อัน-นะศีหะฮฺ การตักเตือน
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
อัน-นะศีหะฮฺ การตักเตือน
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ขอความสุขความจาเริญและความสันติจงประสบแด่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว
ไม่มีภาคีใด ๆ สาหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์
การตักเตือนนั้นนับเป็นหลักคาสอนและแนวปฏิบัติที่สาคัญประการหนึ่งในศาสนาอิสลาม อัลลอฮฺตรัสว่า
ความว่า “และชายคนหนึ่งได้มาจากชานเมืองอย่างรีบเaร่ง เขากล่าวว่า โอ้มูซาเอ๋ย พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่กาลังปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องของท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้น จงออกไปเถิดแท้จริงฉันเป็นผู้หวังดีต่อท่าน” (อัลเกาะศ็อศ: 20)
4
ตะมีม อัดดารีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “ ศาสนาคือนะศีหะฮฺ (การตักเตือนอย่างบริสุทธิ์ใจ) พวกเราถามว่า: นะศีฮะฮฺเพื่อใครหรือครับท่านเราะสูลุลลอฮฺ? ท่านกล่าวตอบว่า: เพื่ออัลลอฮฺ เพื่อคัมภีร์ของพระองค์ เพื่อเราะสูลของพระองค์ เพื่อบรรดาผู้นามุสลิม และเพื่อมุสลิมโดยทั่วไป” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 55)
อันนะวะวีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า “หะดีษบทนี้มีความสาคัญเป็นอย่างมากและถือเป็นแก่นสาคัญของหลักคาสอนอิสลาม ส่วนการที่อุละมาอ์บางกลุ่มกล่าวว่าหะดีษบทนี้ถือเป็นหนึ่งในสี่หะดีษที่เป็นศูนย์รวมของหลักคาสอนและองค์ความรู้ในอิสลามนั้น ในความเป็นจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น แต่ที่ถูกต้องคือหะดีษบทนี้เพียงบทเดียวก็ถือเป็นแก่นของหลักคาสอนทั้งหมดแล้ว” (ชัรหฺ อันนะวะวีย์ เล่ม 1 หน้า 37)
5
อิบนุ หะญัร กล่าวว่า “ที่ท่านกล่าวว่า
(ศาสนาคือการตักเตือนอย่างบริสุทธิ์ใจ) อาจหมายความว่า การตักเตือนนั้นเป็นสิ่งที่มีความสาคัญมาก และเป็นหัวใจหลักของศาสนา ในทานองเดียวกันกับรายงานหะดีษอีกบทหนึ่งที่ว่า
» الحَجُّ عَرَفَةُ « (การทาหัจญ์คือการวุกูฟที่อะเราะฟะฮฺ) หรืออาจจะมีหมายความตรงตัวก็ได้ กล่าวคือการงานใด ๆ ที่มิได้กระทาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ศาสนาสั่งใช้
นะศีหะฮฺเพื่ออัลลอฮฺ คือการยืนยันว่าพระองค์ทรงมีคุณลักษณะที่สมบูรณ์แบบและเหมาะสมกับพระองค์ เคารพภักดีพระองค์ทั้งด้วยการแสดงออกภายนอกและความรู้สึกภายในใจ ทาสิ่งที่เป็นการเคารพเชื่อฟังพระองค์ และไม่ฝ่าฝืนเนรคุณต่อพระองค์ รวมถึงการดะอฺวะฮฺเชิญชวนผู้อื่นให้มีความเข้าใจดังที่กล่าวมานี้
นะศีหะฮฺเพื่อคัมภีร์ของพระองค์ คือการศึกษาเรียนรู้ สอน อ่าน และเขียนอัลกุรอานอย่างถูกต้องพร้อมทาความเข้าใจความหมาย รวมถึงการปฏิบัติตามคาสอนของอัลกุรอาน และปกป้องอัลกุรอานจากการบิดเบือนของผู้ประสงค์ร้าย
6
นะศีหะฮฺเพื่อเราะสูลของพระองค์ คือการให้เกียรติและปกป้องช่วยเหลือท่าน ทั้งยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ และหลังจากที่ท่านจากไปแล้ว ศึกษาและฟื้นฟูเผยแผ่แบบฉบับของท่าน ปฏิบัติตามคาพูดและการกระทาของท่าน รวมไปถึงการมีความรักต่อท่าน และต่อผู้ที่ปฏิบัติตามท่าน
