บทความ

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิของอัลลอฮฺพระผู้อภิบาลแห่งสากล


จักรวาล คำสดุดีและความสันติสุขจงมีแด่ท่านนบีมุหัมมัด (ศ็อลลัลลอฮฺ


อะลัยฮิ วะสัลลัม) วงศาคณาญาติและเหล่าสาวกของท่าน ตลอดจนผู้ที่


ดำเนินตามทางนำของท่าน ตราบจนกระทั่งวันสิ้นโลก


ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือ อบู อะมีนะฮฺ บิลาล ฟิลิปส์ ชาว


แคนาดา เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ในปี ค.ศ. 1972 ที่เมืองโตรอนโต


ประเทศแคนาดา สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะอุศูลุดดีน จาก


มหาวิทยาลัยอิสลามเมืองมะดีนะฮฺ ปี ค.ศ. 1979 และปริญญาโทสาขา


ศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งริยาด ค.ศ. 1985 ศึกษาปริญญาเอกที่


มหาวิทยาลัยแห่งเมืองเวลล์ ประเทศอังกฤษ เขาได้เขียนหนังสือวิชาการ


เกี่ยวกับอิสลามเป็นจำนวนหลายเล่ม


หนังสือ “ศาสนาที่เที่ยงแท้” ที่ท่านถืออยู่นี้ เป็นผลงานเขียนของ


เขาที่ได้พยายามเสนอหลักการขั้นพื้นฐานแห่งการเชื่อถือเกี่ยวกับพระผู้


เป็นเจ้าในอิสลาม


อิสลามเป็นศาสนาที่เที่ยงแท้ ศาสนาเดียวที่ถูกรับรองโดยพระผู้


เป็นเจ้าที่แท้จริงของมวลมนุษย์ ซึ่งจำเป็นต้องเคารพภักดีเพียงพระองค์


เดียวเท่านั้น


อิสลามเป็นศาสนาแรกและศาสนาสุดท้ายแห่งบรรดาศาสดา


ทั้งหลายที่อัลลอฮฺส่งมายังมนุษยชาติ ได้เรียกร้องให้มนุษย์ชาติเคารพ


ภักดีเฉพาะพระผู้ทรงสร้างที่แท้จริง(อัลลอฮฺ) และละทิ้งการเคารพบูชา


สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งมวลอันเป็นสิ่งถูกสร้าง


การไม่เข้าใจต่อหลักการขั้นพื้นฐานของหลักความเชื่อถือ ทำให้


มนุษย์หลงผิด โดยไปหลงยึดถือสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนมนุษย์ด้วยกันเป็น


พระเจ้า ซึ่งถือเป็นบาปกรรมอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ได้ก่อขึ้น ที่พระผู้เป็นเจ้า


ไม่อาจอภัยให้ได้ เขาเหล่านั้นจะต้องพบจุดจบด้วยการขาดทุนอย่าง


มหันต์


มหาบริสุทธิ์ยิ่งแห่งอัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงแต่เพียง


พระองค์เดียวเท่านั้น หากมีข้อบกพร่องหรือความผิดพลาดประการใด


ขอพระองค์ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ แท้จริงพระองค์ทรงกรุณา


ปรานีเสมอ


วาบิลลาฮิตเตาฟีก วัลฮิดายะฮฺ


วัสลาม


อบู ยุซรอ อิสมาอีล อะหฺมัด


สารบัญ


ศาสนาอิสลาม


สิ่งแรกที่มนุษย์เราควรรับทราบ และทำความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง


เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ก็คือ ความหมายของคำว่า “อัล-อิสลาม”


ศาสนาอิสลามไม่ได้ถูกตั้งขึ้นตามชื่อบุคคลอย่างเช่นศาสนาอื่นๆ


เช่น ศาสนาคริสต์ ซึ่งได้ตั้งชื่อตามชื่อของเยซูคไรสท์ และศาสนาพุทธถูก


ตั้งชื่อตามพระพุทธเจ้า ส่วนศาสนาขงจื้อก็ถูกตั้งชื่อตามขงจื้อ และลัทธิ


มาร์คซิสม์ก็ถูกตั้งชื่อตามคาร์ล มาร์ค หรือไม่ก็จะตั้งชื่อตามเผ่าพันธุ์ เช่น


ศาสนายูดายได้ถูกตั้งชื่อตามยูดาห์และศาสนาฮินดูก็ได้ถูกตั้งชื่อตาม


พวกฮินดูสเป็นต้น


แต่อิสลามเป็นศาสนาที่แท้จริงของอัลลอฮฺ ด้วยเหตุนี้ชื่อของ


ศาสนานี้ ซึ่งหมายถึงหลักการแห่งพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) หรือการนอบ


น้อมยอมตนยังพระประสงค์แห่งพระองค์ คำว่า “อิสลาม” เป็นศัพท์


ภาษาอาหรับ แปลว่า การยอมจำนน การนอบน้อมยอมตนต่ออัลลอฮฺอัน


เป็นพระเจ้าที่แท้จริง และควรแก่การเคารพภักดี และผู้ใดได้ปฏิบัติ


เช่นนั้นย่อมได้ชื่อว่า “มุสลิม” นอกจากนั้น คำๆ นี้ยังหมายถึง “ความ


สันติ” ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการมอบตนเองอย่างสิ้นเชิงยัง


จุดประสงค์แห่งอัลลอฮฺ ด้วยเหตุดังกล่าว อิสลามจึงไม่ใช่ศาสนาใหม่ที่


เพิ่งถูกนำมาโดยท่านศาสดามุหัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) เมื่อ


