ข้อมูลโดยสังเขปของตำราหะดีษทั้งหก
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
ข้อมูลโดยสังเขปของตำราหะดีษทั้งหก
เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์
ชื่อผู้เขียน
ท่านคือ อบู อับดิลลาฮฺ มุหัมมัด บิน อิสมาอีล บิน อิบรอฮีม บิน อัล-มุฆีเราะฮฺ บิน บัรดิซบะฮฺ อัล-ญุอฺฟีย์ อัล-บุคอรีย์ เกิดที่เมืองบุคอรอ รัสเซีย เมื่อปี ฮ.ศ. 194 และเสียชีวิต เมื่อปี ฮ.ศ. 256 เมื่ออายุได้ 62 ปี
สาเหตุของการเขียนและชื่อเต็มของหนังสือ
อัล-บุคอรีย์เป็นคนแรกที่ได้คัดเลือกและรวบรวมหะดีษที่เศาะฮีหฺหรือถูกต้องเท่านั้นเขียนขึ้นเป็นตำรา ท่านได้ให้ความสำคัญกับหนังสือเล่มนี้มาก กว่าจะออกเป็นเล่มได้ท่านต้องทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นเวลาถึง 16 ปีเต็ม หะดีษที่ท่านได้รวบรวมไว้เป็นยอดหะดีษที่ได้กลั่นกรองและคัดเฟ้นจากหะดีษต่างๆ กว่า 60,000 หะดีษ เหตุผลหนึ่งที่อัล-บุคอรีย์มุ่งมั่นเขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมาเพราะท่านเห็นว่าตำราหะดีษที่ถูกเขียนขึ้นมาก่อนหน้าท่านนั้นเคล้าด้วยหะดีษเศาะฮีหฺ หะสัน และเฎาะอีฟ ซึ่งทำให้คนอ่านที่ไม่ใช่นักหะดีษไม่อาจแยกแยะได้ระหว่างหะดีษเหล่านั้น ท่านได้ตั้งชื่อหนังสือว่า "อัล-ญามิอฺ อัล-มุสนัด อัศ-เศาะฮีหฺ อัล-มุคตะศ็อรฺ มิน อุมูร เราะสูลิลลาฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม วะสุนะนิฮี วะ อัยยามิฮี" หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม "เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์"
ความสำคัญของหนังสือ
ดูจากเป้าหมายในการเขียนของอัล-บุคอรีย์แล้ว ไม่เป็นการแปลกเลยถ้าอัล-บุคอรีย์จะโด่งดังเนื่องจากหนังสืออัล-ญามิอุศเศาะฮีหฺเล่มนี้ของท่าน เพราะบรรดาอุลามาอ์ต่างมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า "หนังสืออัล-ญามิอุศเศาะฮีหฺเป็นหนังสือที่ถูกต้องมากที่สุดหลังจากอัลกุรอาน"
จำนวนหะดีษในเศาะฮีหฺบุคอรีย์
อิบนุศ เศาะลาหฺ กล่าวว่า จำนวนหะดีษในเศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์มีทั้งหมด 7,275 หะดีษ ส่วนหะดีษทีไม่ซ้ำกันมีจำนวนเพียง 4,000 หะดีษ
ข้อแม้และวิธีเขียนของบุคอรีย์
อัล-บุคอรีย์ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนถึงข้อแม้ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ แต่เราสามารถสัมผัสถึงข้อแม้ของท่านจากหลายๆด้าน อาทิเช่น จากการตั้งชื่อของหนังสือ จากการวิเคราะห์และติดตามการนำเสนอหะดีษของท่าน เป็นต้น ...
