การฟ้องร้องและการแสดงหลักฐาน
﴿الدعاوى والبينات﴾
มุหัมมัด บิน อิบรอฮีม อัตตุวัยญิรีย์
แปลโดย : ยูซุฟ อบูบักรฺ
ผู้ตรวจทาน : อัสรัน นิยมเดชา
ที่มา : หนังสือมุคตะศ็อร อัลฟิกฮิล อิสลามีย์
الشيخ محمد بن إبراهيم التويجري
ترجمة: يوسف أبو بكر
مراجعة: عصران إبراهيم
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
การฟ้องร้องและการแสดงหลักฐาน
การฟ้องร้อง (อัดดะอฺวา) หมายถึง การที่บุคคลได้อ้างสิทธิแห่งตนซึ่งอยู่ภายใต้การครอบครองของผู้อื่น
โจทก์ (อัลมุดดะอียฺ) หมายถึง ผู้ทวงถามสิทธิและเมื่อเขานิ่งเฉยไม่มีการร้องขอก็จะถูกปล่อยไป
จำเลย (อัลมุดดะอา อะลัยฮิ) หมายถึง ผู้ถูกร้องขอสิทธิคืนและแม้เขานิ่งเฉยก็จะไม่ถูกปล่อย
องค์ประกอบของการฟ้องร้อง
องค์ประกอบของการฟ้องร้องมี 3 ประการดังนี้ โจทก์ (ผู้ฟ้องร้อง) จำเลย (ผู้ถูกฟ้องร้อง) และเรื่องที่ฟ้องร้อง
หลักฐาน คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยืนยันเพื่อแสดงถึงสิทธิอันได้แก่พยานต่างๆ คำสาบาน ปัจจัยแวดล้อม หรือสิ่งอื่นๆ
เงื่อนไขของการฟ้องร้องที่ถูกต้องสมบูรณ์
การฟ้องร้องจะไม่นับว่าถูกต้องสมบูรณ์นอกจากต้องเป็นการฟ้องร้องที่มีความละเอียดชัดเจน อิสระ เนื่องจากการตัดสินเป็นผลมาจากความชัดเจนและต้องรู้ถึงเนื้อหาสาระของการฟ้องร้องและผู้ฟ้องร้องนั้นมีเจตจำนงค์อย่างชัดเจนที่จะฟ้องร้อง และเนื้อสาระที่จะฟ้องร้องนั้นจะต้องถึงวาระหากในกรณีที่เป็นหนี้สิน
ลักษณะของหลักฐาน
1. บางครั้งพยานจะประกอบด้วยผู้ชายสองคน บางครั้งผู้ชายหนึ่งคนและผู้หญิงสองคน บางครั้งมีพยานสี่คน บางครั้งมีสามคน และบางครั้งมีพยานหนึ่งคนพร้อมกับการกล่าวคำสาบาน ดังที่จะกล่าวในบทต่อไปอินชาอัลลอฮฺ
2. มีเงื่อนไขว่าพยานจะต้องมีความอะดาละฮฺบัยยินะฮฺ (เป็นมุสลิม มีสติสัมปชัญญะ บรรลุศาสนภาวะ ไม่กระทำความผิด) และผู้พิพากษาจะตัดสินไปตามพยาน หากผู้พิพากษารู้ว่าไม่เป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นที่อนุญาตให้เขาตัดสินตามนั้น และสำหรับพยานที่ไม่รู้ถึงความอะดาละฮฺของเขาก็ให้สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขา และหากคู่กรณีกล่าวหาว่าพยานโกหกก็ให้เขาหาหลักฐานมายืนยันและให้พิจารณาสามครั้ง หากเขาไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ก็ให้ดำเนินการตัดสินไปตามนั้น
บุคคลที่ต้องสงสัย (ถูกกล่าวหา) มี 3 ประเภท
1. กลุ่มบุคคลเป็นที่ยอมรับกันว่ามีความเคร่งครัดต่อศาสนาและเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺ ไม่เข้าข่ายบุคคลที่ต้องสงสัย ในกรณีนี้ไม่ต้องกักขัง หรือโบยตี และผู้ที่กล่าวหาเขาจะต้องถูกลงโทษ
