บทความ

การอะซานและอิกอมะฮฺ





﴿الأذان والإقامة﴾





ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ





2. การอะซานและการอิกอมะฮฺ





การอะซาน: เป็นการทำอิบาดะฮฺโดยการประกาศให้รู้ถึงการเข้าสู่เวลาละหมาดด้วยคำกล่าวที่เฉพาะ





เริ่มมีการบัญญัติการอะซานครั้งแรกนั้นในปีแรกของการฮิจญ์เราะฮฺ





วิทยปัญญาการบัญญัติการอะซาน





1 – การอะซานเป็นการประกาศให้รู้ถึงเวลาทำละหมาดแล้ว และยังหมายถึงการเรียก การเชิญชวน ให้ไปร่วมทำละหมาดในสถานที่เดียวกัน หรือละหมาดญะมาอะฮฺ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์อันมากมาย





2 – การอะซานเป็นการแจ้งเตือนต่อผู้ที่เผลอจากการละหมาด และเป็นการระวังเตือนต่อผู้ที่หลงลืมละหมาดเพื่อให้ทำการละหมาดเสีย ซึ่งเป็นนิอฺมัตที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งความใกล้ชิดระหว่างบ่าวกับอัลลอฮฺ และการอะซานนั้นเป็นการเรียกร้องสำหรับมุสลิมเพื่อไม่ให้พลาดนิอฺมัตอันนี้





การอิกอมะฮฺ เป็นการทำอิบาดะฮฺโดยการประกาศให้รู้ถึงการทำละหมาดแล้ว ด้วยคำกล่าวที่เฉพาะ





หุก่มการอะซานและอิกอมะฮฺ





การอะซานและอิกอมะฮฺ เป็นฟัรฎูกิฟายะฮฺต่อบรรดาผู้ชายเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเดินทางหรือไม่ ซึ่งการอะซานและอิกอมะฮฺนี้บัญญัติไว้เฉพาะสำหรับละหมาดห้าเวลาและละหมาดญุมุอะฮฺ(วันศุกร์)เท่านั้น





บรรดาผู้อะซานของท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ทั้งสี่ท่าน คือ





ท่านบิลาล อิบนุ เราะบาหฺ(เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) และท่านอัมรฺ อิบนุ อุมมิ มักตูม(เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) เป็นผู้อะซานที่มัสญิดนะบี ณ มะดีนะฮฺ ส่วนท่านสะอัด อัลก็อรฎ(เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) เป็นผู้อะซานที่มัสญิดกุบาอ์ และท่านอบู มะหฺซูเราะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ)เป็นผู้อะซานที่มัสญิดอัลหะรอม ณ นครมักกะฮฺ





และท่านอบู มะหฺซูเราะฮฺ นั้น ได้ตัรญีอฺในการอะซาน(การตัรญีอฺ หมายถึง การกล่าวคำปฏิญาณ อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ และ อัชฮะดุอันนะ มุหัมมะดัร รอซูลุลลอฮฺ ด้วยเสียงค่อย ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยเสียงดังในการอะซาน – บรรณาธิการ) และมีการกล่าวซ้ำสองครั้งในการอิกอมะฮฺ ส่วนท่านบิลาลนั้น ไม่ได้ตัรญีอฺในการอะซานและไม่มีการกล่าวซ้ำสองครั้งในการอิกอมะฮฺ





ความประเสริฐของการอะซาน





เป็นสิ่งที่สุนัตสำหรับผู้อะซานให้ขึ้นเสียงให้ดังเมื่อทำการอะซาน เพราะว่าไม่มีผู้ใดที่ได้ยินเสียงอะซานของเขา ไม่ว่าจะเป็นญินหรือมนุษย์หรือสิ่งใดก็ตาม เว้นแต่ผู้ได้ยินนั้นจะเป็นพยานให้เขาในวันกิยามะฮฺ ผู้อะซานจะได้รับการอภัยโทษเท่ากับระยะคลื่นเสียงของเขาไปถึง และเขาจะได้รับการรับรองจากผู้ที่ได้ยินเสียงของเขาไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต และเขาจะได้ผลบุญเหมือนกับผลบุญของผู้ที่มาละหมาดพร้อมกับเขา





1. รายงานจากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) ว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ได้กล่าวว่า





«لَوْ يَـعْلَـمُ النَّاسُ مَا فِي النِّدَاءِ وَالصَّفِّ الأَوَّلِ، ثُمَّ لَـمْ يَـجِدُوا إلَّا أَنْ يَسْتَـهِـمُوا عَلَيْـهِ لاسْتَـهَـمُوا»





ความว่า “หากผู้คนได้รับรู้ถึงผลบุญที่มีอยู่ในการอะซานและแถวแรกของการละหมาด แต่ไม่อาจไขว่คว้าสิ่งนั้นได้นอกจากต้องจับฉลากก่อน พวกเขาต้องแย่งกันจับฉลากแน่นอน” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ เลขที่ : 615 และมุสลิม เลขที่: 437 สำนวนนี้เป็นของมุสลิม)





2. รายงานจากมุอาวิยะฮฺ บิน อบู สุฟยาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่าฉันได้ยินท่าน เราะสูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)กล่าวว่า





«المُؤَذِّنُونَ أَطْوَلُ النَّاسِ أَعْنَاقاً يَومَ القِيَامَةِ»





ความว่า “บรรดาผู้อะซาน(มุอัซซิน)นั้น คือผู้ที่มีคอยาวกว่าผู้อื่นในวันกิยามะฮฺ(หมายถึงเป็นผู้ที่มีผลบุญมากที่สุดในวันกิยามะฮฺ – บรรณาธิการ)” (บันทึกโดยมุสลิม : 387)





ลักษณะการอะซานที่มีรายงานและปรากฏอยู่ในสุนนะฮฺ





ลักษณะแรก คือ คำอะซานของท่านบิลาล(เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) ซึ่งท่านใช้อะซานในสมัยท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) (เป็นหะดีษหะสัน บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 499 และอิบนุ มาญะฮฺ 706 ) ซึ่งมีทั้งหมด 15 ประโยค ดังนี้





อัลลอฮุอักบัรฺ (อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่)


    





اللهُ أَكْبَرُ





อัลลอฮุอักบัรฺ


    





اللهُ أَكْبَرُ





อัลลอฮุอักบัรฺ


    





اللهُ أَكْبَرُ





อัลลอฮุอักบัรฺ


    





اللهُ أَكْبَرُ





อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ





(ข้าปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)


    





أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله





อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ


    





أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله





อัชฮะดุอันนะ มุหัมมะดัร เราะซูลุลลอฮฺ





(ข้าปฏิญาณว่า มุหัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ)


    





أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله





อัชฮะดุอันนะ มุหัมมะดัร เราะซูลุลลอฮฺ


    





أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله





หัยยะ อะลัศ เศาะลาฮฺ (มาละหมาดกันเถิด)


    





حَيَّ عَلَى الصَّلَاةِ





หัยยะ อะลัศ เศาะลาฮฺ


    





حَيَّ عَلَى الصَّلَاةِ





หัยยะ อะลัล ฟะลาหฺ (มาสู่ความสำเร็จกันเถิด)


    





حَيَّ عَلَى الفَلَاحِ





หัยยะ อะลัล ฟะลาหฺ


    





حَيَّ عَلَى الفَلَاحِ





อัลลอฮุอักบัรฺ


    





اللهُ أَكْبَرُ





อัลลอฮุอักบัรฺ


    





اللهُ أَكْبَرُ





ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)


    





لا إلَـهَ إلَّا الله





ลักษณะที่สอง คือคำอะซานของท่านอบูมะหฺซูเราะฮฺ ซึ่งมีทั้งหมด 19 ประโยค คือนับตักบีรฺตอนต้น 4 ประโยค พร้อมเพิ่มการตัรญีอฺ คือ การกล่าว อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ และ อัชฮะดุอันนะ มุหัมมะดัร เราะซูลุลลอฮฺ ด้วยเสียงค่อยก่อนที่จะกล่าวอะซานสองประโยคนั้นด้วยเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง





รายงานจากท่านอบู มะหฺซูเราะฮฺ (เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ) กล่าวว่า