คำว่า "ญามิอฺ" ซึ่งแปลว่า "รวม" บ่งบอกว่าท่านไม่ได้เจาะจงเฉพาะหะดีษเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ท่านได้รวบรวมหะดีษที่เกี่ยวกับ หุก่มหรือบัญญัติศาสนา ฟะฎออีลหรือความประสริฐ ประวัติศาสตร์ มุอามะลาตหรือการสังคม การซื้อขาย อาดาบหรือจริยธรรม ฯลฯ
คำว่า "อัศ-เศาะฮีหฺ" บ่งบอกว่าทุกหะดีษที่ท่านได้บันทึกในหนังสือเล่มนี้ล้วนเป็นหะดีษที่เศาะฮีหฺและถูกต้องเท่านั้น
คำว่า "อัล-มุสนัด" บ่งบอกว่าหะดีษตามข้อแม้ของท่านนั้นต้องเป็นหะดีษที่มีสายรายงานที่ต่อเนื่องกันและไม่ขาดตอนเท่านั้น ส่วนหะดีษที่เราพบว่าค้านกับข้อแม้ดังกล่าวนั้นเป็นเพียงหะดีษที่ท่านใช้ประกอบเท่านั้น
คำว่า "อัล-มุคตะศ็อรฺ" ซึ่งแปลว่า ย่อ บ่งบอกว่าท่านได้คัดเลือกและย่อหะดีษต่างๆ ที่มีอยู่ให้เหลือเพียงไม่กี่พันหะดีษดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
คำว่า "มิน อุมูรฺ เราะสูลิลลาฮฺ...." หมายถึงจากส่วนหนึ่งของกิจการของท่านเราะสูล บ่งบอกว่าท่านไม่ได้เจาะจงเฉพาะหะดีษที่เป็นคำพูดของท่านเราะสูลเท่านั้นแต่จะรวมถึงการกระทำและกิจวัตรประจำวันของท่านด้วย
อีกข้อแม้หนึ่งที่ทำให้หนังสือเศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์โดดเด่นเหนือหนังสือเศาะฮีหฺอื่นๆ คือ อัล-บุคอรีย์ตั้งข้อแม้ว่าท่านจะไม่บันทึกหะดีษลงในหนังสือเล่มนี้นอกจากจะแน่ใจว่านักรายงานหะดีษในสายรายงานดังกล่าวเคยพบหน้าและติดต่อกันเท่านั้น
ในสายตาของท่านคนร่วมสมัยนั้นไม่ใช่ว่าจะได้พบหน้าและติดต่อกันเสมอไป ซึ่งเป็นช่องโหว่อย่างหนึ่งที่จำนำไปสู่การโกหกในการรายงานหะดีษได้ ทำให้สถานภาพของหะดีษนั้นตกไป แต่มันเป็นข้อแม้ที่หนักและลำบากมาก ดังนั้นอุละมาอ์หะดีษส่วนใหญ่(แม้แต่มุสลิมซึ่งเป็นศิษย์ของท่าน) จึงไม่เห็นด้วยกับข้อแม้ข้อนี้ของอัล-บุคอรีย์
การให้ความสำคัญของอุละมาอ์
เนื่องจากความประเสริฐอันล้นเหลือของหนังสือเล่มนี้ จึงทำให้บรรดาอุละมาอ์หลังจากท่านได้ให้ความสำคัญกับมันอย่างมาก บางท่านทำการคัดย่อเอาเฉพาะเนื้อหาของหะดีษเท่านั้นโดยตัดสายรายงานออกดังที่อัล-มุนซิรีย์ได้ทำไว้ บางท่านทำการเพิ่มเติมหะดีษเศาะฮีหฺที่คิดว่าอยู่ในข้อแม้ของอัล-บุคอรีย์แต่ท่านไม่ได้ใส่ไว้ในหนังสือของท่านเล่มนี้ ดังที่อัล-หากิมได้เขียนไว้ และหลายท่านทำการอธิบายอย่างยาวเหยียดถึงความหมายของหะดีษและบทเรียนต่างๆ ดังที่อิบนุ หะญัรฺได้ทำไว้ในหนังสือ "ฟัตหุลบารีย์"ของท่าน ซึ่งเป็นการอธิบายที่สมบูรณ์และครอบคลุมที่สุดจนมีการกล่าวขานว่า "ไม่มีการฮิจญ์เราะฮฺอีกแล้วหลังจากฟัตฮฺ" (หมายความว่า ไม่ต้องหาหนังสือเล่มอื่นอีกแล้วถ้ามีฟัตหุลบารีย์อยู่) วัลลอฮุ อะอฺลัม ..
