เป้าหมายต่างๆ ของสูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์
ฟุอาด ซัยดาน
แปลโดย : แวมูฮัมหมัดซาบรี แวยะโก๊ะ
ตรวจทานโดย : ซุฟอัม อุษมาน
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
เป้าหมายต่างๆ ของสูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์
มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ การสถาพรอันประเสริฐและความศานติจงมีแด่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาเครือญาติตลอดจนบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านทั้งหลาย และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว โดยไม่มีการตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดคือบ่าวและศาสนทูตของพระองค์
เป้าหมายของสูเราะฮฺ
การผดุงความยุติธรรมและความเมตตาแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอทั้งหลาย
สูเราะฮฺอัล-บะเกาะเราะฮฺได้กำหนดวิถีทางที่จำเป็นแก่ผู้ที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงคัดเลือกให้เขาเป็นตัวแทนบนหน้าแผ่นดินนี้ต้องปฏิบัติตาม และสูเราะฮฺอาลิ อิมรอนก็ได้ให้การเน้นย้ำในประเด็นของการยืนหยัดบนวิถีทางดังกล่าว ส่วนการมาของสูเราะฮฺอัน-นิสาอ์นั้นก็เป็นการบ่งชี้แก่เราว่าการผดุงความยุติธรรมและความเมตตาแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอทั้งหลายนั้นถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการดำเนินตามวิถีทางนี้ โดยที่บรรดาอายะฮฺในสูเราะฮฺอัน-นิสาอ์นั้นได้กล่าวถึงประเภทต่างๆ ของบรรดาผู้ที่อ่อนแอ ในจำนวนนั้นคือ บรรดาเด็กกำพร้า ผู้หญิง ทาส ทาสี ชนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่ผู้ศรัทธาซึ่งได้อาศัยอยู่ร่วมกับบรรดาผู้ศรัทธาซึ่งพวกเขาได้รับความอธรรมจากผู้คนทั้งหลาย ดังนั้น การผดุงความยุติธรรมและความเมตตาต่อบรรดาผู้ที่อ่อนแอทั้งหลายนั้นคือพื้นฐานของการรับผิดชอบในการทำหน้าที่บนหน้าแผ่นดินนี้
การผดุงความยุติธรรมโดยเริ่มแรกนั้นต้องให้เกิดขึ้นในบ้านกับผู้หญิง ซึ่งหากมนุษย์ได้ผดุงความยุติธรรมกับภรรยาของเขา และให้ความเมตตาแก่นางแล้วไซร้ แน่นอนเขาย่อมมีความสามารถที่จะผดุงความยุติธรรมแก่ผู้คนอื่นๆ ในสังคมได้ ไม่ว่าระดับของชนชั้นในสังคมนั้นจะมีความแตกต่างกันอย่างไรก็ตามที ซึ่งอัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงประสงค์ที่จะเห็นความยุติธรรมในหมู่มนุษย์โดยเฉพาะกับผู้หญิง ก่อนที่จะมีการรับผิดชอบในการทำหน้าที่บนหน้าแผ่นดินนี้
สูเราะฮฺอาลิ อิมรอน ได้ปูทางเพื่อการเทิดเกียรติต่อผู้หญิงในเรื่องราวของภรรยาท่านอิมรอน และท่านหญิงมัรยัม อะลัยฮัสสลาม ซึ่งทั้งสองท่านนั้นคือตัวอย่างของการยืนหยัดบนหน้าแผ่นดินนี้ ก็เนื่องจากผู้หญิงนั้นเป็นแหล่งผลิตเหล่าบุรุษและอนุชนรุ่นต่างๆ ซึ่งแม่นั้นมีบทบาทในการอบรมสั่งสอนเด็กน้อยของประชาชาตินี้จนกระทั่งพวกเขาได้กลายเป็นชายชาตรี ส่วนการเรียกชื่อสูเราะฮฺนี้ด้วย “อัน-นิสาอ์” ก็เพื่อเป็นการเทิดเกียรติแก่พวกนางในบทบาทของพวกนางที่มีต่อประชาชาติอิสลามนั่นเอง