ศตวรรษที่ 7 ณ ประเทศอาหรับเท่านั้น แต่เป็นศาสนาที่แท้จริงและ


ดั้งเดิมของอัลลอฮฺที่ได้ถูกนำมากล่าวถึงอีกครั้งต่างหาก


อิสลามเป็นศาสนาเดียวกันที่ได้ถูกประทานให้แก่ศาสดาอาดัม


มนุษย์และศาสดาคนแรกของอัลลอฮฺ สู่มวลมนุษยชาติทั้งปวง ชื่อของ


ศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าคือ “อิสลาม” มิได้ถูกตั้งขึ้นโดยมนุษย์รุ่นหลัง ๆ


แต่ได้ถูกเลือกโดยอัลลอฮฺ ด้วยพระองค์เอง และได้ถูกกล่าวถึงอย่าง


ชัดเจนในคัมภีร์ อัล-กุรอานโองการสุดท้ายที่ได้ถูกประทานมายังมวล


มนุษยชาติ พระองค์ได้มีดำรัสว่า


ความว่า “วันนี้ ข้า(อัลลอฮฺ)ได้ทำให้ศาสนาของสูเจ้าสมบูรณ์


สำหรับสูเจ้าแล้ว และได้ให้ความโปรดปรานของข้าครบถ้วน


แก่สูเจ้า และข้าพึงพอใจ(เลือก)อิสลามเป็นศาสนาสำหรับสู


เจ้า”(อัล-กุรอาน 5 : 3)


ความว่า “และผู้ใดแสวงอื่นไปจากศาสนาอิสลาม ดังนั้นมัน


จะไม่ถูกยอมรับจากเขา”(อัล-กุรอาน 3 : 85)


ความว่า “และอิบรอฮีม (อับราฮัม) ไม่ได้เป็นยิว และไม่ได้


เป็นคริสต์ แต่เขาเป็นผู้บริสุทธิ์เที่ยงธรรม เป็นมุสลิม (ผู้


นอบน้อม)” (อัล-กุรอาน 3 : 67)


ท่านจะไม่พบในคัมภีร์ไบเบิลเลยว่า พระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮฺ) ได้


ตรัสต่อประชาชาติของศาสดามูซา (โมเสส) หรือลูกหลานของเขาเหล่านั้น


ว่า ศาสนาของพวกเขาคือยูดาย และพระองค์ก็มิได้ทรงตรัสต่อผู้เลื่อมใส


ในพระเยซูคริสต์ว่า ศาสนาของพวกเขาคือศาสนาคริสต์ ความจริงแล้ว


แม้กระทั่งชื่อของท่านก็ไม่ใช่พระเยซู เพราะคำว่า “คไรสท์” นั้นมาจาก


ศัพท์ภาษากรีกว่า “คไรสท์โตส” (CHRISTOS) ซึ่งหมายความว่า ถู ขัด


เช็ด นั่นหมายถึง คำว่า “คไรสท์” (CHRIST) เป็นศัพท์ภาษากรีก ที่ถูก


แปลมาจากศัพท์ภาษาฮิบรูว่า “เมสสิอาห์” (MESSIAH) ซึ่งเป็นเพียงฉายา


และส่วนคำว่า “เยซู” เป็นศัพท์ภาษาลาติน ที่ได้มาจากภาษาฮิบรูว่า


“อีเซา” (ESAU)


เพื่อเป็นการง่ายในการทำความเข้าใจ ข้าพเจ้าใคร่ขอเรียกท่าน


ศาสดา “อีซา” (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน) ว่า เยซู ศาสนาของท่าน คือ


สิ่งที่ท่านได้เชิญชวนบรรดาผู้เลื่อมใส อันเป็นสิ่งเดียวกับบรรดาศาสดา


ก่อนหน้าท่านได้ปฏิบัติและเชิญชวนมา ท่านได้เชิญชวนประชาชนของ


ท่านสู่การนอบน้อม ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิงยังพระประสงค์แห่งอัลลอฮฺ


(นั้นคืออิสลาม) และท่านได้ตักเตือนประชาชนของท่านให้ออกห่างจาก


พระเจ้าจอมปลอมที่มนุษย์ได้กุขึ้น ในคัมภีร์พันธะสัญญาใหม่ ท่าน


ศาสดาเยซูได้สอนให้บรรดาสาวกและผู้เลื่อมใสสวดคำวิงวอนดังนี้


“ความประสงค์แห่งพระองค์ท่าน (อัลลอฮฺ) จะเกิดขึ้นบนผืนพิภพนี้ ดังได้


มีขึ้นในสวนสวรรค์”


สาส์นแห่งอัล-อิสลาม


เนื่องจากการมอบตนยังพระประสงค์แห่งอัลลอฮฺอย่างสิ้นเชิงนั้น


เป็นการแสดงถึงแก่นแท้แห่งการเคารพภักดี ซึ่งเป็นรากฐานของสาส์น


แห่งอัลลอฮฺ ทั้งนี้เพราะทุกสรรพสิ่งนอกเหนือจากอัลลอฮฺผู้ทรงสร้างแล้ว


สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นสิ่งถูกสร้างมาจากพระองค์ อาจกล่าวได้ว่าแก่น