เศาะฮีหฺ มุสลิม
ชื่อผู้แต่ง
ท่านคือ อิมาม อบุลหะสัน มุสลิม บิน อัล-หัจญ์ญาจญ์ บิน มุสลิม บิน วัรดฺ บิน เกาชาซฺ อัล-กุชัยรีย์ อัน-นัยสาบูรีย์ เกิดที่เมืองนัยสาบูรฺ เมื่อปี ฮ.ศ. 204 และเสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ. 261 เมื่ออายุได้ 57 ปี
สาเหตุของการเขียนและชื่อหนังสือ
อิมามมุสลิมได้กล่าวถึงแรงดลใจที่ทำให้ท่านต้องเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาในบทนำของท่านพอจะสรุปความได้ว่า มีคนมาร้องขอให้ท่านทำการคัดเฟ้นหะดีษที่ถูกต้องและไม่ซ้ำกันที่รายงานมาจากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม เพื่อความสะดวกในการศึกษาและง่ายต่อการเข้าใจและนำไปปฏิบัติ ดังนั้นท่านจึงได้ทุ่มชีวิตของท่านทำการคัดเฟ้นจากจำนวนหะดีษทั้งสิ้น 300,000 หะดีษ และบันทึกหะดีษดังกล่าวไว้เป็นเล่มเป็นเวลาถึง 15 ปี เต็ม หลังจากนั้นท่านได้เสนอให้เชค อบู ซุรอะฮฺ อัร-รอซีย์ ได้ตรวจทาน และทุกครั้งที่ อบู ซุรอะฮฺ กล่าวว่าหะดีษใดมีตำหนิท่านก็จะลบหะดีษนั้นทิ้งทันที จนกระทั่งท่านแน่ใจว่าหะดีษต่างๆ ที่เหลือเป็นหะดีษที่ถูกต้องทั้งสิ้น และท่านได้ตั้งชื่อหนังสือของท่านว่า "อัล-ญามิอฺ อัศ-เศาะฮีหฺ" หรือเป็นที่รู้จักกันในนามของ "เศาะฮีหฺ มุสลิม" นั่นเอง
ความสำคัญของหนังสือ
อุละมาอ์ส่วนใหญ่มีมติเห็นพ้องกันว่า หนังสือเศาะฮีหฺมุสลิมเป็นหนังสือที่ถูกต้องที่สุด รองลงมาจากหนังสือเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ มีเพียงอุละมาอ์ส่วนน้อยเท่านั้นที่เห็นว่า หนังสือเศาะฮีหฺมุสลิมเป็นหนังสือที่ถูกต้องที่สุดเหนือเศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์ ดังที่ท่านอบู อะลี อัน-นัยสาบูรีย์กล่าวไว้ว่า "ไม่มีหนังสือเกี่ยวกับวิชาหะดีษใต้แผ่นฟ้านี้ที่ถูกต้องมากกว่าหนังสือของมุสลิม" (ดู ญามิอุลอุศูล 1/188)
จำนวนหะดีษในเศาะฮีหฺมุสลิม
ยังไม่มีผู้ศึกษาคนใดยืนยันอย่างแน่นอนว่าจำนวนหะดีษในเศาะฮีหฺมุสลิมมีเท่าใด แต่จากการนับจำนวนหะดีษในหนังสือ มิฟตาหฺ กุนูซฺ อัส-สุนนะฮฺ พบว่า หะดีษในเศาะฮีหฺมุสลิมมีทั้งหมดประมาณ 7,581 หะดีษ และในหนังสือเศาะฮีหฺมุสลิมที่ศึกษา(ตะห์กีก)โดย เชค มุหัมมัด ฟุอาด อับดุลบากีย์ พบว่าจำนวนหะดีษที่ไม่ซ้ำกันในเศาะฮีหฺมุสลิมมีทั้งสิ้นประมาณ 3,033 หะดีษ วัลลอฮุ อะอฺลัม
ข้อแม้และวิธีการเขียนของมุสลิม