ซึ่งเราจะขอนำเสนออายะฮฺต่างๆ ในสูเราะฮฺอัน-นิสาอ์และความหมายของมัน โดยในแต่ละอายะฮฺของสูเราะฮฺนี้ก็จะมีเนื้อหาที่กล่าวถึงความยุติธรรมและความเมตตาอยู่
เริ่มต้นด้วยกับอายะฮฺแรกของสูเราะฮฺนี้ ซึ่งเป็นอายะฮฺที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้กล่าวถึงการสร้างสรรค์เราจากชีวิตหนึ่ง(และทรงบังเกิดจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ครองของเขา และทรงให้มีลูกหลานซึ่งมีทั้งชายและหญิงอย่างมากมาย -ผู้แปล-) ก็ในเมื่อดั้งเดิมของเรานั้นมาจากชีวิตเดียว แล้วทำไมเรายังมีความอธรรมซึ่งกันและกันอีก
ความว่า “มนุษยชาติทั้งหลาย ! จงยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้าที่ได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชีวิตหนึ่ง และได้ทรงบังเกิดจากชีวิตนั้นซึ่งคู่ครองของเขา และได้ทรงให้แพร่สะพัดไปจากทั้งสองนั้น ซึ่งบรรดาชายและบรรดาหญิงอันมากมาย และจงยำเกรงอัลลอฮฺที่ซึ่งพวกเจ้าต่างขอกันด้วยพระองค์ และพึงรักษาเครือญาติ แท้จริงอัลลอฮฺทรงสอดส่องดูพวกเจ้าอยู่เสมอ” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 1)
ประเภทต่างๆ ของผู้ที่อ่อนแอ
คือบรรดาที่เป็นเด็กกำพร้า ผู้หญิง ผู้ที่เบาปัญญา และอื่นๆ จากนี้ รวมทั้งได้ส่งเสริมให้ผดุงความยุติธรรมและความเมตตาแก่พวกเขาเหล่านั้น
หนึ่ง...
ความว่า “และจงให้แก่บรรดาเด็กกำพร้า ซึ่งทรัพย์สมบัติของพวกเขา และจงอย่าเปลี่ยนของเลวด้วยของดี และจงอย่ากินทรัพย์ของพวกเขาร่วมกับทรัพย์ของพวกเจ้า แท้จริงมันเป็นบาปอันใหญ่หลวง” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 2)
สอง...
ความว่า “และหากพวกเจ้าเกรงว่าจะไม่สามารถให้ความยุติธรรมในบรรดาเด็กกำพร้าได้ ก็จงแต่งงานกับผู้ที่ดีสำหรับพวกเจ้าในหมู่สตรี สองคน หรือสามคน หรือสี่คน แต่ถ้าพวกเจ้าเกรงว่าพวกเจ้าจะให้ความยุติธรรมไม่ได้ ก็จงมีแต่หญิงเดียว หรือไม่ก็หญิง(ทาส)ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครองอยู่ นั่นเป็นสิ่งที่ใกล้ยิ่งกว่าในการที่พวกเจ้าจะไม่ลำเอียง” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 3)
สาม...
ความว่า “และจงให้มะฮัรฺแก่บรรดาหญิง(ภรรยา)ทั้งหลายด้วยความเต็มใจ แต่ถ้านางเห็นชอบที่จะให้สิ่งหนึ่งแก่พวกเจ้าจากมะฮัรฺนั้นแล้ว ก็จงบริโภคสิ่งนั้นด้วยความเอร็ดอร่อยและโอชา” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 4)
สี่...
ความว่า “และจงอย่ามอบทรัพย์ของพวกเจ้าแก่บรรดาผู้ที่เบาปัญญา ซึ่งเป็นทรัพย์ที่อัลลอฮฺได้ทรงให้เป็นสิ่งค้ำจุนแก่พวกเจ้า และจงให้ปัจจัยยังชีพและเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาในทรัพย์นั้น และจงกล่าววาจาแก่พวกเขาอย่างดี” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 5)
ห้า...