แท้ของอัล-อิสลามก็คือ การเรียกร้องมนุษยชาติให้ออกห่างจากการ


เคารพภักดีต่อสิ่งถูกสร้าง แต่ทว่าเชิญชวนมนุษย์สู่การเคารพภักดีต่อผู้


ทรงสร้างสรรพสิ่งแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่สมควร


ได้รับการเคารพภักดี เพราะการขอพรจะถูกสนองตอบโดยพระองค์


เท่านั้น หากมนุษย์วิงวอนขอต่อต้นไม้และบังเอิญคำวิงวอนขอของเขา


เป็นจริง มิได้หมายความว่าต้นไม้ได้ตอบสนองคำวิงวอนขอของเขา


แต่อัลลอฮฺต่างหากที่เป็นผู้อนุมัติให้สถานการณ์เป็นไปตามที่เขาวิงวอน


ขอ เราอาจจะกล่าวว่ามันเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าสำหรับผู้บูชาต้นไม้แล้วเขา


ย่อมไม่ได้คิดเช่นนั้นแน่นอน เช่นเดียวกันถ้าจะวิงวอนขอต่อพระเยซู


พระพุทธเจ้า พระกฤษณา นักบุญคริสโตเฟอร์ นักบุญยูเด หรือแม้แต่


ท่านศาสดามุหัมมัด ผู้ซึ่งเป็นบ่าวผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺมากที่สุด ก็ย่อมไม่ถูก


ตอบรับโดยบุคคลเหล่านี้ แต่การตอบรับเป็นไปโดยอัลลอฮฺเท่านั้น


ท่านศาสดาอีซา (พระเยซูคริสต์) มิได้สั่งสอนให้ศรัทธาในคำ


สอนของตัวท่านเอง หรือเคารพภักดีในตัวแทน แต่ให้เคารพภักดี


ต่ออัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ดังปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัล-กุรอาน


ความว่า “และ (จงรำลึกถึงเวลา) เมื่ออัลลอฮฺตรัส (ในวันฟื้น


คืนชีพว่า) โอ้อีซาบุตรมัรยัมเอ๋ย (เมื่อยังมีชีวิตในโลก) เจ้า


พูดแก่มนุษย์หรือว่า จงยึดถือฉันและแม่ของฉันเป็นพระเจ้า


สององค์อื่นจากอัลลอฮฺ เขากล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์


ไม่พึงที่ฉันจะกล่าวในสิ่งที่ฉันไม่มีสิทธิ์ (ที่จะกล่าวเช่นนั้น)”


(อัล-กุรอาน 5 : 116)


ท่านศาสดาอีซามิได้ตั้งตนเองขึ้นเป็นพระเจ้า ถึงแม้ว่าท่านจะ


ได้รับการเคารพภักดีจากผู้อื่น แต่ตัวท่านเองเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺองค์


เดียวเท่านั้น หลักการพื้นฐานที่สำคัญข้อนี้ ได้ถูกกล่าวถึงไว้ในอารัมภบท


หรือ สูเราะฮฺ อัลฟาติหะฮฺ (โองการที่ 5) ดังนี้ว่า


ความว่า “เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่เราเคารพภักดี และเฉพาะ


พระองค์เท่านั้นที่เราขอความช่วยเหลือ”


และพระองค์อัลลอฮฺได้ตรัสอีกในโองการหนึ่งของอัล-กุรอานว่า


ö/ä3s9 ó=ÉftGó™r& þ’ÎΤθãã÷Š$# ãΝà6š/u‘ tΑ$s%uρ


ความว่า “และผู้อภิบาลของสูเจ้าได้ตรัสว่า “จงขอต่อข้า แล้ว


ข้าจะตอบสนองคำขอของสูเจ้า” (อัล-กุรอาน 40 : 60)


เป็นที่น่าสังเกตว่า สาส์นขั้นพื้นฐานแห่งอิสลาม ก็คือการชี้ให้เห็น


ถึงความแตกต่างในเอกลักษณ์ระหว่างอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงกับ


สรรพสิ่งที่ถูกสร้างของพระองค์ กล่าวคืออัลลอฮฺไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างและ


ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย สรรพสิ่งทั้งหลาย


ไม่ใช่พระองค์และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์


เป็นที่ประจักษ์อย่างชัดแจ้งว่าการที่มนุษย์หันไปเคารพบูชาต่อ


สรรพสิ่งถูกสร้างแทนที่จะเคารพภักดีต่อพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง


เหล่านั้น ส่วนมากมีสาเหตุมาจากความไม่เข้าใจต่อแนวความคิดดังกล่าว


นี้ เช่น เชื่อว่าธาตุแท้ของอัลลอฮฺทรงมีอยู่ในทุกแห่งหนในสิ่งถูกสร้าง


ต่างๆ และทรงอยู่หรือเคยมีอยู่ในสรรพสิ่งถูกสร้างในบางลักษณะ ซึ่งได้


ถูกนำมาเป็นเหตุผลในการเคารพภักดีสรรพสิ่งถูกสร้างต่างๆ เหล่านั้น


แม้ว่าการเคารพภักดีเช่นนี้ อาจจะถูกเข้าใจว่า เป็นการเคารพภักดี


ต่ออัลลอฮฺ โดยวิธีผ่านสิ่งถูกสร้างของพระองค์เป็นสื่อก็ตาม


อย่างไรก็ตามสาส์นแห่งอัล-อิสลามดังที่ได้นำมาโดยบรรดา


ศาสดาแห่งอัลลอฮฺ คือการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺเพียงองค์เดียว และให้


ห่างไกลจากการเคารพภักดีต่อสรรพสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ทั้งนี้ไม่ว่า


จะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ดังที่พระองค์อัลลอฮฺตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า