2. ผู้ต้องสงสัยไม่เป็นที่รู้จักถึงสถานภาพของเขาว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว ในกรณีนี้ให้กักขังจนกระทั่งได้รู้จักถึงสถานภาพของเขา เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิด้านต่างๆ
3. บุคคลเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นอาชญากรเข้าข่ายเป็นผู้ต้องสงสัย บุคคลนี้ร้ายแรงกว่ากลุ่มที่สอง ในกรณีนี้ให้ทดสอบโดยการโบยและกักขังจนกระทั่งยอมรับ เพื่อเป็นการปกป้องรักษาสิทธิทางด้านต่างๆ
เมื่อผู้พิพากษารู้ถึงความถูกต้องของพยานหลักฐานก็ให้ตัดสินไปตามนั้นโดยไม่ต้องหาผู้รับรอง หากรู้ว่าพยานหลักฐานไม่มีความถูกต้องก็ยังไม่ตัดสิน และในกรณีที่ไม่รู้สถานภาพของพยานหลักฐานก็ขอให้โจทก์นำพยานที่เป็นผู้ชายมุสลิม มีสติสัมปชัญญะ บรรลุศาสนภาวะ ไม่กระทำความผิดมายืนยันสองคน
ลักษณะการตัดสินของผู้พิพากษา
การตัดสินของผู้พิพากษาจะต้องไม่เปลี่ยนจากสิ่งที่หะรอมเป็นสิ่งที่หะลาล และจากสิ่งที่หะลาลเป็นสิ่งหะรอม ดังนั้นหากพยานหลักฐานเป็นจริงก็ถือว่าเป็นสิทธิของผู้ที่กล่าวหา และหากพยานกล่าวเท็จ เช่น การยืนยันที่โกหก ให้ผู้พิพากษาตัดสินไม่อนุญาตแก่เขาเอาสิทธิอันนั้น
عن أم سلمة رضي الله عنها أن رسول الله ﷺ قال: «إنَّكُمْ تَـخْتَصِمُونَ إلَيَّ، وَلَعَلَّ بَـعْضَكُمْ أَلْـحَنَ بِحُجَّتِـهِ مِنْ بَـعْضٍ، فَمَنْ قَضَيْتُ لَـهُ بِحَقِّ أَخِيهِ شَيْئاً بِقَوْلِـهِ، فَإنَّمَا أَقْطَعُ لَـهُ قِطْعَةً مِنَ النَّارِ، فَلا يَأْخُذْهُ». متفق عليه
ความหมาย จากอุมมุสะละมะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮา แท้จริงท่านรอสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงพวกท่านได้นำข้อพิพาทมายังฉัน และเกรงว่าบางคนอาจจะนำหลักฐาน (ที่ทำให้คดีคลาดเคลื่อนได้) ดีกว่าอีกคน ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่ฉันได้ตัดสินให้เขาซึ่งเป็นสิทธิของผู้อื่นด้วยกับคำพูดของเขา แท้จริงฉันได้ตัดส่วนหนึ่งจากไฟนรกให้แก่เขา ดังนั้นเขาอย่าได้เอามัน” (บันทึกโดยอัลบุคอรียฺ หมายเลขหะดีษ 2680 สำนวนหะดีษเป็นของท่าน และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 1713)
ลักษณะการตัดสินกับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้า
