เงื่อนไขประการที่สอง : ต้องถูกต้องตามบทบัญญัติ
เงื่อนไขประการที่สองจะเกี่ยวข้องกับหลักการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติของจิตใจที่เรียกว่าการยึดมั่น หรือการปฏิบัติของอวัยวะภายนอกที่แสดงออกด้วยการกระทำ ซึ่งทั้งสองนี้จะรวมอยู่ในกระบวนการอิบาดะฮฺ กล่าวคือ อีมานคือการยอมรับด้วยจิตใจ การกล่าวด้วยวาจา และการแสดงออกด้วยการกระทำ ดังนั้น ทุกส่วนของอิบาดะฮฺจึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามสิ่งที่มีระบุอยู่ในบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ที่ทรงให้ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเป็นผู้นำมาเผยแผ่ให้กับมวลมนุษยชาติ
ต่อไปนี้ ผู้วิจัยจะขอนำเสนอหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นที่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ ทั้งจากอัลกุรอาน อัลหะดีษ และคำกล่าวของบรรดาสะลัฟ ซึ่งทั้งหมดนั้นมีเป็นจำนวนมาก แต่ผู้วิจัยจะขอนำเสนอเฉพาะหลักฐานที่สำคัญ ดังนี้
หลักฐานจากอัลกุรอาน
หลักฐานจากอัลกุรอานที่ยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺ มีจำนวนมาก ที่สำคัญมีดังนี้
อัลลอฮฺตรัสว่า
«وَأَنَّ هَذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيمًا فَاتَّبِعُوهُ وَلا تَتَّبِعُوا السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَنْ سَبِيلِهِ ذَلِكُمْ وَصَّاكُمْ بِهِ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ»
ความว่า “และแท้จริง นี่คือเส้นทางของข้าอันเที่ยงตรง ดังนั้นพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และจงอย่าปฏิบัติตามเส้นทางอื่นๆ เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกจากทางของพระองค์ นั้นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง” (สูเราะฮฺอัลอันอาม อายะฮฺที่ 153)
อัลลอฮฺได้ตรัสอีกว่า
«الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الإسْلامَ دِينًا»
ความว่า “วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ความครบถ้วนแก่พวกเจ้าซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาของพวกเจ้าแล้ว...” (ส่วนหนึ่งจากอายะฮฺที่ 3 สูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ)
อัลลอฮฺตรัสว่า
«قُلْ إِِنْ كُنْتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ»
ความว่า “จงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด) ว่า หากพวกท่านรักอัลลอฮฺ ก็จงปฏิบัติตามฉัน แล้วอัลลอฮฺจะทรงรักพวกท่าน...” (ส่วนหนึ่งจากอายะฮฺที่ 31 ซูเราะฮฺอาลิอิมรอน)
และอัลลอฮฺตรัสว่า
«وَمَنْ أَحْسَنُ دِينًا مِمَّنْ أَسْلَمَ وَجْهَهُ لِلَّهِ وَهُوَ مُحْسِنٌ وَاتَّبَعَ مِلَّةَ إِبْرَاهِيمَ حَنِيفًا»