บางท่านอาจจะสงสัยว่า ในเมื่อ อัล-บุคอรีย์ ซึ่งเป็นเชคของมุสลิมได้เขียนหนังสือเศาะฮีหฺขึ้นมาแล้วและอุละมาอ์ต่างยอมรับถึงความถูกต้องของหนังสือเล่มนั้น ซึ่งในจำนวนอุละมาอ์ดังกล่าวมีมุสลิมรวมอยู่ด้วย แล้วทำไมมุสลิมจึงต้องรวบรวมหะดีษเศาะฮีหฺขึ้นมาอีก ? คิดว่าข้อแม้และวิธีการรวบรวมหะดีษของมุสลิมต่อไปนี้คงจะเป็นคำตอบได้ดีต่อข้อสงสัยดังกล่าว
1. ท่านเน้นความละเอียดอ่อนในด้านการรายงานหะดีษ โดยท่านจะแยกแยะระหว่างหะดีษที่รายงานโดยใช้สำนวน อัคบะเราะนา กับ หัดดะษะนา และจะยึดมั่นกับตัวบทที่ได้รับรายงานมาอย่างเคร่งครัด จากจุดนี้ทำให้อิมามนะวะวีย์ชี้ว่าเป็นข้อแม้ที่เหนือกว่าข้อแม้ของบุคอรีย์
2. ท่านเลือกบันทึกหะดีษที่มีสายรายงานมาถึงท่านจากสองสายรายงานขึ้นไปเท่านั้นตลอดสายรายงาน โดยท่านจะยึดกับปฏิบัติตามหะดีษที่เกี่ยวกับข้อแม้ของการเป็นพยานบุคคลซึ่งต้องมีอย่างน้อยสองคน ซึ่งสิ่งดังกล่าวไม่ใช่ข้อแม้ของบุคอรีย์
3. ท่านได้รวบรวมตัวบทหะดีษของแต่ละสายรายงานมาไว้ที่เดียวกันหมดโดยปราศจากการตัดทอนตามบท(บาบ) หรือหัวข้อต่างๆ เช่นที่อัล-บุคอรีย์ได้ตัดทอนและตั้งหัวข้อ
4. ก่อนการบันทึกท่านจะแบ่งหะดีษและนักรายงานออกเป็นสามระดับ คือ
4.1 หะดีษที่มาจากนักรายงานที่จดจำอย่างแม่นยำ
4.2 หะดีษที่มาจากนักรายงานที่มีความจำปานกลาง
4.3 หะดีษที่มาจากนักรายงานที่อ่อนและถูกทิ้ง แล้วท่านก็จะบันทึกหะดีษที่มาจากนักรายงานที่แม่นยำไว้เป็นบรรทัดฐาน ตามด้วยหะดีษที่มาจากนักรายงานที่มีความจำปานกลาง ส่วนหะดีษที่มาจากนักรายงานที่อ่อนท่านก็คัดออก
5. ท่านเห็นว่าการรายงานจากนักรายงานที่อยู่ร่วมสมัยกันนั้น ถึงแม้ว่าไม่เคยมีรายงานว่าเขาทั้งสองเคยพบกันก็เป็นการเพียงพอแล้วที่จะบ่งบอกถึงความต่อเนื่องและไม่ขาดตอนของสายรายงาน ซึ่งผิดกับข้อแม้ของอัล-บุคอรีย์ที่จำเป็นต้องแน่ใจว่าเขาทั้งสองเคยพบหน้ากัน
การให้ความสำคัญของอุละมาอ์
บรรดาอุละมาอ์ได้ให้ความสำคัญกับหนังสือเศาะฮีหฺมุสลิมไม่น้อยไปกว่าการให้ความสำคัญของพวกเขาต่อเศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์เลย ซึ่งบางท่านทำการคัดย่อเอาเฉพาะตัวบทของหะดีษเท่านั้นโดยตัดสายรายงานออก บางท่านทำการเพิ่มเติมหะดีษเศาะฮีหฺที่คิดว่าอยู่ในข้อแม้ของมุสลิมแต่ไม่ได้ใส่ไว้ในหนังสือของท่าน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของหนังสือ มุสตัดร็อก และหลายท่านทำการอธิบายและวิเคราะห์ถึงความหมายของหะดีษและบทเรียนต่างๆ และในบรรดาหนังสืออธิบายที่เป็นที่กล่าวขานและเป็นที่รอมรับกันของอุละมาอ์อิสลามได้แก่หนังสือ อัล-มินฮาจญ์ ชัรหฺ เศาะฮีหฺมุสลิม บิน อัล-หัจญ์ญาจญ์ ของอิมามอัน-นะวะวีย์ วัลลอฮุ อะอฺลัม ..