ความว่า “และแท้จริงเราได้ส่งรอซูล (ศาสดา) มายังทุก


ประชาชาติ (โดยคำบัญชาใช้) ให้เคารพภักดีต่อข้า (อัลลอฮฺ)


และให้ออกห่างจากสิ่งเคารพจอมปลอม” ( อัล-กุรอาน 16 :


เมื่อบรรดาผู้กราบไหว้รูปปั้นถูกสอบถามถึงสาเหตุของการ


กระทำเช่นนั้นขึ้น คำตอบที่มักได้รับ ก็คือ พวกเขาเพียงแต่เคารพภักดี


พระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในรูปปั้นเท่านั้น พวกเขาต่างอ้างว่ารูปปั้นหินนั้นเป็น


เพียงจุดศูนย์รวมแห่งธาตุแท้ของพระเจ้าและมันเองหาใช่พระเจ้าไม่


ใครก็ตามที่ได้ยอมรับเอาแนวความคิดการมีอยู่ของพระเจ้าใน


สิ่งถูกสร้าง ย่อมยอมรับตามเหตุผลของผู้เคารพบูชารูปปั้นนั้น ในขณะที่


บุคคลผู้มีความเข้าใจในสาส์นขั้นต้นแห่งอิสลามและคำสั่งสอนอย่าง


แท้จริงจะไม่ยินยอมต่อการเคารพรูปปั้นอย่างเด็ดขาด ถึงแม้ว่าจะได้รับ


การอธิบายด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม


บรรดาผู้ที่อ้างตนเป็นพระเจ้า นับตั้งแต่ยุคโบราณกาล ได้


พยายามอ้างเหตุผลความเชื่อถือที่ผิด ๆ โดยกล่าวว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่


ในร่างของมนุษย์ พวกเขาได้แสดงสิทธิ์ว่าถึงแม้พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่ใน


ตัวเราทุกคน ตามความเชื่อถือของพวกเขา แต่พระองค์ทรงสถิตอยู่ใน


ร่างของพวกเขามากกว่าคนอื่น ๆ ด้วยการกล่าวอ้างนี้ เราจึงสมควร


เคารพบูชานอบน้อมต่อพวกเขาเหล่านี้ ทั้งนี้หากไม่ใช่พระเจ้าในร่าง


มนุษย์ก็อาจจะเป็นศูนย์รวมของพระเจ้าที่อยู่ภายในร่างของมนุษย์


ทำนองเดียวกัน บรรดาผู้ที่เชื่อว่า คนนั้น คนนี้เป็นพระเจ้า หลังจากที่เขา


ได้ตายไปแล้วนั้น รวมทั้งบรรดาผู้ยอมรับแนวความเชื่อที่ผิด ๆ เกี่ยวกับ


การสถิตของพระเจ้าในร่างมนุษย์ต่างก็ยอมรับข้ออ้างนั้นเป็นอย่างดี


สำหรับผู้ที่เข้าใจในหลักการแห่งสาส์นขั้นพื้นฐานและบทคำสอนของ


อิสลามย่อมไม่ยินยอมเป็นอันขาดที่จะเคารพบูชามนุษย์ ไม่ว่าจะตกอยู่


ภายใต้สถานการณ์เช่นใด


แก่นแท้ในหลักการศรัทธาคือความเชื่อถือในศาสนาของอัลลอฮฺ


คือ การเรียกร้องเชิญชวนต่อการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ผู้ทรงสร้างองค์


เดียว และปฏิเสธต่อการเคารพบูชาต่อสิ่งถูกสร้างต่าง ๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะ


เป็นมนุษย์ ลิง วัว ช้าง ภูเขา ดวงดาว หรืออื่น ๆ ก็ตาม นี่คือความหมาย


ที่แท้จริงของคติพจน์แห่ง อัล-อิสลามที่ว่า


ความว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่มีสิทธิ์แก่การเคารพภักดี นอกจากอัลลอฮฺ”


ผู้ใดได้เปล่งคำ ๆ นี้ ด้วยจิตใจที่ศรัทธามั่น เขาจะได้อยู่ภายใต้


ร่มเงาแห่งอิสลามและศรัทธาอย่างบริสุทธิ์ใจ และด้วยความเชื่อมั่นใน


คำๆ นี้ เขาจะได้เข้าสู่สวนสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ท่านศาสดาสุดท้ายแห่ง


อิสลามได้กล่าวว่า “ผู้ใดที่กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด (ที่สมควรแก่การ


เคารพภักดี) นอกจากอัลลอฮฺ หลังจากนั้นเขาได้ตายไปจากโลกนี้ ด้วย


ความเชื่อมั่นดังกล่าว เขาย่อมจะได้เข้าสวนสวรรค์อย่างแน่นอน”(รายงาน


โดย อบู ซัรฺ รวบรวมโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)


นอกจากนี้ คำ ๆ นี้ยังมีความหมายรวมถึงการยอมจำนนโดย


สิ้นเชิงยังประสงค์แห่งอัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ การมอบตนต่อพระองค์ด้วย


ความยำเกรงและเชื่อฟังต่อบทบัญญัติของพระองค์ รวมทั้งปฏิเสธการ


เชื่อในพระเจ้าหลายพระองค์


สาส์นแห่งศาสนาปลอม


ในโลกเรานี้มีแนวความคิด นิกาย ความเชื่อถือ ลัทธิ ศาสนา


หลักปรัชญา สำนักนิกาย และกลุ่มต่าง ๆ มากมาย ซึ่งต่างก็กล่าวอ้างว่า


ลัทธิความเชื่อถือของตนนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้องหรือวิถีทางเดียวเท่านั้น