ความว่า “และผู้ใดเล่าจะมีศาสนาดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺ และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดี และปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีมอย่างบริสุทธิ์” (ส่วนหนึ่งจากอายะฮฺที่ 125 สูเราะฮฺอันนิซาอฺ)
และอัลลอฮฺตรัสว่า
«فَإِمَّا يَأْتِيَنَّكُمْ مِنِّي هُدًى فَمَنِ اتَّبَعَ هُدَايَ فَلا يَضِلُّ وَلا يَشْقَى، وَمَنْ أَعْرَضَ عَنْ ذِكْرِي فَإِنَّ لَهُ مَعِيشَةً ضَنْكًا وَنَحْشُرُهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ أَعْمَى»
ความว่า “บางทีเมื่อมีคำแนะนำ (ฮิดายะฮฺ) จากข้ามายังพวกเจ้าแล้วผู้ใดปฏิบัติตามคำแนะนำ (ฮิดายะฮฺ) ของข้า เขาก็จะไม่หลงผิด และจะไม่ได้รับความลำบาก และผู้ใดผินหลังจากการรำลึกถึงข้า แท้จริงสำหรับเขาคือการมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้น และเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺในสภาพของคนตาบอด” (ส่วนหนึ่งจากอายะฮฺที่ 123-124 สูเราะฮฺฏอฮา)
และอัลลอฮฺตรัสว่า
«قُلْ إِنَّمَا أَتَّبِعُ مَا يُوحَى إِلَيَّ مِنْ رَبِّي»
ความว่า “จงกล่าวเถิด (มูฮัมหมัด) ว่า แท้จริงฉันจะปฏิบัติตามเฉพาะสิ่งที่ถูกให้เป็นโองการแก่ฉันจากพระผู้เป็นเจ้าของฉัน...” (ส่วนหนึ่งจากอายะฮฺที่ 203 สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ)
อัลลอฮฺตรัสว่า
«اتَّبِعْ مَا أُوحِيَ إِلَيْكَ مِنْ رَبِّكَ لا إِلَهَ إِلا هُوَ وَأَعْرِضْ عَنِ الْمُشْرِكِينَ»
ความว่า “จงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้าเถิด ไม่มีผู้ใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆ นอกจากพระองค์เท่านั้น และเจ้าจงผินหลังให้แก่บรรดาผู้ตั้งภาคีเถิด” (สูเราะฮฺอัลอันอาม อายะฮฺที่ 106)
อัลลอฮฺตรัสว่า
«المص، كِتَابٌ أُنْزِلَ إِلَيْكَ فَلا يَكُنْ فِي صَدْرِكَ حَرَجٌ مِنْهُ لِتُنْذِرَ بِهِ وَذِكْرَى لِلْمُؤْمِنِينَ، اتَّبِعُوا مَا أُنْزِلَ إِلَيْكُمْ مِنْ رَبِّكُمْ وَلا تَتَّبِعُوا مِنْ دُونِهِ أَوْلِيَاءَ قَلِيلا مَا تَذَكَّرُونَ»
ความว่า “อะลิฟ ลาม มีม ศอด, คัมภีร์ฉบับหนึ่งซึ่งถูกประทานลงมาแก่เจ้า ดังนั้นจงอย่าให้ความอึดอัดเนื่องจากคัมภีร์นั้นมีอยู่ในหัวอกของเจ้า ทั้งนี้เพื่อเจ้าจะได้ใช้คัมภีร์นั้นตักเตือน (ผู้คน) และเพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย, พวกเจ้าจงปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่พวกเจ้าจากพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด และอย่าปฏิบัติตามบรรดาผู้คุ้มครองใดๆ อื่นจากพระองค์ ส่วนน้อยจากพวกเจ้าเท่านั้นที่จะรำลึก” (สูเราะฮฺอัลอะอฺรอฟ อายะฮฺที่ 1-3)
หลักฐานจากอัลหะดีษ
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
«تَرَكْتُ فِيكُمْ أَمْرَيْنِ لَنْ تَضِلُّوا مَا تَمَسَّكْتُمْ بِهِمَا كِتَابَ اللَّهِ وَسُنَّةَ نَبِيِّهِ»[xii]
ความว่า “ฉันได้ทิ้งไว้สำหรับพวกท่านสองประการ ซึ่งถ้าพวกท่านยึดมันไว้ให้มั่น (ในบางสำนวนใช้คำว่า กัดมันด้วยฟันกราม) แล้วจะไม่หลงทาง คือ กิตาบุลลอฮฺ(อัลกุรอาน) และแบบฉบับนบีของพระองค์”