สุนัน อบี ดาวูด
สุนัน อบี ดาวูดเป็นหนังสือหะดีษอีกเล่มหนึ่งที่ได้รับการสรรเสริญชมเชยจากบรรดาอุละมาอ์หะดีษทุกภูมิภาค และอุละมาอ์ส่วนใหญ่มีมติว่าหนังสือสุนัน อบี ดาวูดมีลำดับความสำคัญและความประเสริฐเป็นที่สามรองจากเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์และเศาะฮีหฺ มุสลิม
ชื่อผู้แต่ง
ท่านคือ อบู ดาวูด สุลัยมาน บิน อัล-อัชอัษฺ บิน อิสหากฺ บิน บะชีรฺ บิน ชัดด๊าด บิน อัมรฺ บิน อามิรฺ อัล-อัซฺดีย์ อัส-สิญิสตานีย์ เกิดที่เมืองสิญิสตาน (ทางตอนเหนือของกรุงคาบูลปัจจุบัน ซึ่งมีพรมแดนติดกับแคว้นสินธุและอินเดีย) เมื่อปี ฮ.ศ. 202 และเสียชีวิตที่เมืองบัศเราะฮฺเมื่อปี ฮ.ศ. 375 เมื่ออายุได้ 73 ปี
ชื่อหนังสือและสาเหตุของการเขียน
หนังสือของท่านเป็นที่รู้จักกันในนามของ "สุนัน อบี ดาวูด" ส่วนสาเหตุของการเขียนนั้นเพื่อคัดสรรและรวบรวมหะดีษที่บรรดาอุละมาอ์อิสลามใช้เป็นหลักฐานในด้านศาสนบัญญัต(ฟิกฮฺ) ต่างๆ เพื่อความสะดวกในการศึกษาค้นคว้า ดังจะได้เห็นจากข้อแม้ในการเขียนของท่านต่อไป
ความสำคัญของหนังสือ
1. อบู ดาวูดเองกล่าวว่า "ฉันไม่ทราบว่ายังมีหนังสืออื่นจากอัลกุรอานที่มนุษย์จำเป็นต้องศึกษานอกจากหนังสือสุนันเล่มนี้"
2. มุหัมมัด บิน มัคลัด กล่าวว่า "หลังจากที่อบู ดาวูดได้แต่งหนังสือสุนันและอ่านแก่ประชาชนแล้ว ทำให้หนังสือของท่านเปรียบเสมือนคัมภีร์สำหรับนักรายงานหะดีษ"
3. ซะกะรียา อัส-สาญีย์ กล่าวว่า "อัลกุรอานเป็นรากฐานของอิสลาม ส่วนหนังสือสุนัน อบี ดาวูดเป็นเงื่อนไขของอิสลาม"
4. อิมาม อัล-เฆาะซาลีย์กล่าวว่า "เพียงพอแล้วสำหรับมุจตะฮิดที่จะทำการศึกษาหะดีษของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จากสุนันอบีดาวูด"
จำนวนหะดีษในสุนันอบีดาวูด
อบู ดาวูดกล่าวว่า "ฉันได้รวบรวมหะดีษของท่านรสูลุลลอฮฺจำนวน 500,000 หะดีษ และฉันได้คัดเฟ้นเพื่อบันทึกไว้ในหนังสือสุนันของฉันเล่มนี้ เพียง 4,800 หะดีษ บวกกับหะดีษมุรสัลอีกประมาณ 600 หะดีษ" ซึ่งรวมทั้งหมด 5,400 หะดีษ
ข้อแม้และวิธีการเขียนของอบูดาวูด
อบู ดาวูดได้กล่าวถึงข้อแม้ไว้ในหนังสือของท่านที่เขียนถึงชาวนครมักกะฮฺพอสรุปใจความสำคัญดังนี้
1. ท่านจะบันทึกหะดีษต่างๆ ที่เกี่ยวกับหุก่มฟิกฮฺ(บทบัญญัติทางกฎหมายอิสลาม)เท่านั้น
2. ในแต่ละหมวดท่านจะบันทึกหะดีษเพียงหนึ่งหรือสองหะดีษเท่านั้น ถึงแม้ว่าในหมวดดังกล่าว จะมีหะดีษเศาะฮีหฺมากมายก็ตาม เพื่อความสะดวกในการใช้ประโยชน์
3. บางครั้งท่านจะคัดย่อหะดีษยาวๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายและทราบถึงจุดที่เกี่ยงข้องกับหุก่มฟิกหฺในหมวดนั้น