ความว่า “และจงทดสอบบรรดาเด็กกำพร้าดู จนกระทั่งพวกเขาบรรลุวัยสมรส ถ้าพวกเจ้าเห็นว่าในหมู่พวกเขานั้นมีไหวพริบรู้ผิดรู้ถูกแล้ว ก็จงมอบทรัพย์ของพวกเขาให้แก่พวกเขาไป และจงอย่ากินทรัพย์นั้นโดยฟุ่มเฟือยและรีบเร่งให้ทันก่อนที่พวกเขาจะเติบโต และผู้ใดเป็นผู้มั่งมีก็จงงดเว้นเสีย และผู้ใดเป็นผู้ยากจนก็จงกินโดยชอบธรรม ครั้นเมื่อพวกเจ้าได้มอบทรัพย์ของพวกเขาให้แก่พวกเขาไปแล้ว ก็จงให้มีพยานยืนยันแก่พวกเขา และเพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสอบสวน” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 6)
หก...
ความว่า “และหากว่ามีบรรดาญาติที่ใกล้ชิด และบรรดาเด็กกำพร้า และบรรดาผู้ที่ขัดสนมาร่วมอยู่ด้วยในการแบ่งมรดก ก็จงปันส่วนหนึ่งจากสิ่งนั้นให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา และจงกล่าวแก่พวกเขาอย่างดี” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 8)
เจ็ด...
ความว่า “และพึงวิตกเถิด บรรดาผู้ที่หากพวกเขาละทิ้งลูกๆ ที่ยังอ่อนแออยู่ไว้เบื้องหลังของพวกเขา ซึ่งพวกเขากลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นแก่ลูกๆ ของพวกเขานั้น พวกเขาจงเกรงกลัวอัลลอฮฺเถิด และจงกล่าววาจาอย่างเที่ยงตรง” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 9)
เตือนสำทับแก่ผู้ที่อธรรมทั้งหลายถึงบทลงโทษของความอธรรมนั้น
ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้ที่กินทรัพย์ของบรรดาเด็กกำพร้าด้วยความอธรรมนั้น แท้จริงพวกเขากินไฟเข้าไปในท้องของพวกเขาต่างหากและพวกเขาก็จะเข้าไปสู่เปลวเพลิง” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 10)
บรรดาอายะฮฺที่กล่าวถึงทรัพย์มรดก และการจัดการแบ่งทรัพย์มรดกที่เป็นส่วนของลูกๆ บิดามารดา และสามีภรรยา ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพการณ์และการเสียชีวิตของแต่ละคนในหมู่พวกเขา
หนึ่ง...
ความว่า “อัลลอฮฺได้ทรงสั่งพวกเจ้าไว้ในลูกๆ ของพวกเจ้าว่า สำหรับเพศชายนั้นจะได้รับเท่ากับส่วนได้ของเพศหญิงสองคน แต่ถ้าลูกๆ เป็นหญิงเกินกว่าสองคน พวกนางก็จะได้สองในสามของสิ่งที่เขา ได้ทิ้งไว้ และถ้าลูกเป็นหญิงคนเดียว นางก็จะได้ครึ่งหนึ่ง และสำหรับบิดาและมารดาของเขานั้น แต่ละคนในทั้งสองนั้นจะได้หนึ่งในหกจากสิ่งที่เขาได้ทิ้งไว้หากเขามีบุตร แต่ถ้าเขาไม่มีบุตรและมีบิดามารดาของเขาเท่านั้นที่รับมรดกของเขาแล้ว มารดาของเขาก็ได้รับหนึ่งในสาม ถ้าเขามีพี่น้องหลายคน มารดาของเขาก็ได้รับหนึ่งในหก ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่เขาได้สั่งเสียมันไว้หรือหลังจากหนี้สิน บรรดาบิดาของพวกเจ้าและลูกๆ ของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าไม่รู้ดอกว่าฝ่ายไหนในพวกเขานั้นเป็นผู้ที่มีคุณประโยชน์แก่พวกเจ้าใกล้กว่ากัน ทั้งนี้เป็นบัญญัติที่มาจากอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 11)
สอง....