أَلقى عليَّ رسول الله صلى الله عليه وسلم التأذين هو بنفسه فقال: «قُلْ: الله أَكْبَرُ، الله أَكْبَرُ، الله أَكْبَرُ، الله أَكْبَرُ، أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله، أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله، أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله، أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله [مرتين، مرتين] قال: ثُمَّ ارْجِعْ فَمُدَّ مِنْ صَوْتِكَ: أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله، أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله، أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله، أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله، حَيَّ عَلَى الصَّلاةِ، حَيَّ عَلَى الصَّلاةِ، حَيَّ عَلَى الفَلاحِ، حَيَّ عَلَى الفَلاحِ، الله أَكْبَرُ، الله أَكْبَرُ، لا إلَـهَ إلَّا الله».





ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ได้สอนคำอะซานให้แก่ฉัน ด้วยตัวของท่านเอง ท่านสอนว่า จงท่านจงกล่าวว่า





อัลลอฮุอักบัรรุลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัรรุลลอฮุอักบัร





อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ





อัชฮะดุอันนะมุหัมมะดัร เราะสูลุลลอฮฺ อัชฮะดุอันนะมุหัมมะดัร เราะสูลุลลอฮฺ อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ อัชฮะดุอัลลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ





อัชฮะดุอันนะมุหัมมะดัร เราะสูลุลลอฮฺ อัชฮาดุอันนะมุหัมมะดัร เราะสูลุลลอฮฺ





หัยยะอะลัศเศาะลาฮฺ หัยยะอะลัศเศาะลาฮฺ





หัยยะอะลัลฟะลาหฺ หัยยะอะลัลฟะลาหฺ





อัลลอฮุอักบัรรุลลอฮุอักบัร





ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺ





(เป็นหะดีษเศาะฮีหฺที่บันทึกโดยอบูดาวูด หมายเลข 503 ซึ่งสำนวนนี้เป็นสำนวนของเขา และบันทึกโดยอัตติรมิซียฺ หมายเลข 192)





ลักษณะที่สาม คือคำอะซานของท่านอบู มะหฺซูเราะฮฺข้างต้น แต่มีตักบีรฺตอนต้นแค่สอง ประโยค พร้อมเพิ่มการตัรญีอฺ จึงมีทั้งหมด 17 ประโยค (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลข 379)





ลักษณะที่สี่ คือคำอะซานทุกประโยคให้กล่าวซ้ำสองครั้ง สองครั้ง เว้นเพียงประโยค ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ ในตอนท้ายให้กล่าวเพียงครั้งเดียว จึงมีทั้งหมด 13 ประโยค ทั้งนี้เนื่องจากหะดีษที่รายงานจากอิบนุ อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า





كَانَ الأَذَانُ عَلَى عَهْدِ رَسُولِ الله صلى الله عليه وسلم مَثْنَى مَثْنَى، وَالإقَامَةُ مَرَّةً مَرَّةً، إلَّا أَنَّكَ تَقُولُ: قَدْ قَامَتِ الصَّلاةُ، قَدْ قَامَتِ الصَّلاةُ





ความว่า “ลักษณะการอะซานในสมัยท่านเราะสูลุลลอฮฺ(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)นั้นจะกล่าวทีละสองครั้ง สองครั้ง และการอิกอมะฮฺนั้นจะกล่าวเพียงทีละหนึ่งครั้ง หนึ่งครั้ง นอกจากเมื่อท่านกล่าว ก็อดกอมะติศเศาะลาฮฺ ก็อดกอมะติศเศาะลาฮฺ” (เป็นหะดีษหะสันที่บันทึกโดยอบู ดาวูด หมายเลข 510 และบันทึกโดยอัน-นะสาอีย์ หมายเลข 628 ซึ่งสำนวนนี้เป็นสำนวนของเขา)





ตามสุนนะฮฺควรอะซานด้วยลักษณะที่กล่าวมาทั้งหมด บางครั้งใช้ลักษณะนี้ บางครั้งใช้ลักษณะนั้น หรือสถานที่หนึ่งใช้ลักษณะหนึ่ง อีกสถานที่หนึ่งใช้อีกลักษณะหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งสุนนะฮฺทุกลักษณะ และเป็นการฟื้นฟูสุนนะฮฺในทุกรูปแบบที่บัญญัติไว้ ตราบใดที่ไม่กลัวเกิดฟิตนะฮฺความวุ่นวาย