ที่จะนำมนุษย์สู่พระผู้เป็นเจ้าได้ เราจะตัดสินได้อย่างไรว่าศาสนาหรือ


ลัทธิใดถูกต้อง หรือว่าทุกลัทธิความเชื่อถือเหล่านี้ถูกต้องหมด ? วิธีที่เรา


จะหาคำตอบนี้ได้คือ เบื้องต้นต้องยุติปัญหาความแตกต่างที่ผิวเผินใน


คำสั่งสอนของผู้ที่อ้างถึงความสัจจะอันสูงสุด และพิสูจน์ให้เห็นถึง


จุดหมายสำคัญของการเคารพภักดี แม้นจะเรียกร้องโดยตรงหรือไม่ก็


ศาสนาอื่นๆ (ที่ไม่ใช่อิสลาม) มักมีแนวความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับ


พระผู้เป็นเจ้าทำนองเดียวกัน คือพวกเขาจะอ้างว่ามนุษย์คือพระเจ้า หรือ


คนนั้นคนนี้เป็นพระเจ้า หรือธรรมชาติคือพระเจ้า หรือไม่ก็พระเจ้าคือสิ่ง


ที่มนุษย์เสกสรรขึ้นตามจินตนาการของตน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าคำสอน


เบื้องต้นของศาสนาที่ไม่เที่ยงแท้เหล่านั้นก็คือ พระผู้เป็นเจ้าสามารถ


ได้รับการเคารพภักดีในคุณลักษณะของสิ่งถูกสร้าง ศาสนาเหล่านั้นได้


เชิญชวนมนุษยชาติสู่การเคารพบูชาสิ่งถูกสร้างโดยเรียกสิ่งเหล่านั้นว่า


พระเจ้า เช่น ศาสดาเยซู ได้เชิญชวนผู้เลื่อมใสให้เคารพภักดีต่อพระผู้


เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างแต่มีบรรดาผู้อ้างตนว่าเป็นผู้ยึดถือและปฏิบัติตาม


คำสั่งของท่านในยุคต่อมาได้เชิญชวนมนุษย์ให้บูชาตัวของพระเยซูเอง


โดยอ้างว่า ท่านศาสดาเยซู คือพระเจ้า


พระพุทธเจ้า ถือเป็นนักปฏิรูปผู้หนึ่งซึ่งได้นำเอาหลักการแห่ง


มนุษยธรรมมาให้แก่ศาสนาแห่งอินเดีย พระองค์ท่านมิเคยอ้างตนเป็น


พระเจ้า และท่านไม่เคยแนะนำสั่งสอนให้บรรดาสาวกผู้ปฏิบัติตามยึดเอา


ตนเป็นสิ่งบูชา แต่กระนั้นชาวพุทธส่วนมากนอกประเทศอินเดีย ได้ยึด


ถือเอาพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าและได้ประดิษฐ์รูปเหมือนขึ้นเป็นที่


กราบไหว้


ด้วยอาศัยหลักการแห่งการพิสูจน์เอกลักษณ์ แยกแยะ


จุดมุ่งหมายในการเคารพบูชาจะทำให้เราสามารถทราบถึงศาสนาปลอม


ได้อย่างชัดเจน และยังทราบถึงพื้นเพความเป็นมาของการอุตริอย่าง


แท้จริงดังมีหลักฐานปรากฏอยู่ในสูเราะฮฺ ยูสุฟ : 40 จากคัมภีร์ของพระผู้


เป็นเจ้าที่สัจจริงว่า


ความว่า “พวกเจ้าหาได้กราบไหว้บูชาสิ่งใดเลยนอกจาก


บรรดานามที่พวกเจ้าตั้งชื่อขึ้นโดยพวกเจ้าเองและบรรพบุรุษ


ของพวกเจ้า อัลลอฮฺมิได้ประทานหลักฐานใดในข้อนี้ลงมา


ไม่มีการตัดสินใดนอกเสียจากเป็นของอัลลอฮฺ พระองค์ทรง


มีบัญชาแก่พวกเจ้าว่า จงอย่าเคารพภักดีต่อผู้ใด เว้นแต่


พระองค์เท่านั้น นั่นคือศาสนาอันมั่นคง แต่ว่ามนุษย์


ส่วนมากไม่รู้”


บางท่านอาจโต้แย้งว่าทุกศาสนาก็ล้วนสอนแต่ในเรื่องความดี


งามจึงไม่เห็นแปลกที่เราจะปฏิบัติตามศาสนาใดก็ได้ คำตอบก็คือ


แท้จริงแล้วศาสนาอื่นๆ ทั้งหลาย สอนให้บูชาสิ่งที่ถูกสร้างซึ่งถือเป็นสิ่งที่


ชั่วร้ายที่สุด


การที่เราเคารพสักการะบูชาสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง แทนที่จะเคารพ


บูชาพระเจ้าผู้ทรงสร้าง นี่แหละคือบาปอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ได้กระทำขึ้น


ทั้งนี้เพราะมันค้านกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของการถูกบังเกิดของ


มนุษยชาติ กล่าวคือมนุษยชาติได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อเคารพภักดีต่อพระ


เจ้าคืออัลลอฮฺพระองค์เดียว ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ในอัล-กุรอาน


อย่างชัดเจนว่า


ความว่า “และข้ามิได้บังเกิดญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใด


นอกจากเพื่อเคารพภักดีต่อข้าเท่านั้น”(อัล-กุรอาน 51 : 56)


เพราะฉะนั้นการเคารพ สักการะ หรือบูชาต่อสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง


อันเป็นเนื้อแท้ของการเคารพบูชารูปปั้น ซึ่งไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง


จึงนับว่าเป็นบาปที่ไม่สามารถให้อภัยโทษได้อย่างเด็ดขาด ผู้ใดตายไปใน


สภาพของการเป็นผู้เคารพบูชารูปปั้นเขาย่อมได้ปิดกั้นกฎกำหนด


(โชคชะตากรรม) ของเขาในโลกหน้าเสียแล้ว นี่ไม่ใช่ความคิดเห็นแต่เป็น


ข้อเท็จจริงของโองการแห่งอัลลอฮฺ ที่ได้ถูกประทานมายังมนุษยชาติใน


พระคัมภีร์ฉบับสุดท้าย คืออัล-กุรอานว่า


ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงอภัยแก่ผู้ที่ได้ตั้งภาคีต่อ


พระองค์ (เพราะสิ่งทั้งหลายถูกกำเนิดให้มีขึ้นเพื่อรับใช้และ


อำนวยประโยชน์สำหรับมนุษย์ และไม่ใช่เพื่อเป็นที่เคารพ


สักการะบูชาของมนุษย์) และทรงอภัยแก่บาปอื่นนอกจาก


(การตั้งภาคี)นั้น สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์”(อัล-


กุรอาน 4 :48)


ความเป็นศาสนาสากลของอัล-อิสลาม


เนื่องจากผลตามมาของการนับถือศาสนาปลอมนั้นร้ายแรงยิ่ง


นัก ดังนั้นศาสนาที่แท้จริงของอัลลอฮฺ (พระผู้เป็นเจ้า) จึงสมควรได้รับ


การเข้าใจและบรรลุผลสำเร็จในระดับสากล และไม่ได้จำกัดเฉพาะ


ประชาชาติใดประชาชาติหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังไม่จำกัดเวลา สถานที่และ


ไม่มีเงื่อนไขต่างๆ เฉกเช่นการพรมน้ำเพื่อไถ่บาปในคริสต์ศาสนา


ภายในขอบเขตของการจำกัดความในหลักการสำคัญของอัล-


อิสลาม (คือการนอบน้อมยอมตนยังพระประสงค์แห่งพระเจ้า) แล้ว


ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเป็นศาสนาสากล ฉะนั้นเมื่อใดที่มนุษย์มี


ความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าอัลลอฮฺทรงคุณลักษณะเอกะ และทรง


แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสรรพสิ่งถูกสร้างแล้วโดยยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ


เขาก็คือ “มุสลิม” ทั้งร่างกายและจิตใจและมีสิทธิ์จะได้เข้าสวรรค์


ดังนั้นผู้ใดก็ตามไม่ว่าเขาจะอาศัยอยู่ ณ แห่งหนใดสมัยใดใน


โลกใบนี้ เขาก็สามารถเป็นมุสลิมได้ ทั้งนี้โดยเพียงปฏิเสธการเคารพ


สักการะบูชาสรรพสิ่งที่ถูกสร้างต่างๆ และหันสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ


เพียงองค์เดียวเท่านั้น


เป็นที่น่าสังเกตว่า การยอมรับและการยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ


จำเป็นต้องมีการแยกแยะระหว่างสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง และสิ่งที่ชั่วร้าย ผิด


ศีลธรรม และจำต้องทราบว่า วิธีการเลือกเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงการ


ยอมรับของตน โดยการแยกแยะการทำความดีที่ประเสริฐสุด ก็คือ การ


เคารพต่ออัลลอฮฺพระองค์เดียวเท่านั้น ขณะที่การกระทำชั่วที่ร้ายแรง


ที่สุด ก็คือการเคารพบูชาสรรพสิ่งที่ถูกสร้างคู่เคียงกับการเคารพภักดี


ต่ออัลลอฮฺหรือแทนการเคารพภักดีอัลลอฮฺ ข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ถูก


สาธยายไว้ในคัมภีร์อัล-กุรอานที่ว่า


ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและบรรดาผู้เป็นยิวและ


คริสต์และศอบีอีน(ศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ยิวและคริสต์) ผู้ใด (ก็


ตามที่) ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้ายและได้ประกอบการ


งานที่ดี ดังนั้นสำ หรับพวกเขาทั้งหลายจะไม่มีความ


หวาดกลัวแก่พวกเขาทั้งหลาย ณ พระผู้อภิบาลของพวกเขา


และพวกเขาทั้งหลายจะไม่ระทม”(อัล-กุรอาน 2 :62)


ความว่า “และมาตรว่าพวกเขาดำรงมั่นในเตารอฮฺและอินญีล


(โดยมิได้บิดเบือน) และสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่พวกเขา


จากพระผู้อภิบาลของพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะได้เสวยสุข


ทั้งจากเบื้องบนของพวกเขาและจากเบื้องล่างเท้าของพวกเขา


(คือได้รับการโปรดปรานจากฟากฟ้าและพื้นพิภพ) (ทว่า)ใน


หมู่พวกเขามีคณะที่แน่วตรง (อยู่ในสายกลางที่เที่ยงธรรม)


แต่ส่วนมากของพวกเขานั้น เรื่องเลวร้ายแท้ๆ ที่พวกเขาได้


กระทำ” (อัล-กุรอาน 5 :66)


การยอมรับในอัลลอฮฺ


ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ มนุษยชาติพึงศรัทธาในอัลลอฮฺอย่าง


ไร? ในเมื่อความเป็นไปในด้านสังคมและวัฒนธรรม มีความแตกต่างกัน?