ความว่า “และสำหรับพวกเจ้านั้นจะได้รับครึ่งหนึ่งของสิ่งที่บรรดาภรรยาของพวกเจ้าได้ทิ้งไว้ หากมิได้ปรากฏว่าพวกนางมีบุตร แต้ถ้าพวกนางมีบุตรพวกเจ้าก็จะได้รับหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกนางได้สั่งเสียมันไว้ หรือหลังจากหนี้สิน และสำหรับพวกนางนั้นจะได้รับหนึ่งในสี่จากสิ่งที่พวกเจ้าได้ทิ้งไว้หากมิปรากฏว่าพวกเจ้ามีบุตร แต่ถ้าพวกเจ้ามีบุตรอยู่ด้วยพวกนางก็จะได้รับหนึ่งในแปดจากสิ่งที่พวกเจ้าทิ้งไว้ ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่พวกเจ้าสั่งเสียมันไว้ หรือหลังจากหนี้สิน และถ้ามีชายคนหนึ่งหรือหญิงคนหนึ่งถูกรับมรดก ในฐานะเป็นผู้ที่ไม่มีบิดาและบุตร แต่เขามีพี่ชายหรือน้องชายคนหนึ่ง หรือมีพี่สาวหรือน้องสาวคนหนึ่งแล้ว แต่ละคนจากสองคนนั้น จะได้รับหนึ่งในหก แต่ถ้าพี่น้องของเขามีมากกว่านั้น พวกเขาก็เป็นผู้รับร่วมกันในหนึ่งในสาม ทั้งนี้หลังจากพินัยกรรมที่ถูกสั่งเสียไว้หรือหลังจากหนี้สินโดยมิใช่สิ่งที่นำมาซึ่งผลร้ายใดๆ เป็นคำสั่งที่มาจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ผู้ทรงหนักแน่น” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 12)
สาธยายถึงอันตรายของการไร้ความยุติธรรม
ความว่า “และผู้ใดฝ่าฝืนอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ และละเมิดขอบเขตของพระองค์แล้วไซร้ พระองค์ก็จะทรงให้เขาเข้านรก โดยที่เขาจะอยู่ในนรกนั้นตลอดกาล และเขาจะได้รับการลงโทษที่ยังความอัปยศให้(แก่เขา)” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 13)
ข้อสั่งใช้ต่างๆ เพื่อมุ่งเน้นให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้หญิง
และส่งเสริมให้ใช้ชีวิตกับพวกนางด้วยดี โดยไม่สร้างความอธรรมแก่พวกนาง แบกรับความทุกข์ระทมของนาง อดทนต่อนาง มีความละเอียดอ่อนต่อจิตใจของนาง ทั้งนี้ก็เพื่อออกห่างจากการอธรรมและทำร้ายนาง โดยให้เริ่มต้นด้วยการใช้ชีวิตร่วมกับนางด้วยดี แล้วให้มีความอดทนต่อพวกนาง แต่หากท่านไม่พึงพอใจต่อพวกนางก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดที่จะหาคนอื่นมาแทนที่นาง(ด้วยการนิกาหฺใหม่) แต่ก็อย่าเอาทรัพย์สินของนางโดยไม่ชอบธรรมเป็นอันขาด และเพื่อให้รำลึกถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างกันและกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีคำว่า “أَفۡضَىٰ” หมายถึง “แนบกาย” ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายที่สวยงามยิ่งนัก และเพื่อให้ผู้ชายได้รำลึกว่าการที่พวกเขาได้รับอนุญาต(ให้ใช้ชีวิตและมีความสัมพันธ์)กับบรรดาผู้หญิงนั้นก็ด้วยกับคำมั่นสัญญาอันหนักแน่นบนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺและสุนนะฮฺของท่านศาสนทูตของพระองค์
หนึ่ง...
ความว่า “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ไม่อนุมัติแก่พวกเจ้าการที่พวกเจ้าจะเอาบรรดาหญิงเป็นมรดกด้วยการบังคับ และไม่อนุมัติเช่นเดียวกันการที่พวกเจ้าจะรังแกบรรดานางเหล่านั้นเพื่อพวกเจ้าจะเอาบางส่วนของสิ่งที่พวกเจ้าได้ให้แก่พวกนางกลับคืนมา นอกจากว่าพวกนางจะกระทำสิ่งลามกอันชัดแจ้งเท่านั้น และจงอยู่ร่วมกับพวกนางด้วยดี หากพวกเจ้าเกลียดพวกนาง ก็อาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้น อัลลอฮฺจะทรงให้มีความดีอันมากมายอยู่ในสิ่งนั้น” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 19)
สอง....