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวคุตบะฮฺในวันอีด ซึ่งตอนหนึ่งท่านได้กล่าวว่า
«أَمَّا بَعْدُ فَإِنَّ خَيْرَ الْحَدِيثِ كِتَابُ اللَّهِ، وَخَيْرَ الْهُدَى هُدَى مُحَمَّدٍ، وَشَرَّ الأُمُورِ مُحْدَثَاتُهَا، وَكُلَّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ» وفي رواية النسائي : «وَكُلَّ ضَلاَلَةٍ فِي النَّارِ»[xiii]
ความว่า “อนึ่ง ดังนั้น แท้จริงคำกล่าวที่ประเสริฐที่สุดก็คือ อัลกุรอาน และทางนำที่ดีที่สุดคือทางนำของมูฮัมหมัด และการงานต่าง ๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่นั้นเป็นสิ่งที่ชั่วช้า และทุก ๆ อุตรินั้นเป็นการหลงผิด” และในสำนวนของนะสาอีย์เพิ่มคำว่า “และทุกๆ การหลงผิดนั้นคือการลงนรก”
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวเกี่ยวกับผู้ที่อุตริสิ่งใดขึ้นในศาสนาว่า
«مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ»[xiv]
ความว่า “ผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งในกิจการศาสนาของพวกเรา ซึ่งเราไม่ได้สั่ง ดังนั้น สิ่งนั้นจะถูกผลักไส”
«مَنْ عَمِلَ عَمَلاً لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ»[xv]
ความว่า “ผู้ใดกระทำกิจการใดกิจการหนึ่ง ซึ่งไม่มีระบุในคำสั่งของเรา ดังนั้นกิจการนั้นจะถูกผลักไส”
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวเกี่ยวกับผู้ที่แสวงหาแนวทางใหม่จากอิสลามว่า
«مَنْ رَغِبَ عَنْ سُنَّتِي فَلَيْسَ مِنِّي»[xvi]
ความว่า “ผู้ใดรังเกียจแนวทางของฉัน ดังนั้นเขาไม่ใช่พวกของฉัน”
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กำชับอุมมะฮฺ (ประชาชาติ) ของท่านไม่ให้มีการเพิ่มกิจการต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาหลังจากที่ท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยท่านกล่าวว่า
«لَقَدْ تَرَكْتُكُمْ عَلَى مِثْلِ الْبَيْضَاءِ، لَيْلُهَا كَنَهَارِهَا لاَ يَزِيْغُ بَعْدِي عَنْهَا إِلاَّ هَالِكٌ»[xvii]
ความว่า “แท้จริงฉันได้ทิ้ง (คำสอนของฉัน) ไว้กับพวกท่านเสมือนแสงสว่าง ซึ่งกลางคืนของมัน (จะสว่างไสวและชัดเจน) เหมือนกับกลางวัน จะไม่ผู้ใดที่เบี่ยงเบนออกจากมันหลังจากที่ฉันเสียชีวิตไปแล้ว เว้นแต่เขาเป็นผู้ที่พินาศ”
จากบรรดาหะดีษต่างๆ ข้างต้น ชี้ให้เห็นว่าท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ให้ความสำคัญกับบทบัญญัติของอัลลอฮฺที่ท่านได้นำมาเผยแผ่ให้กับมวลมนุษย์ ซึ่งเป็นแบบฉบับอันสมบูรณ์และสูงส่งยิ่งสำหรับมุสลิมใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต โดยท่านได้กำชับให้มุสลิมยึดมั่นกับสองสิ่ง นั่นคือ อัลกุรอานและอัสสุนนะฮฺหรือแบบฉบับของท่านศาสนทูต ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในบางสำนวนของหะดีษจะใช้คำว่า “กัดมันด้วยฟันกราม” เพื่อเป็นการสั่งกำชับว่า ต้องยึดมั่นกับทั้งสองสิ่งอย่างเหนียวแน่นและจริงจังที่สุด