สำหรับบรรดามนุษยชาติทั้งมวลแล้ว จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบใน


การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ


เราได้เรียนรู้จากคัมภีร์อัล-กุรอานว่า การยอมรับพระผู้เป็น


เจ้าของมนุษยชาติได้มีอยู่แล้วในจิตวิญญาณของพวกเขา ซึ่งนับเป็น


ธรรมชาติ (ฟิฏเราะฮฺ)แต่เดิมของมนุษย์ตั้งแต่ถูกบังเกิด


ในสูเราะฮฺ อัล-อะอฺรอฟ โองการที่ 172-173 พระองค์อัลลอฮฺได้


ทรงอธิบายให้เราทราบว่า เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างอาดัมผู้เป็นมนุษย์


และศาสดาคนแรกขึ้นมา พระองค์ได้ทรงบันดาลให้ลูกหลานของท่าน


บังเกิดขึ้นบนพื้นพิภพ และให้เขาทั้งหลาย กล่าวคำมั่นปฏิญาณต่อ


พระองค์ว่า “ข้ามิใช่พระผู้อภิบาลของสูเจ้าดอกหรือ ? เขาเหล่านั้นได้ให้


คำยืนยันว่าถูกต้องแล้ว เราขอยืนยันต่อการเป็นพระผู้อภิบาลของ


พระองค์”


หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงสาธยายต่อไปถึงสาเหตุที่ทรงให้


บรรดามนุษยชาติให้คำมั่นสัญญาว่าเพราะพระองค์คือผู้ทรงสร้าง และ


ทรงเป็นผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ผู้สมควรแก่การเคารพภักดีแต่เพียงผู้เดียว


พระองค์ได้ทรงบอกไว้ถึงกรณีที่สูเจ้า (มนุษยชาติ) จะกล่าวอ้าง


ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพว่า “แท้จริงเราไม่เคยทราบเรื่องเหล่านี้มาก่อน


หรือไม่ทราบเลยว่าพระองค์คืออัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าของเรา ไม่มีใครบอก


ให้เราทราบเลยว่าเราต้องเคารพภักดีต่อพระองค์เท่านั้นผู้เดียว” พระองค์


ได้ทรงอธิบายต่อไปว่า “หากว่าพวกสูเจ้าจะกล่าวในวันนั้นว่าแท้จริงบรรดา


บรรพบุรุษของเราต่างหากผู้ซึ่งได้ตั้งภาคีแก่อัลลอฮฺ และเราเป็นเพียง


ลูกหลานของเขาเหล่านั้นพระองค์จะทำลายพวกเราเพราะเหตุที่เขา


(บรรพบุรุษ) ได้ก่อการมุสากระนั้นหรือ?”


เหตุนี้ เด็กทารกทุกคนล้วนถูกกำเนิดมาด้วยความบริสุทธิ์ที่


ศรัทธามั่นในอัลลอฮฺและความโน้มเอียงในการเคารพภักดีต่อพระองค์


ตั้งแต่แรกคลอดซึ่งเรียกในภาษาอาหรับว่า “ฟิฏเราะฮฺ”


กล่าวคือหากเด็กทารกได้ถูกละทิ้งไว้โดยลำพัง เขาก็ย่อมทำการ


เคารพภักดีต่ออัลลอฮฺตามวิถีทางของเขา แต่ทั้งนี้การเจริญเติบโตของ


เด็กส่วนมากได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเขา ทั้งที่มองเห็น


และมองไม่เห็น ท่านศาสดา (ศ็อลลัลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม) เคยได้กล่าว


ว่าอัลลอฮฺได้ตรัสว่า “ข้าได้สร้างบรรดาบ่าวของข้ามาในศาสนาอัน


เที่ยงตรง แต่บรรดามารได้ทำให้พวกเขาหลงทาง” และท่านศาสดาได้


กล่าวอีกว่า “เด็กทุกคนล้วนเกิดมาในสภาพแห่ง “ฟิฏเราะฮฺ” ธรรมชาติอัน


บริสุทธิ์ หลังจากนั้นบิดามารดาของเขาได้เลี้ยงดูทำให้เขาเป็นยิว คริสต์


และบรรดาผู้บูชาไฟ เช่นเดียวกับปศุสัตว์ที่ได้คลอดลูกในสภาพที่เป็น


ธรรมชาติ ท่านเห็นบ้างไหมว่าตัวใดบ้างที่คลอดมาที่ผิดไปจากธรรมชาติ


ดังกล่าวนั้น” (รวบรวมโดย อัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)


ดังนั้น เมื่อเด็กได้น้อมรับต่อกฎแห่งธรรมชาติของร่างกาย


มนุษย์ตามที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้ตามชาติกำเนิด จิตวิญญาณของเขา


ก็ย่อมนอบน้อมโดยธรรมดาต่อความเป็นจริงที่ว่า อัลลอฮฺคือพระผู้เป็น


เจ้าและพระผู้ทรงสร้างของเขา แต่บิดามารดาของเขาต่างหากได้พยายาม


ทำ ให้เขาประพฤติปฏิบัติอย่างอื่นในขณะเยาว์วัย เด็กยังไม่มี


ความสามารถพอที่จะต้านทานหรือคัดค้านในความต้องการของบิดา


มารดาได้ ดังนั้นศาสนาที่เด็กปฏิบัติตามในขณะนั้น จึงถือเป็นเพียง


ประเพณีและการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนของผู้ปกครอง อัลลอฮฺจึงไม่เอาผิด