4. เมื่อใดที่ไม่มีหะดีษมุสนัด ท่านจะยกหะดีษมุรสัลมาบันทึกเป็นหลักฐานแทน เพราะตามทัศนะของท่านหะดีษมุรสัลนั้นสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ถึงแม้ว่าความแข็งของมันจะไม่เท่ากับหะดีษมุสนัดก็ตาม
5. ท่านจะไม่รายงานหะดีษในสุนันของท่านจากนักรายงานที่บรรดาอุละมาอ์มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าเขาผู้นั้นเป็นนักรายงานที่ถูกเมิน(มัตรูก)
6. ท่านจะคุยและชี้แจงเกี่ยวกับหะดีษที่มีสายรายงานอ่อนมากๆ และสายรายงานที่ไม่ถูกต้อง
7. หะดีษใดที่ท่านนิ่งเงียบและไม่กล่าวชี้แจงใดๆ แสดงว่าหะดีษนั้นเป็นหะดีษที่ดี(ศอลิหฺ) และส่วนหนึ่งอาจจะมีความถูกต้องมากกว่าอีกส่วนหนึ่ง
การนิ่งเงียบของอบูดาวูดต่อหะดีษในหนังสือสุนัน
มีอุละมาอ์ไม่น้อยที่หลงประมาทกับข้อแม้ของอบู ดาวูดตามข้อ 7 ทำให้พวกเขาหลงเข้าใจว่า ทุกหะดีษที่อบู ดาวูดได้นิ่งเงียบและไม่กล่าวชี้แจงใดๆ นั้นเป็นหะดีษที่ดีสามารถใช้เป็น(หุจญะฮฺ) หลักฐานได้ และหะดีษนั้นไม่ตกไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหะดีษหะสัน และบางครั้งอาจจะถึงระดับเศาะฮีหฺด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัล-มุนซิรีย์และอิบนุลก็อยยิมต่างก็นิ่งเงียบตามอบูดาวูดด้วย
ความจริงแล้วการนิ่งเงียบของอบูดาวูดดังกล่าวไม่ได้แสดงว่าหะดีษนั้นมีสายรายงานที่ดีเสมอไป อิมามอัน-นะวะวีย์กล่าวว่า "แท้จริง หะดีษใดก็ตามที่เราพบเห็นในสุนันอบีดาวูดที่ท่านไม่ได้ระบุถึงระดับของหะดีษ(ว่าถูกต้องหรือไม่) และไม่มีอุละมาอ์ที่น่าเชื่อถือคนใดกล่าวว่าหะดีษนั้นถูกต้อง(เศาะฮีหฺ) หรือดี(หะสัน) ก็แสดงว่าเป็นหะดีษที่ดี (หะสัน) และหากว่ามีอุละมาอ์คนใดได้ชี้แจงและกล่าวว่าเป็นหะดีษอ่อน หรือมีผู้รู้พบเห็นว่าสายรายงานนั้นอ่อนและไม่มีหะดีษสายอื่นที่มาผนวกกันให้แข็งขึ้น ดังนั้น เราต้องให้คำชี้ขาดว่าหะดีษนั้นเป็นหะดีษที่อ่อน และจงอย่าหลงประมาทกับการนิ่งเงียบของท่านอบูดาวูดอีก"
อิบนุ หะญัรฺกล่าวว่า "ถึงจุดนี้จะเห็นได้ว่าการอาศัยการนิ่งเงียบของอบูดาวูดเพื่อเป็นข้ออ้างหะดีษนั้นดีสามารถใช้เป็นหลักฐานได้นั้น เป็นวิธีการที่อ่อน(และไม่ถูกต้อง) เพราะท่านได้บันทึกหะดีษจำนวนไม่น้อยจากนักรายงานที่อ่อนและท่านไม่ได้ชี้แจงหรือระบุไว้... ดังนั้น ผู้ศึกษาหะดีษจึงไม่สมควรคล้อยตามท่านอย่างปิดหูปิดตา และรับหะดีษที่มาจากนักรายงานที่อ่อนซึ่งอบู ดาวูดได้นิ่งเงียบไว้ และใช้มันเป็นหลักฐานอ้างอิง แต่ทว่า วิธีการที่ถูกต้องนั้น คือต้องไตร่ตรองถึงหะดีษและสายรายงานดังกล่าวว่ามีสายรายงานอื่นมาตาม(มุตาบะอะฮฺ) ที่สามารถยกระดับมันให้แข็งขึ้นหรือเปล่า? หากไม่แล้วก็จงหยุดจากการใช้มันเป็นหลักฐานอ้างอิงเสีย"
สุนัน อัต-ติรมิซีย์