อนุญาตให้ตัดสินกับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าเมื่อปรากฏว่าพยานหลักฐานนั้นเป็นจริง และสิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็เป็นสิทธิของมนุษย์ไม่ได้เป็นสิทธิของอัลลอฮฺ บุคคลที่ไม่อยู่ต่อหน้า คือ ผู้ที่อยู่ห่างไกลเป็นระยะทางที่อนุญาตให้ละหมาดย่อได้หรือไกลกว่านั้น และมีอุปสรรคที่จะมาร่วมในการตัดสิน และหากเขามาร่วมได้ก็ให้ดำเนินการตัดสินไปตามหลักฐาน
จะทำการฟ้องร้องที่ไหน
สามารถฟ้องร้องได้ในเมืองที่ผู้ถูกฟ้องอาศัยอยู่ เนื่องจากว่าพื้นฐานเดิมนั้นเขาคือผู้บริสุทธิ์ หากว่าเขาหลบหนีหรือขอเลื่อนเวลาหรือล่าช้าโดยไม่มีอุปสรรคก็ต้องมีการบังคับ
การยืนยันหลักฐาน การกล่าวหาว่าหลักฐานนั้นเป็นเท็จและจดหมาย จะไม่ถูกรับรองนอกจากคนที่มีความอาดิล (เป็นมุสลิม มีสติสัมปชัญญะ บรรลุศาสนภาวะ ไม่กระทำความผิด) สองคน การแปลของคนอาดิลหนึ่งคนถือว่าใช้ได้ และหากมีสองคนถือว่าเป็นการดียิ่ง
บทบัญญัติว่าด้วยสาส์นจากผู้พิพากษาถึงผู้พิพากษา
การส่งสาส์นจากผู้พิพากษาคนหนึ่งไปยังผู้พิพากษาอีกคนในทุกเรื่องราวที่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิทธิต่างๆ ระหว่างมนุษย์ อาทิ การซื้อขาย การเช่า พินัยกรรม การแต่งงาน การหย่าร้าง การทำร้ายร่างกาย การชดใช้ด้วยชีวิต (กิศอศ) ฯลฯ ถือว่าเป็นสิ่งที่ยืนยันได้
และไม่เป็นสมควรที่ผู้พิพากษาคนหนึ่งส่งสาส์นไปยังผู้พิพากษาอีกคนในเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิของอัลลอฮฺ อาทิ การผิดประเวณี การเสพของมึนเมา ฯลฯ เนื่องจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้วางอยู่บนพื้นฐานของความลับและความผิดจะตกไปเนื่องจากความคลุมเครือ
บทบัญญัติว่าด้วยผู้ถูกฟ้อง
ผู้ฟ้องร้องและผู้ถูกฟ้องร้องเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างอ้างถึงกรรมสิทธิ์ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะไม่ออกไปจาก 6 สภาพดังนี้
1. หากสิ่งนั้นอยู่ในการครอบครองของฝ่ายใด สิ่งนั้นก็เป็นสิทธิ์ของเขาพร้อมกับคำสาบาน เมื่ออีกฝ่ายไม่มีหลักฐาน ดังนั้นหากทั้งสองมีหลักฐาน ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองพร้อมกับให้กล่าวคำสาบาน
2. กรณีสิ่งนั้นอยู่ในการครอบครองของทั้งสองฝ่าย แต่ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยัน จะให้ ทั้งสองฝ่ายกล่าวคำสาบาน ต่อจากนั้นก็ให้แบ่งกันระหว่างทั่งสองฝ่าย
3. กรณีสิ่งนั้นไม่ได้อยู่ในการครอบครองของทั้งสองฝ่าย แต่อยู่ในมือผู้อื่นและไม่มีพยานหลักฐานมายืนยัน ดังนั้นให้ทั้งสองฝ่ายจับสลาก ผู้ใดที่จับสลากได้ให้เขากล่าวคำสาบานและเอาสิ่งนั้นไป