นะศีหะฮฺเพื่อบรรดาผู้นามุสลิม คือการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ เชื่อฟังพวกเขา และคอยชี้แนะตักเตือนหากเกิดข้อผิดพลาดหรือหลงลืม การนะศีหะฮฺผู้นาที่มีความสาคัญมากประการหนึ่ง คือการหยุดยั้งความอธรรมที่พวกเขาก่อด้วยวิธีการที่ดี อุละมาอ์ผู้รู้ก็จัดว่าเป็นผู้นามุสลิมเช่นกัน ซึ่งการนะศีหะฮฺสาหรับพวกท่านนั้นก็ด้วยการเผยแพร่ความรู้ของพวกท่าน คอยปกป้องเกียรติของพวกท่าน และชอบที่จะให้พวกท่านประสบกับสิ่งที่ดีห่างไกลจากสิ่งที่ไม่ดี (ฟัตหุลบารีย์ เล่ม 1 หน้า 138)
การตักเตือนแบ่งออกเป็นสามประเภท ได้แก่
ประเภทแรก การตักเตือนบรรดามุสลิมทั่วไป ดังที่ปรากฏในหะดีษจานวนมาก เช่น
7
ญะรีรฺ บิน อับดุลลอฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ กล่าวว่า “ฉันได้ให้สัตยาบันไว้กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า จะดารงการละหมาด การบริจาคทานซะกาต และตักเตือนมุสลิมทุกคน” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 56)
ในหะดีษอีกบทหนึ่ง อบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “สิทธิของมุสลิมต่อมุสลิมนั้นมีหกประการ” มีผู้ถามขึ้นว่า มีอะไรบ้างเล่าโอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ? ท่านตอบว่า “เมื่อท่านพบเขาจงให้สลามแก่เขา เมื่อเขาเชิญท่าน จงตอบรับคาเชิญเขา เมื่อเขาขอคาแนะนาตักเตือนจากท่าน ก็จงตักเตือนเขา เมื่อเขาจาม และกล่าวว่า ‘อัลหัมดุลิลลาฮฺ’ ก็จงตอบเขาว่า ‘ยัรหะมุกัลลอฮฺ’ เมื่อเขาป่วย จงไปเยี่ยมเขา และเมื่อเขาเสียชีวิต ท่านจงตามไปส่งเขาถึงสุสาน” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2162)
8
ประเภทที่สอง การตักเตือนผู้นา ในหะดีษซึ่งบันทึกโดยอะหฺมัด จากอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “อัลลอฮฺทรงรังเกียจสามอย่าง และทรงพอพระทัยสามอย่าง ทรงพอพระทัยกับการที่พวกท่านเคารพเชื่อฟังพระองค์โดยไม่ยกภาคีใด ๆ เทียบเคียงพระองค์ การที่พวกท่านทั้งหลายสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้สายเชือกแห่งศาสนาของพระองค์ และการที่พวกท่านให้คาแนะนาตักเตือนบรรดาผู้นา” (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษเลขที่ 8334)
และในหะดีษอีกบทหนึ่ง ท่านญุบัยรฺ บิน มุฏอิม เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
9
ความว่า “มีสามสิ่งที่จะทาให้จิตใจของมุสลิมคนหนึ่งผ่องใสไร้มลทิน คือ การมีความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ การตักเตือนผู้นา และการอยู่ร่วมกับญามาอะฮฺ” (บันทึกโดยอะหฺมัด หะดีษเลขที่ 16738)
ส่วนการตักเตือนของผู้นาแก่ผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองของพวกเขานั้น มีรายงานหะดีษจาก มะอฺกิล บิน ยะสารฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “ผู้ที่อัลลอฮฺทรงมอบหมายให้เขาเป็นผู้นากลุ่มชนใดกลุ่มชนหนึ่ง แล้วเขาไม่สนใจจะว่ากล่าวตักเตือนพวกเขาเหล่านั้น จะไม่ได้รับกลิ่นอายของสวรรค์” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์หะดีษเลขที่ 7150 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 142)
อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ถึงเราะสูลท่านก่อน ๆ ว่าพวกท่านได้ตักเตือนประชาชาติของพวกท่าน โดยได้ตรัสถึงท่านนบีนูหฺ ว่าท่านได้กล่าวแก่ประชาชาติของท่านว่า
ความว่า ”โดยที่ฉันจะประกาศแก่พวกท่าน ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน และฉันจะชี้แจงและนาให้แก่พวกท่าน” (อัล อะอฺรอฟ: 62)
และพระองค์ได้ตรัสถึงคาพูดของท่านนบีฮูด ว่า
ความว่า “โดยที่ฉันจะประกาศแก่พวกท่าน ซึ่งบรรดาสารแห่งพระเจ้าของฉัน และฉันนั้นเป็นผู้แนะนาที่ซื่อตรงแก่พวกท่าน” (อัลอะอฺรอฟ: 68)
ทั้งนี้ ท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถือเป็นผู้นาในเรื่องการตักเตือน โดยท่านได้เผยแผ่ศาสนา และตักเตือนประชาชาติของท่านอย่างสุดความสามารถ
ญาบิร บิน อับดุลลอฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านว่า
11
ความว่า “และเมื่อพวกท่านถูกถามถึงเกี่ยวกับตัวฉัน (ในอาคิเราะฮฺ) พวกท่านจะกล่าวเช่นไร?” พวกเขาตอบว่า “พวกเราขอเป็นพยานรับรองว่า ท่านได้บอกกล่าวเผยแผ่ศาสนา ทาหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ และได้ตักเตือนพวกเราแล้ว” (บันทึกโดยมุสลิม)
อัลลอฮฺได้ทรงอภัยให้แก่ผู้ที่มีอุปสรรคไม่สามารถออกไปทาสงครามญิฮาดได้ หากเขาคือผู้ที่ตักเตือนเพื่อพระองค์ และเราะสูลของพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสว่า
ความว่า ”ไม่มีบาปใด ๆ แก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอ และแก่ผู้ที่ป่วยไข้ และแก่บรรดาผู้ที่ไม่พบสิ่งที่จะบริจาค เมื่อพวกเขาได้แนะนาตักเตือนให้จงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ และเราะสูลของพระองค์ ไม่มีทางใดที่จะกล่าวโทษแก่บรรดาผู้กระทาดีได้ และอัลลอฮฺนั้นคือผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเอ็นดูเมตตา” (อัตเตาบะฮฺ: 91)
12
ทั้งนี้ ชาวสลัฟนั้น เมื่อพวกเขาประสงค์จะตักเตือนผู้ใด พวกเขาจะเลือกตักเตือนในทางลับ ไม่กระทาต่อหน้าผู้คน ชาวสลัฟบางคนกล่าวว่า “ผู้ที่ตักเตือนผู้อื่นในทางลับนั้นเรียกว่าการตักเตือน ส่วนผู้ที่ตักเตือนต่อหน้าผู้คนมากมายนั้น เป็นการตาหนิและประจานเสียมากกว่า” ซึ่งการตักเตือนในทางลับนี้ ครอบคลุมการตักเตือนผู้นา ผู้รู้ และบุคคลทั่วไป
อัชชาฟิอีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า
โปรดตักเตือนเมื่อฉันอยู่ตามลาพัง อย่ากระทาต่อหน้าผู้คน
เพราะการกระทาเช่นนั้น คือการประจานตาหนิซึ่งฉันไม่ชอบ
หากไม่ทาตามที่ฉันบอก ก็อย่าผิดหวังหากฉันจะไม่ฟังคุณ
การตักเตือนนั้นมีประโยชน์มากมาย เช่น
1. การตักเตือนเป็นสาเหตุหลักที่ทาให้จิตใจมีความมั่นคงต่อศาสนา เพราะผู้ที่ตักเตือนผู้อื่นนั้น ย่อมต้องอยากที่จะ
13
ปฏิบัติสิ่งที่ตนได้ตักเตือน เพื่อไม่ให้การกระทาของเขาขัดแย้งกับสิ่งที่เขาพูด อัลลอฮฺตะอาลาตรัสว่า
ความว่า “และฉันมิปรารถนาที่จะขัดแย้งกับพวกท่าน ในสิ่งที่ฉันได้ห้ามพวกท่านให้ละเว้น ฉันมิปรารถนาสิ่งใดนอกจากการปฏิรูปแก้ไขให้ดีขึ้นเท่าที่ฉันสามารถ” (ฮูด: 88)