และไม่ลงโทษเด็กจากการปฏิบัติตามเพราะสาเหตุดังกล่าว


ตลอดระยะเวลาที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ ตั้งแต่เยาว์วัยจนกระทั่ง


เสียชีวิต เขาสามารถสังเกตเห็นเครื่องหมายต่างๆ มากมายในทุกภูมิภาค


ของพื้นโลก และแม้กระทั่งในร่างกายของเขาเอง


จากเครื่องหมายต่าง ๆ เหล่านี้ เขาทราบเป็นอย่างดีถึงการมีอยู่


จริงของพระผู้เป็นเจ้าหรืออัลลอฮฺ หากมนุษย์มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง


แล้วไซร้ เขาจำต้องปฏิเสธพระเจ้าจอมปลอมทั้งหลายและแสวงหาเฉพาะ


อัลลอฮฺองค์เดียวเท่านั้น สู่หนทางที่จะทำให้เป็นการง่ายสำหรับเขา แต่


หากว่าเขายังขืนปฏิเสธเครื่องหมายต่าง ๆ แห่งอัลลอฮฺ และยังทำการ


เคารพบูชาสรรพสิ่งที่ถูกสร้างอยู่ต่อไป เขาก็จะหาทางรอดได้ยากยิ่งขึ้น


ตัวอย่างเช่น เรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นในภาคใต้ของทิศตะวันออกของเขตอะ


เมซอน ซึ่งเป็นเขตป่าไม้ ประเทศบราซิล ชนเผ่าดั้งเดิมได้ก่อสร้าง


กระท่อมหลังใหม่ขึ้น เพื่อประดิษฐานบูชาควัตซ์ ซึ่งถือเป็นตัวแทนพระ


เจ้าสูงสุดของสรรพสิ่งทั้งหลาย ในวันรุ่งขึ้นได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าไป


นมัสการและในระหว่างที่เขากำลังกราบอยู่ต่อหน้าสิ่งที่เขาเข้าใจว่ามันคือ


พระผู้ทรงสร้าง และเป็นผู้ทรงประทานเครื่องยังชีพแก่เขานั้น ทันใดเขา


ได้เห็นสุนัขตัวหนึ่ง ได้เดินเข้ามาในกระท่อม ตอนที่เขาได้เงยหน้าขึ้นดู


พอดีเขาได้เห็นสุนัขตัวนั้นได้ยกขาขึ้นและเยี่ยวรดรูปปั้นบูชา ด้วยความ


เจ็บแค้นใจชายหนุ่มคนนั้นจึงไล่ติดตามสุนัขออกไปนอกวัด แต่เมื่อ


ความโกรธได้ลดลง เขาจึงคิดและสำนึกขึ้นได้ว่ารูปปั้นนั้นคงจะเป็นพระ


เจ้าแห่งสากลจักรวาลไม่ได้เป็นแน่ ฉะนั้นพระเจ้าต้องอยู่ที่อื่น เขาจึงควร


เลือกที่จะปฏิบัติตามความคิดสติปัญญา และแสวงหาพระผู้เป็นเจ้า


หรือไม่ก็คงต้องกระทำการที่ไม่ซื่อสัตย์ และหลอกลวงตนเองอยู่ต่อไป


ตามความเชื่อถือที่ผิดๆ ของเผ่าพันธุ์ของเขา มันอาจจะเป็นเรื่องแปลก


แต่ทว่านั่นเป็นสัญญาณหนึ่งจากอัลลอฮฺ ที่ได้เกิดขึ้นกับชายหนุ่ม มันเป็น


สัญญาณที่แนะนำว่าสิ่งที่เขากำลังเคารพบูชาอยู่นั้นเป็นสิ่งที่หลงผิด


บรรดาท่านศาสดาได้ถูกส่งลงมายังประชาชาติทุกเผ่าพันธุ์ ดังได้


กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะช่วยค้ำจุนเอาไว้ซึ่งธรรมชาติอันบริสุทธิ์แห่ง


มนุษยชาติ ในความเชื่อถือที่พึงมีต่ออัลลอฮฺและการโน้มเอียงที่มีมาแต่


กำเนิดของมนุษยชาติต่อการเคารพภักดีต่อพระองค์ พร้อมทั้งสนับสนุน


ความเป็นจริงแห่งพระผู้เป็นเจ้าในสัญญาณต่างๆ ที่พบเห็นประจำวัน


ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้


แม้ต่อมาคำสอนของศาสดาส่วนมากจะถูกบิดเบือนไป แต่


บางส่วนก็ยังรักษารูปเดิมไว้ได้ คำสอนเหล่านั้นได้ชี้แนะถึงสิ่งที่ถูกต้อง


และสิ่งที่ผิด เช่น ในกรณีของบัญญัติ 10 ประการของคัมภีร์เตารอฮฺ(ของ


ชาวยิว) การยืนยันเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของท่านนบีอีซา (เยซูคริสต์) ใน


คัมภีร์พันธะสัญญาใหม่ กฎหมายที่ยังคงมีอยู่ ซึ่งได้บังคับใช้ในกรณีเกิด



กระทู้ล่าสุด

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่ ...

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่านั้น

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี ...

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี่ยวกับการก่อการร้าย

ถ้าพระเจ้าทรงปรานีทุก ...

ถ้าพระเจ้าทรงปรานีทุกสิ่งทำไมความชั่วจึงมีอยู่?

คำถามเกี่ยวกับเรื่องเ ...

คำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศและปัญหาความใกล้ชิดได้รับคำตอบ 1 (มุมมองอิสลาม)