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ยังชี้ให้เห็นว่า ไม่มีคำพูดใดจะสัจจริงและดียิ่งกว่าคำตรัสของอัลลอฮฺ นั้นก็คือ อัลกุรอาน และไม่มีทางนำใดจะเที่ยงตรง และถูกต้องเท่ากับทางนำของท่านมูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งเป็นเราะสูลของอัลลอฮฺ ดังนั้นจำเป็นที่มุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จะแสวงหาทางนำอื่นจากนี้มิได้ และห้ามมิให้ผู้ใดอุตริสิ่งใดขึ้นในศาสนาหลังจากที่ท่านศาสนทูตเสียชีวิตไปแล้ว เพราะโดยหลักการแล้ว ถือว่าการอุตรินั้นเป็นสิ่งที่ชั่วช้า ซึ่งสิ่งที่ชั่วช้านั้นจะนำมาซึ่งความหลงผิด และความหลงผิดนี้เองที่จะนำพาไปสู่หนทางที่จะทำให้ตกอยู่ในนรก
หลักฐานจากบรรดาสะลัฟ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าคำ กล่าวของบรรดาสะลัฟนั้นมีมากมาย ซึ่งผู้วิจัยขอหยิบยกมาเพียงที่สำคัญดังนี้
อบูบักร์ อัศศิดดีก[xviii] ได้กล่าวบนมินบัร หลังจากที่บรรดามุสลิมีนได้มาให้สัตยาบันกับท่านว่า “อนึ่ง อัลลอฮฺทรงเลือกสำหรับเราะสูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม สิ่งนั้นคือกิตาบุลลอฮฺ (อัลกุรอาน) ที่อัลลอฮฺทรงให้มันเป็นทางนำสำหรับเราะสูลของพวกท่าน ดังนั้นจงยึดมั่นกับมันแล้วท่านจะได้รับทางนำ เพราะแท้จริงอัลลอฮฺทรงให้ทางนำด้วยอัลกุรอานแก่เราะสูลของพระองค์แล้ว”[xix]
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ มัสอูด[xx] กล่าวว่า “แท้จริงเราเป็นผู้ปฏิบัติตาม มิใช่เป็นผู้ริเริ่ม และเราเป็นผู้ตามเราจะไม่อุตริ และเราจะไม่เป็นผู้ที่หลงทางจากสิ่งที่เรายึดมั่นด้วยกับคำสั่งนี้” (al-Lalaka’iy, n.d. :1/86)
อบู อัลอาลียะฮฺ[xxi] กล่าวว่า “พวกท่านจงเรียนรู้เกี่ยวกับอิสลาม เมื่อพวกท่านเรียนรู้มันก็จงอย่าแสวงหาแนวทางอื่นจากมัน และสำหรับพวกท่านคือแนวทางอันเที่ยงตรง ดังนั้นแท้จริงมันคืออิสลาม พวกท่านอย่าได้หันเหออกจากอิสลามคือไปทางซ้ายทีขวาที และสำหรับพวกท่านคือแนวทางของนบีของพวกท่านและเศาะหาบะฮฺของท่าน และท่านจงเกรงกลัวการปฏิบัติตามอารมณ์ ซึ่งมันจะทำให้มนุษย์ต้องเผชิญกับการเป็นศัตรูและความเกลียดชัง...” (al-Lalaka’iy, n.d. : 1/56 ; Ibn Waddah, 1402 : 32)
อับดุลลอฮฺ อิบนฺ อับบาส กล่าวว่า “ผู้ใดศึกษาอัลกุรอาน และปฏิบัติตามในสิ่งที่มีอยู่ในมัน อัลลอฮฺจะทรงชี้ทางนำสำหรับเขาจากการหลงผิดในโลกดุนยา และปกป้องเขาให้พ้นจากการลงโทษในวันกิยามะฮฺ” (al-Albani,1399 : 1/67)
มูฮัมหมัด อิบนฺ สีรีน[xxii] กล่าวว่า “พวกเขามีความเห็นว่าได้เดินอยู่ในหนทางซึ่งเหมือนกับได้ดำเนินอยู่ในแนวทางของสุนนะฮฺ” (al-Lalaka’iy, nd. : 1/67)