4. กรณีสิ่งนั้นไม่ได้อยู่ในการครอบครองของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และทั้งสองฝ่ายไม่มีหลักฐาน ดังนั้นให้ทั้งสองฝ่ายกล่าวคำสาบาน แล้วแบ่งไปฝ่ายละครึ่ง
5. กรณีแต่ละฝ่ายมีหลักฐาน แต่สิ่งนั้นไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ในกรณีนี้ให้แบ่งเท่ากัน
6. เมื่อทั้งสองฝ่ายได้พิพาทกันในเรื่องพาหนะหรือรถยนต์ ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งขับขี่อยู่ และอีกฝ่ายหนึ่งจับเชือก ในกรณีนี้เป็นของผู้ที่ขับขี่อยู่ โดยให้เขากล่าวสาบานหากไม่มีหลักฐานมายืนยัน
อันตรายจากการสาบานเท็จ
การสาบานเท็จเป็นสิ่งที่ต้องห้าม เป็นการเอาทรัพย์ผู้อื่นโดยมิชอบ เพราะท่านนบี อะลัยฮิศศอลาตุวัสลาม กล่าวว่า
«مَنْ اقْتَطَعَ حَقَّ امْرِئٍ مُسْلِـمٍ بِيَـمِينِـهِ فَقَدْ أَوْجَبَ الله لَـهُ النَّارَ، وَحَرَّمَ عَلَيْـهِ الجَنَّةَ» فَقَالَ لَـه رَجُلٌ: وَإنْ كَانَ شَيْئاً يَسِيراً يَا رَسُولَ الله قَالَ: «وَإنْ قَضِيباً مِنْ أَرَاكٍ». أخرجه مسلم
ความหมาย “ผู้ใดได้ลิดรอนสิทธิของมุสลิมโดยการสาบาน แท้จริงอัลลอฮฺให้เขาเข้านรก และห้ามเขาเข้าสวนสวรรค์” ครั้นแล้วชายคนหนึ่งก็กล่าวว่า “หากเป็นเพียงเล็กน้อยล่ะท่านรอสูลุลลอฮฺ” ท่านตอบว่า “แม้เพียงท่อนหนึ่งจากไม้หนามก็ตาม” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ 137)
บทบัญญัติที่ว่าด้วยการแบ่งกรรมสิทธิ์ด้านต่าง ๆ
ไม่อนุญาตให้แบ่งกรรมสิทธิ์ของสิ่งที่ไม่สามารถแบ่งปันได้ นอกจากมีอันตรายหรือเป็นการชดใช้คืน ยกเว้นการได้รับความยินยอมจากหุ้นส่วน และสำหรับสิ่งที่ไม่เสียหายในการแบ่ง และไม่ใช่เป็นการชดใช้ ดังนั้นเมื่อหุ้นส่วนบางคนขอให้มีการแบ่งอีกฝ่ายก็ต้องตอบรับและให้หุ้นส่วนแบ่งกัน หรือเลือกให้ผู้อื่นแบ่งให้ หรือให้คนที่มีความรู้แบ่งให้โดยมีค่าตอบแทนตามปริมาณกรรมสิทธิ์ ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้แบ่งหรือจับสลากก็ให้ไปแบ่งตามนั้น
ลักษณะการยืนยันของการฟ้องร้อง
การฟ้องร้องได้รับการยืนยันด้วยกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อไปนี้ คือ การรับสารภาพ การมีพยาน หรือการสาบาน
1. การรับสารภาพ
การรับสารภาพ หมายถึง บุคคลที่บรรลุศาสนภาวะ มิได้ถูกบังคับแสดงถึงสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ
บุคคลที่ถือว่าการรับสารภาพของเขาถูกต้อง การรับสารภาพถือว่าเป็นสิ่งถูกต้องกับทุกคนที่บรรลุศาสนภาวะ มีสติสัมปชัญญะ สมัครใจ (ไม่ถูกบังคับ) ไม่เป็นบุคคลที่ถูกอายัดทรัพย์ การรับสารภาพถือว่าเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักมากที่สุด