ความว่า “และหากพวกเจ้าต้องการเปลี่ยนคู่ครองคนหนึ่งแทนที่ของคู่ครองอีกคนหนึ่ง และพวกเจ้าได้ให้แก่นางหนึ่งในหมู่นางเหล่านั้นซึ่งทรัพย์อันมากมาย ก็จงอย่าได้เอาสิ่งใดจากทรัพย์นั้นคืน พวกเจ้าจะเอามันคืนด้วยการอุปโลกน์ความเท็จและการกระทำบาปอันชัดเจนกระนั้นหรือ” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 20)
สาม...
ความว่า “และพวกเจ้าจะเอามันคืนได้อย่างไร ทั้งๆ ที่บางคนของพวกเจ้าได้แนบกายกับอีกบางคนแล้ว และพวกนางก็ได้เอาคำมั่นสัญญาอันหนักแน่นจากพวกเจ้าแล้วด้วย” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 21)
การมุ่งเน้นให้มีความยุติธรรมต่อบรรดาทาสี
ในจำนวนความเมตตาของอัลลอฮฺ ตะอาลา นั้น คือการใช้คำว่า “أَهۡلِهِنَّ” (หมายถึงครอบครัวของพวกนาง) กับบรรดาทาสหญิง แทนที่จะใช้คำว่า “أَسْياَدِهِنَّ” (ผู้เป็นนายของพวกนาง) และได้ให้ข้อตักเตือนแก่สามีว่าอย่าได้เอาหญิงอื่นใดเป็นเพื่อนสนิทอีก เพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ใจแก่ภรรยา เนื่องจากจิตใจของผู้หญิงนั้นบอบบางยิ่งนัก(กับเรื่องนี้) และมันจะมีผลกระทบที่รุนแรงอย่างมาก
ความว่า “และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าไม่สามารถมีกำลังที่จะแต่งงานกับบรรดาหญิงอิสระที่มีศรัทธาได้ ก็จงแต่งงานกับทาสสาวของพวกเจ้าที่เป็นผู้ศรัทธาในหมู่ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ยิ่งกว่าถึงการศรัทธาของพวกเจ้า ระหว่างพวกเจ้ากลุ่มหนึ่งกับอีกกลุ่มหนึ่ง ดังนั้น จงแต่งงานกับพวกนางด้วยการอนุมัติจากผู้เป็นนายของพวกนาง และจงมอบสินตอบแทนแก่พวกนางโดยชอบธรรม ในฐานะที่พวกนางเป็นหญิงที่ได้รับการแต่งงานมิใช่เป็นหญิงที่ค้าประเวณี และไม่ใช่หญิงที่ยึดเอาผู้ชายเป็นเพื่อนสนิท เมื่อพวกนางได้รับการแต่งงานแล้ว หากพวกนางกระทำความชั่ว พวกนางก็จะได้รับโทษครึ่งหนึ่งจากโทษที่บรรดาหญิงอิสระได้รับ นั่นสำหรับผู้คนในหมู่พวกเจ้าที่กลัวการทำชั่ว และการที่พวกเจ้าอดกลั้นไว้ได้นั้น เป็นการดีกว่าสำหรับพวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 25)
กล่าวถึงความเมตตาของอัลลอฮฺ สุบหานะฮุ วะตะอาลา ซึ่งมันกว้างขวางเหนือสิ่งใด
หนึ่ง...
ความว่า “อัลลอฮฺ ทรงปรารถนาที่จะแจกแจงแก่พวกเจ้า และแนะนำพวกเจ้าซึ่งแนวทางต่างๆ ของบรรดาผู้ที่มาก่อนหน้าพวกเจ้า และพระองค์ประสงค์ที่จะอภัยโทษให้แก่พวกเจ้า และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้และเป็นผู้ทรงปรีชาญาณ” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 26)
สอง...