อุมัร อิบนฺ อัลดุลอะซีซ[xxiii] กล่าวว่า “ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งหลังจากที่ท่านนบีเสียชีวิต (เคาะลีฟะฮฺ) ได้วางแนวทางไว้หลายแนวทาง การยึดปฏิบัติตามอัลกุรอานของอัลลอฮฺ การภักดีต่อพระองค์ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ การเข้มแข็งในศาสนาของพระองค์ ไม่อนุญาตให้ผู้ใดจากสิ่งถูกสร้างทำการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขมัน และห้ามมิให้มองสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ขัดแย้งกับมัน ผู้ใดที่ได้รับทางนำจากมัน เขาคือผู้ได้รับทางนำ ผู้ใดได้รับการช่วยเหลือจากมันเขาก็เป็นผู้ได้รับการช่วยเหลือ และผู้ใดละทิ้งมันโดยปฏิบัติตามแนวทางอื่นจากแนวทางของบรรดาผู้ศรัทธา อัลลอฮฺจะทรงห่างไกลจากพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาห่างไกล และอัลลอฮฺจะทรงโยนพวกเขาในนรกญะฮันนัมซึ่งเป็นที่อาศัยที่ชั่วร้ายที่สุด” (Muhammad Ibn al-Husain, 1403 : 65 ; al-Lalaka’iy, n.d. : 1/94)
จากคำกล่าวของบรรดาสะลัฟที่กล่าวถึงเงื่อนไขของการรับการงานต่างๆ ในเรื่องของการปฏิบัติตามบทบัญญัติของศาสนาชี้ให้เห็นว่า ทุกๆกิจการจำเป็นต้องมาจากอัลกุรอานและอัสสุนนะฮฺของท่านศาสนทูต ซึ่งเป็นทางนำและแนวทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จทั้งโลกนี้และโลกหน้า
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับเงื่อนไขที่จะทำให้อัลลอฮฺทรงรับการปฏิบัติอามัลต่างๆ ทำให้เราทราบได้ว่าศาสนาอิสลามนั้นวางอยู่บนพื้นฐานที่สำคัญสองประการคือ
ประการที่หนึ่งคือ ต้องปฏิบัติภักดีต่ออัลลอฮฺ เพียงพระองค์เดียวโดยที่ไม่นำสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์
ประการที่สองคือ การปฏิบัติภักดีต่ออัลลอฮฺ จะต้องเป็นสิ่งที่ศาสนาบัญญัติได้ไว้เท่านั้น (Ibn Taymiah, n.d. : 1/189)
สิ่งสำคัญทั้งสองประการนี้มีความเกี่ยวพันกับการศรัทธาซึ่งเป็นรุก่นหรือเงื่อนไขประการแรกของศาสนา ดังที่ ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺได้กล่าวว่า “ศาสนาอิสลามนั้นตั้งอยู่บนหลักพื้นฐานสองประการที่จะยืนยันถึงการปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺและมูฮัมหมัดเป็นเราะสูลของพระองค์ ประการแรกคือ ห้ามมิให้นำสิ่งอื่นมาเป็นพระเจ้าพร้อมกับอัลลอฮฺ... และประการที่สองคือการภักดีต่อพระองค์ด้วยบทบัญญัติที่มาจากท่านเราะสูลของพระองค์..." (Ibn Taymiah, n.d. : 1/311, 1/333, 1/154, 3/124, 10/173, 10/213-217, 274, 11/617, 26/151-153)
สรุป
จากการนำเสนอข้อมูลเรื่อง จะทำอย่างไรให้อิบาดะฮฺถูกตอบรับ สามารถสรุปได้ว่าอิบาดะฮฺที่อัลลอฮฺจะทรงตอบรับจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขสองประการ คือ ประการที่หนึ่ง จะต้องมีความบริสุทธิ์ใจในการปฏิบัติ และประการที่สองจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติ (ตรงตามอัลกุรอานและสุนนะฮฺ) และจากสองประการดังกล่าวสามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้