ให้ผู้อะซานเพิ่มประโยคในอะซานของละหมาดศุบฮฺ หลังจาก หัยยะอะลัลฟะลาหฺ ว่า "อัศเศาะลาตุค็อยรุมมินันเนาว์มฺ อัศเศาะลาตุค็อยรุมมินันเนาว์มฺ" ทั้งนี้ในทุกลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น





เงื่อนไขที่ทำให้การอะซานใช้ได้





คำกล่าวอะซานต้องตามลำดับและต่อเนื่อง ต้องอะซานหลังจากเข้าเวลาแล้ว มุอัซซินต้องเป็นมุสลิม ต้องเป็นชาย ต้องเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ ต้องเป็นผู้ที่มีสติปัญญาสมบูรณ์ ต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ต้องเป็นผู้ที่บรรลุศาสนภาวะหรือเด็กที่เริ่มเข้าสู่วัยที่สามารถแยกแยะได้(มุมัยยิซ) และต้องอะซานด้วยคำภาษาอาหรับดังที่รายงานมาในสุนนะฮฺ และการอิกอมะฮฺก็เช่นกัน





สิ่งที่สุนัตในการอะซาน





สุนัตให้กล่าวอะซานด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน สุนัตให้เปล่งเสียงให้ดัง สุนัตให้ผินหน้าและไหล่ ไปทางขวาในขณะที่กล่าวคำว่า “หัยยะอะลัศเศาะลาฮฺ” และให้ผินหน้าและไหล่ไปทางซ้าย ในขณะที่กล่าวคำว่า “หัยยะอะลัลฟะลาหฺ” และบางครั้งในคำหนึ่งๆ ในสองคำนั้นมีการผินหน้าไปทางขวาและซ้ายรวมกัน แต่ลักษณะแรกนั้นเป็นลักษณะที่ตามความหมายของสุนนะฮฺที่ชัดเจนกว่า และการผินหน้านี้เป็นสุนนะฮฺในการอะซาน ถึงแม้ว่าจะใช้ไมค์ก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากเป็นสิ่งที่ได้ถูกบัญญัติไว้





สุนัตสำหรับมุอัซซินนั้นควรเป็นคนที่มีเสียงไพเราะ ควรเป็นคนที่รู้เวลา ควรยืนผินหน้าไปทางกิบละฮฺควรอยู่ในสภาพที่ร่างกายสะอาดปราศจากซึ่งหะดัษเล็ก และหะดัษใหญ่ ควรเอานิ้วทั้งสองอุดหูทั้งสอง ในขณะที่กล่าวอะซาน และควรอะซานในที่ที่สูง





หุก่มการอะซานก่อนเข้าเวลา





ถือว่าใช้ไม่ได้และไม่อนุญาตให้มีการอะซานก่อนเข้าเวลาละหมาดในทุกเวลาของละหมาดห้าเวลา และสุนัตให้มีการอะซานก่อนเวลาฟัจญ์รฺ(ศุบหฺ)ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อกินสะหูรฺสำหรับผู้ที่จะถือศีลอด เพื่อเตรียมหยุดสำหรับผู้ที่ละหมาดสุนัตยามค่ำคืน เพื่อเป็นการปลุกให้ตื่นสำหรับผู้ที่นอนหลับ เพื่อเป็นการเตือนสำหรับผู้ที่ละหมาดตะหัจญุดให้ยุติการละหมาดด้วยการละหมาดวิติรฺ แต่เมื่อแสงอรุณปรากฏขึ้น ต้องอะซานอีกครั้งสำหรับการละหมาดศุบหฺ





สิ่งที่ควรกล่าวสำหรับผู้ที่ได้ยินเสียงอะซาน



กระทู้ล่าสุด

การฟ้องร้องและการแสดง ...

การฟ้องร้องและการแสดงหลักฐาน 2

การฟ้องร้องและการแสดง ...

การฟ้องร้องและการแสดงหลักฐาน 1