เขาขอ
เป็นผู้ที่ให้อภัยแก่ผู้ที่ทำไสยศาสตร์ต่อท่าน และยกโทษแก่ผู้ที่วางยาพิษในอาหารของท่าน เมตตาต่อผู้ที่จะมาสังหารท่าน แล้วท่านก็ปล่อยเขาไป ไม่มีผู้ใดที่เคยมาทำร้ายท่านนอกจากว่าท่านจะให้อภัยเสมอ ครั้นเมื่อท่านได้พิชิตเมืองมักกะฮ์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ชาวเมืองเคยทำร้ายรังแกต่อท่านต่างๆ นานา แต่ท่านกลับกล่าวแก่เชลยศึกว่า "พวกท่านจงกลับไปเถิด พวกท่านทั้งหลายคือผู้ที่ได้รับการปลดปล่อย " (รายงานโดย อัลบัยฮากีย์ 18276)
ท่านไม่มีนิสัยที่แข็งกระด้าง เวลาเจอผู้ใดท่านจะยิ้มแย้มให้เสมอ
ท่านญะรีร บิน อับดิลลาห์ (หนึ่งในบรรดาสาวกของท่าน) ได้กล่าวว่า “ไม่มีครั้งใดเลยที่ท่านนบีได้เห็นฉัน นอกจากว่าท่านจะยิ้มให้แก่ฉัน” (รายงานโดยอัลบุคอรี 6089)
ท่านคือศาสนทูตที่ไม่สามารถให้คุณและโทษแก่ผู้ใดได้
ท่านนบีมูฮัมหมัดก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเช่นเราๆท่านๆ ที่มีการกินและการดื่ม มีความเจ็บปวดและหิวโหย มีความสุขและความเศร้า มีความเหน็ดเหนื่อยและพักผ่อน มีภรรยาและลูกๆ เป็นมนุษย์เหมือนกับคนทั่วๆไป
ท่านไม่ได้เป็นนักพรต หรือผู้วิเศษ ไม่ได้มีพลังพิเศษหรือความสามารถให้ตาย ให้ฟื้นชีพแก่ใคร ท่านไม่เคยแอบอ้างการเป็นเทพเจ้าใดๆ ไม่ได้ถือศักดิ์เป็นพระเจ้าแต่อย่างใด แต่อัลลอฮ์ทรงยกเกียรติท่านอันเนื่องมาจากความดีงามของท่าน และทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นศาสนทูต เพื่อให้ประกาศศาสนาจากอัลลอฮ์ พระผู้อภิบาล พระผู้เป็นเจ้าแห่งสากลโลก
อัลลอฮ์ได้ตรัสในอัลกุรอ่านว่า “จงกล่าวเถิด(มูฮัมหมัด)ว่า แท้จริงฉันเป็นเพียงสามัญชนคนหนึ่งเยี่ยงพวกท่าน ได้มีวะฮีย์(คำบัญชา)แก่ฉันว่า แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านนั้นคือพระเจ้าเพียงองค์เดียว ดังนั้น ผู้ใดหวังที่จะพบพระผู้เป็นเจ้าของเขา ก็ให้เขาประกอบการงานที่ดี และอย่าได้ตั้งผู้ใดเป็นภาคีในการเคารพภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าของเขาแม้แต่ผู้เดียว” (อัลกุรอ่าน บท อัลกะฮ์ฟี 110 )
ท่านนบีมูฮัมหมัด - (ขออัลลอฮ์ทรงอำนวยพรและความศานติแด่ท่าน) ได้สิ้นชีพ ในวัย 63 ปี ภายหลังจากที่อัลกุรอ่าน (พระดำรัสของอัลลอฮ์) ได้ถูกประทานลงมาอย่างครบถ้วน และทำหน้าที่การเผยแผ่ศาสนาอิสลามตลอด 23 ปีอย่างสมบูรณ์ ท่านเป็นศาสนทูตคนสุดท้าย และจะไม่มีศาสนทูตใดๆอีกแล้วหลังจากท่าน ดังนั้น จึงไม่อนุญาตที่จะยกเกียรติของท่านอย่างเกินขอบเขต และห้ามลดเกียรติท่านจากฐานะของท่านเช่นกัน สำหรับหน้าที่ของผู้ศรัทธาทุกคนคือการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม เพราะนั่นคือหนทางที่จะนำไปสู่ความสุขศานติทั้งชีวิตในโลกนี้ และชัยชนะของชีวิตในโลกหน้า เป็นสาเหตุที่จะได้รับความเมตตาจากอัลลอฮ์
ด้วยกับการปฏิบัติตามทางนำจากอัลลอฮ์และแบบอย่างจากท่านศาสนทูตของพระองค์ เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสงบสุขในบ้านเมือง การเป็นอยู่ที่เข้มแข็งและมั่นคง และเป็นหนทางไปสู่สวนสวรรค์ของพระองค์