เงื่อนไขของความบริสุทธิ์ใจในการปฏิบัติอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺ
อัลลอฮฺทรงใช้ให้บ่าวของพระองค์ปฏิบัติอิบาดะฮฺต่อพระองค์ด้วยความบริสุทธิ์ใจในทุกสิ่ง เพราะการมีเจตนาอันบริสุทธิ์เป็นหัวหน้าของกิจการงานต่างๆ หากจะถามว่าเหตุใดอัลลอฮฺ ถึงได้วางกฎเกณฑ์นี้ให้เป็นเงื่อนไขแรกในการตอบรับอิบาดะฮฺของมนุษย์ คำตอบคือ เมื่อมนุษย์ปฏิบัติกิจการใดๆโดยไม่ได้หวังว่าจะได้รับการตอบแทนจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียวแล้ว มนุษย์ก็จะปฏิบัติไปเพื่อให้มนุษย์ด้วยกันมองเห็น และเพื่อที่จะได้รับการสรรเสริญเยินยอจากคนรอบข้าง ด้วยเหตุนี้เขาก็จะรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นผู้ที่สูงศักดิ์ ควรค่าแก่การสรรเสริญ ทั้งๆที่ผู้ที่ควรค่าแก่การสรรเสริญที่สุดคืออัลลอฮฺ และหากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาก็จะคิดว่าตนเองนั้นเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ ความหยิ่งยโส ความทะนงตนก็จะมาอยู่ในตัวเขา หลังจากนั้นเขาก็จะเป็นผู้ที่ตั้งตนเองเป็นพระเจ้าโดยที่เขานั้นไม่รู้ตัว
เงื่อนไขในการปฏิบัติตามบทบัญญัติ
การปฏิบัติตามที่มีระบุในบทบัญญัติ ทั้งจากอัลกุรอาน และอัสสุนนะฮฺ เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่อัลลอฮฺจะพิจารณาตอบรับการปฏิบัติอิบาดะฮฺของบ่าวของพระองค์ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็คือ เหตุผลที่อัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ได้ตั้งกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติ ก็เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างประชาชาติของท่านกับบุคคลที่ยึดมั่นกับแนวทางอื่นๆที่มิใช่อิสลาม และหากไม่มีกฎเกณฑ์ดังกล่าว มนุษย์ก็จะประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่ตนเองคิดว่าดีมาปฏิบัติ ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นอาจทำลายตัวเขา และกลุ่มชนของเขาก็เป็นได้ ฉะนั้น การปฏิบัติตามบทบัญญัติจึงเป็นเงื่อนไขประการสำคัญสำหรับการตอบรับอิบาดะฮฺ
ดังนั้น เมื่อใดที่อิบาดะฮฺหรือการปฏิบัติใดก็ตามที่เป็นการภักดีต่ออัลลอฮฺสอดคล้องกับเงื่อนไขสองประการดังกล่าวข้างต้นแล้ว การกระทำนั้นจะเป็นที่ตอบรับของอัลลอฮฺ อินชาอัลลอฮฺ และเมื่อการงานของเขาถูกตอบรับจากอัลลอฮฺ เขาก็จะเป็นผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ทั้งในโลกดุนยาและอาคิเราะฮฺ และการตอบแทนสำหรับเขาตามที่พระองค์อัลลอฮฺได้ทรงสัญญาไว้ก็คือ สวนสวรรค์สถานที่พำนักที่ถาวรอันบรมสุข
เอกสารอ้างอิง
พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน
นักเรียนเก่าอาหรับ, สมาคม. 1419. พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานพร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย. มะดีนะฮฺ : ศูนย์กษัตริย์ฟะฮัด เพื่อการพิมพ์อัลกุรอาน.