ความว่า “และอัลลอฮฺ ทรงปรารถนาที่จะอภัยโทษให้แก่พวกเจ้า ในขณะที่บรรดาผู้ปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำนั้นปรารถนาที่จะให้พวกเจ้าเอนเอียงออกไปอย่างมากมาย” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 27)
สาม...
ความว่า “อัลลอฮฺ ทรงปรารถนาที่จะผ่อนผันให้แก่พวกเจ้า ซึ่งมนุษย์นั้นถูกบังเกิดขึ้นในสภาพที่อ่อนแอยิ่ง” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 28)
ให้ความยุติธรรมต่อชีวิตและทรัพย์สิน
ความว่า “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงอย่ากินทรัพย์ของพวกเจ้า ในระหว่างพวกเจ้ากันเองโดยมิชอบ นอกจากมันจะเป็นการค้าขายที่เกิดจากความพอใจในหมู่พวกเจ้า และจงอย่าฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเมตตาต่อพวกเจ้าเสมอ” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 29)
กฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อดำรงความยุติธรรมให้เกิดขึ้นภายในครอบครัว
พร้อมๆ กับข้อสั่งใช้ให้มีความยุติธรรมนั้น ได้มีการควบคุมอย่างรัดกุมหนักแน่นขึ้นด้วยการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ เพื่อให้สามารถดำรงคำสั่งใช้ต่างๆ ได้ โดยไม่ละเมิดขอบเขตที่อนุญาตให้ปฏิบัติ ดังในอายะฮฺนี้
ความว่า “บรรดาชายนั้น คือผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดูบรรดาหญิง เนื่องด้วยการที่อัลลอฮฺได้ทรงให้บางคนของพวกเขาเหนือกว่าอีกบางคน และด้วยการที่พวกเขาได้จ่ายไปจากทรัพย์ของพวกเขา บรรดากุลสตรีนั้นคือผู้ที่ภักดี ผู้รักษาทุกสิ่งทุกอย่างเมื่ออยู่ลับหลังสามี ด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺทรงรักษาไว้ และบรรดาหญิงที่พวกเจ้าหวั่นเกรงในความดื้อดึงของนางนั้น ก็จงกล่าวตักเตือนนางและทอดทิ้งนางไว้แต่ลำพังบนที่นอน และจงโบยพวกนาง แต่ถ้านางเชื่อฟังพวกเจ้าแล้ว ก็จงอย่าหาทางเอาเรื่องแก่นาง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงสูงส่งผู้ทรงเกรียงไกร” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 34)
ซึ่งการลำดับกฎเกณฑ์ต่างๆ มีความชัดเจนเป็นอย่างยิ่งในอายะฮฺนี้ โดยในอันดับแรกให้เริ่มต้นด้วยการกล่าวตักเตือน หลังจากนั้นก็ให้ทอดทิ้งนางไว้แต่ลำพังในที่นอน และสุดท้ายคือการเฆี่ยนหรือโบยเพื่อตักเตือน(ซึ่งต้องโบยเพียงเล็กน้อยมิให้เกิดบาดแผล มิใช่โบยเพื่อความสาใจหรือระบายแค้น) ซึ่งการเฆี่ยนนั้นมาในกรณีของความดื้อดึง และเป็นการมาในลำดับสุดท้าย มันเป็นการมาหลังจากการกล่าวตักเตือน การทอดทิ้งนางไว้แต่ลำพัง ซึ่งหากขั้นตอนทั้งหมดไม่ก่อประโยชน์ใดๆ เลยก็ให้หย่ากับนางได้ และหวังว่าอัลลอฮฺจะทรงเปลี่ยนหญิงอื่นให้แก่เขาที่ดีกว่านาง
ความยุติธรรมในสังคมโดยรวม
ความว่า “และจงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด และอย่าให้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นภาคีกับพระองค์ และจงทำดีต่อผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองและต่อผู้เป็นญาติที่ใกล้ชิด และเด็กกำพร้าและผู้ขัดสน และเพื่อนบ้านใกล้เคียงและเพื่อนที่ห่างไกล และเพื่อนเคียงข้าง และผู้เดินทาง และผู้ที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชอบผู้ยิ่งยโส ผู้โอ้อวด” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 36)