บทบัญญัติว่าด้วยการรับสารภาพ
1. การรับสารภาพเป็นวายิบ (จำเป็น) เมื่อเป็นหน้าที่ของเขา เช่น ซะกาต และเรื่องอื่นๆ หรือเมื่อเป็นสิทธิ์ของผู้อื่น เช่น หนี้สิน และเรื่องอื่นๆ
2. การรับสารภาพจากความผิดที่เป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺเป็นสิ่งที่อนุญาต เช่น การผิดประเวณี และการปกปิดเป็นความลับรวมถึงการเตาบะฮฺ (สารภาพต่ออัลลอฮฺ) จะเป็นการดียิ่ง
3. เมื่อการรับสารภาพใช้ได้และได้รับการรับรอง หากเกี่ยวกับสิทธิ์ของผู้อื่นก็ไม่เป็นที่อนุญาตให้กลับคำให้การและไม่เป็นที่ยอมรับ และหากว่าสิ่งนั้นเกี่ยวกับสิทธิของอัลลอฮฺ เช่น การผิดประเวณี เสพของมึนเมา ลักขโมย และอื่นๆ อนุญาตให้มีการกลับคำให้การ เพราะบทลงโทษนั้นจะถูกยกเลิกด้วยกับความคลุมเครือ
2. พยาน
พยาน หมายถึง คำบอกเล่าถึงสิ่งที่เขาทราบ เช่น ฉันยืนยัน ฉันเห็น ฉันได้ยิน และอื่นๆ อัลลอฮฺได้วางบทบัญญัติไว้เพื่อยืนยันถึงกรรมสิทธิ์ด้านต่าง ๆ
อัลลอฮฺตะอะลาตรัสว่า
ความหมาย “และจงให้มีพยานสองคนที่เป็นผู้เที่ยงธรรมในกลุ่มพวกเจ้า และจงให้การเป็นพยานนั้นเป็นไปเพื่ออัลลอฮฺ” (อัฏฏอลาค / 2)
เงื่อนไขต่างๆ ที่รับเป็นพยาน
โดยเป็นผู้ถูกอ้างถึงในเรื่องดังกล่าวพร้อมทั้งมีความสามารถ และจะต้องไม่มีผลอันตรายที่ตามมาต่อร่างกาย เกียรติยศ ทรัพย์สิน และครอบครัว
บทบัญญัติที่ว่าด้วยการเป็นพยาน
1. ภาระในการเป็นพยานเป็นฟัรฎูกิฟายะฮฺ (เป็นหน้าที่จำเป็นกับบุคคลเพียงกลุ่มหนึ่ง) เมื่อสิ่งนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของมนุษย์ และการทำหน้าที่เป็นพยานเป็นฟัรฎูอัยนฺ (เป็นหน้าที่ระดับปัจเจกบุคคล) หากสิ่งนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของมนุษย์ ดั่งคำตรัสของอัลลอฮฺที่ว่า
ความหมาย “และถ้าหากพวกเจ้าอยู่ในระหว่างการเดินทางและไม่พบผู้บันทึกคนใด ก็ให้มีสิ่งค้ำประกันยึดถือไว้” (อัลบะกอเราะฮฺ / 283)
2. การทำหน้าที่เป็นพยานในสิ่งที่เป็นสิทธิของอัลลอฮฺ เช่น พยานในการทำผิดประเวณี และอื่นๆ ดังนั้นการปฏิบัติมันถือเป็นสิ่งอนุญาตและการละทิ้งก็เป็นการดี เพราะจำเป็นต้องปิดเป็นความลับสำหรับมุสลิมนอกจากผู้นั้นทำผิดอย่างเปิดเผย ฉะนั้นการเป็นพยานให้จะเป็นการดีกว่าเพื่อที่จะได้ยับยั้งผู้ที่กระทำความชั่วและผู้ที่กระทำความเสียหาย
3. ไม่อนุญาตให้เป็นพยานนอกจากสิ่งที่รู้เห็น และความรู้ที่ว่าจะเกิดขึ้นโดยการเห็น การได้ยิน หรือเป็นข่าวที่แพร่หลาย เช่น การแต่งงาน การตาย และเรื่องในทำนองเดียวกัน