2. เป็นหลักฐานยืนยันว่าผู้ที่ตักเตือนนั้นมีความรักและความหวังดีต่อผู้อื่น โดยที่เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นกระทาสิ่งที่ผิด อนัส บินมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านจะยังไม่เป็นผู้ศรัทธาอย่างสมบูรณ์ จนกว่าเขาจะปรารถนาให้พี่น้องของเขาได้รับในสิ่งที่เขาปรารถนาจะให้ตนเองได้รับ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หะดีษเลขที่ 13 และมุสลิม หะดีษเลขที่ 45)
14
3. สังคมจะดีและน่าอยู่ เพราะคนในสังคมประพฤติแต่คุณงามความดี หลีกห่างจากความชั่ว
4. การตักเตือนที่บริสุทธิ์ใจนั้น ช่วยกาจัดความชั่วร้ายได้มากมาย
5. เป็นการปฏิบัติตามคาสั่งใช้ของอัลลอฮฺ และเราะสูล ซึ่งถือเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดของบ่าวคนหนึ่ง และยังถือเป็นความสาเร็จทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ อัลลอฮฺตรัสว่า
ความว่า “และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ แน่นอนเขาได้รับความสาเร็จอันใหญ่หลวง” (อัลอะหฺซาบ: 71 )
6. เป็นสาเหตุหลักที่ทาให้บุคคลหนึ่งได้รับทางนา ซึ่งเราจะเห็นว่ามีผู้ปฏิเสธศรัทธาหลายต่อหลายคนเข้ารับอิสลามจากการตักเตือน และมีผู้ฝ่าฝืนทาบาปใหญ่มากมายที่กลับตัวกลับใจกลายเป็นคนดีด้วยการตักเตือนเช่นกัน สะฮฺล์ บิน สะอัด เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวแก่ท่านอลีว่า
ความว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ การที่อัลลอฮฺทรงประทานฮิดายะฮฺแก่บุคคลหนึ่งจากการเชิญชวนของท่านนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดีสาหรับท่านยิ่งกว่าการที่ท่านมีอูฐแดงอันล้าค่าไว้ในครอบครองเสียอีก”(บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2406)
7. ถือว่าผู้ตักเตือนได้ปฏิบัติสิ่งที่เป็นหน้าที่ของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าการตักเตือนของเขาจะเป็นผลสาเร็จหรือไม่ก็ตาม อัลลอฮฺตรัสว่า
ความว่า “หน้าที่ของเจ้ามิใช่อื่นใดนอกจากการเผยแผ่เท่านั้น” (อัชชูรอ: 48)
และตรัสอีกว่า
ความว่า ”แล้วหน้าที่ของเราะสูลนั้นมิใช่อะไรอื่น นอกจากการเผยแผ่อันชัดแจ้ง” (อัล อันกะบูต : 18 )
16
อิบนุหัซมฺได้กล่าวถึงสองสิ่งที่เกี่ยวพันกับการตักเตือน
1. การตักเตือนนั้นมีสองระดับ ระดับแรกคือเป็นการตักเตือนที่เป็นฟัรฎู ส่วนระดับที่สองคือการชี้แนะและเตือนใจ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่สาหรับทุกคนที่จะต้องตักเตือนผู้อื่น แม้ผู้ถูกตักเตือนจะพอใจหรือไม่ก็ตาม หรือแม้กระทั่งผู้ตักเตือนอาจได้รับความเดือดร้อนก็ตาม
2. จะต้องไม่กล่าวตักเตือนโดยตั้งเงื่อนไขว่า ผู้ถูกตักเตือนจะต้องตอบรับการตักเตือนนั้น ๆ เพราะหากเป็นเช่นนี้จะถือว่าท่านเป็นผู้อธรรม มิใช่ผู้ตักเตือน อิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
ความว่า “บรรดาประชาชาติต่าง ๆ ถูกนามาให้ฉันเห็น ซึ่งฉันเห็นนบีบางท่าน มีผู้ตามท่านเพียงกลุ่มเล็ก ๆ นบีบางท่านมีผู้ตามเพียงหนึ่งหรือสองคน ในขณะที่บางท่านก็ไม่มีผู้ตามเลยแม้แต่คนเดียว” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 220)