เราจะสังเกตได้ว่าในอายะฮฺอันทรงเกียรตินี้ได้ระบุถึงประเภทต่างๆของผู้ที่อ่อนแออย่างหลากหลายทีเดียว
อุปสรรคต่างๆ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการผดุงความยุติธรรมและความเมตตาแก่ผู้ที่อ่อนแอ
ในจำนวนนั้นคือ
ความตระหนี่ถี่เหนี่ยว
ความว่า “(คนที่ยโสโอ้อวดดังกล่าวในอายะฮฺข้างต้นนั้น)คือบรรดาผู้ที่ตระหนี่ และใช้ผู้คนให้ตระหนี่ และปกปิดสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานให้แก่พวกเขาจากความกรุณาของพระองค์ และเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 37)
การโอ้อวด
ความว่า “และบรรดาผู้ที่บริจาคทรัพย์ของพวกเขาเพื่อโอ้อวดผู้คน และพวกเขาก็ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และไม่ศรัทธาต่อวันปรโลก ซึ่งผู้ใดที่มีชัยฏอนเป็นเพื่อนของเขาแล้วไซร้ มันก็ย่อมเป็นเพื่อนที่เลวที่สุดแล้ว” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 38)
อัลลอฮฺ วะตะอาลา ได้ปฏิบัติต่อเราด้วยความกรุณาก่อนความยุติธรรม
ความว่า “แท้จริง อัลลอฮฺจะไม่ทรงอธรรมแม้เพียงน้ำหนักเท่าผงธุลี และถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งอย่างใด พระองค์ก็จะทรงเพิ่มพูนความดีนั้นเป็นทวีคูณ และทรงประทานให้จากที่พระองค์ซึ่งรางวัลอันใหญ่หลวง” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 40)
ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ก็จะเป็นพยานถึงความยุติธรรมของเรา
ความว่า “แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า เมื่อเรานำพยานคนหนึ่งจากแต่ละประชาชาติมา และเราได้นำเจ้ามาเป็นพยานต่อชนเหล่านี้” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 41)
อายะฮฺที่อยู่ใจกลางของสูเราะฮฺ คือหัวใจของภาพลักษณ์ที่แสดงถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามสัญญา(อะมานะฮฺ)ที่ให้ไว้
ความว่า “แท้จริงอัลลอฮฺทรงใช้พวกเจ้าให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของของมัน และเมื่อพวกเจ้าตัดสินระหว่างผู้คน พวกเจ้าก็จะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม แท้จริง อัลลอฮฺทรงแนะนำพวกเจ้าด้วยสิ่งซึ่งดีจริงๆ แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินและเห็น” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 58)
เนื้อหาของสูเราะฮฺได้ดำเนินไปสู่เรื่องราวใหม่นั้นคือ การดิ้นรนต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิ์ของบรรดาผู้ที่อ่อนแอทั้งหลาย
ความว่า “ดังนั้น ขอให้บรรดาผู้ขายชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้ด้วยปรโลกได้สู้รบในทางของอัลลอฮฺเถิด และผู้ใดสู้รบในทางของอัลลอฮฺ และเขาถูกฆ่าหรือได้รับชัยชนะ เราก็จะให้รางวัลอันใหญ่หลวงแก่เขา มีเหตุใดเกิดขึ้นแก่พวกเจ้ากระนั้นหรือ? ที่พวกเจ้าไม่สู้รบในทางของอัลลอฮฺ ทั้งๆ ที่บรรดาผู้อ่อนแอ ไม่ว่าชายและหญิง และเด็กๆ ต่างกล่าวกันว่า โอ้พระเจ้าของเรา ! โปรดนำพวกเราออกไปจากเมืองนี้ ซึ่งชาวเมืองเป็นผู้ข่มเหงรังแก และโปรดให้มีขึ้นแก่พวกเราซึ่งผู้คุ้มครองคนหนึ่งจาก ณ ที่พระองค์ และโปรดให้มีขึ้นแก่พวกเราซึ่งผู้ช่วยเหลือคนหนึ่งจาก ณ ที่พระองค์ด้วยเถิด” (สูเราะฮฺอัน-นิสาอ์ : 74-75)