สุนัน อัต-ติรมิซีย์ เป็นหนังสือหะดีษอีกเล่มหนึ่งที่ได้รับการชมเชยจากบรรดาอุละมาอ์หะดีษทุกแหล่งหล้า และอุละมาอ์ส่วนใหญ่มีมติว่าหนังสือสุนัน อัต-ติรมิซีย์มีลำดับความสำคัญและความประเสริฐเป็นที่สี่รองจากเศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์ เศาะฮีหฺ มุสลิม และสุนัน อบี ดาวูด
ชื่อผู้แต่ง
ท่านคือ อัล-หาฟิซฺ อบู อีซา มุหัมมัด บิน อีซา บิน เสาเราะฮฺ บิน มูซา บิน อัฎ-เฎาะห์หาก อัส-สุละมีย์ อัล-บูฆีย์ อัต-ติรมิซีย์ เกิดที่ เมืองติรมิซฺ แคว้นคุรอซาน(อยู่ทางฝั่งเหนือของแม่น้ำอามู ดาร์ยาหรือแม่น้ำญีหูน ในทาจิกิสตาน ปัจจุบัน) เมื่อปี ฮ.ศ. 209 (ค.ศ. 824) และเสียชีวิตที่หมู่บ้านบูฆของเมืองติรมิซฺ เมื่อปี ฮ.ศ. 279 (ค.ศ. 892) เมื่ออายุได้ 70 ปี
ชื่อหนังสือและสาเหตุของการเขียน
เป็นที่ขัดแย้งกันของบรรดาอุละมาอ์เกี่ยวกับชื่อหนังสือของท่าน แต่ชื่อที่น่าจะสอดคล้องกับเนื้อหาของหนังสือที่สุดคือ "อัล-ญามิอฺ อัล-มุคตะศ็อรฺ มิน อัส-สุนัน อัน เราะสูลิลลาฮฺ วะ มะริฟะอฺ อัศ-เศาะฮีหฺ วะ อัล-มะอฺลูล วะ มา อะลัยฮิ อัล-อะมัล" หรือเป็นที่รู้จักกันในนามของหนังสือ "ญามิอฺ อัต-ติรมิซีย์" หรือ “สุนัน อัต-ติรมิซีย์” ท่านเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพื่อรวบรวมหะดีษที่บรรดาอุละมาอ์อิสลามใช้เป็นหลักฐานในด้านศาสนบัญญัติ
ความสำคัญของหนังสือ
เป็นหนังสือที่แหวกแนวจากหนังสือทั้งสามเล่มที่ผ่านมา ทำให้มีสาระสำคัญที่ไม่มีในหนังสืออื่น
1. อัต-ติรมิซีย์ กล่าวว่า "ผู้ใดที่ได้ครอบครองหนังสือเล่มนี้ไว้ที่บ้าน ก็เสมือนกับว่าบ้านของเขามีนบีที่กำลังปราศรัยอยู่"
2. อิบนุล อะษีรฺ กล่าวว่า "หนังสือของเขาเป็นหนังสือที่ดีเลิศและมีสาระมากกว่าหนังสือหะดีษเล่มอื่นๆ"
3. อบู อิสมาอีล อัล-ฮะเราะวีย์ กล่าวว่า "ฉันเห็นว่าหนังสือของอัต-ติรมิซีย์มีสาระมากกว่าหนังสือของอัล-บุคอรีย์และมุสลิม เพราะผู้อ่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เลย"
4. ชาฮฺ อับดุลอะซีซฺ กล่าวว่า "หนังสืออัล-ญามิอฺของอัต-ติรมิซีย์เป็นหนังสือที่ดีเลิศกว่าหนังสือหะดีษทั้งหมด ด้วยเหตุผลคือ ด้านระเบียบการเขียนและไม่ซ้ำซาก ด้านการกล่าวถึงทัศนะของฟุเกาะฮาฮ์(นักฟิกฮฺ) และวิธีการใช้หะดีษเป็นหลักฐานอ้างอิง ด้านการกล่าวถึงระดับของหะดีษเศาะฮีหฺ เฎาะอีฟ และข้อตำหนิต่างๆ ด้านการชี้แจงถึงชื่อของนักรายงาน และสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวกับนักรายงานหะดีษ"
จำนวนหะดีษในสุนัน อัต-ติรมิซีย์
ตามการลำดับหะดีษในหนังสืออัต-ติรมิซีย์ของ เชค มุหัมมัด ฟุอาด อับดุลบากีย์ มีทั้งหมด (ไม่รวมหะดีษที่อยู่ในหนังสืออิลัลในตอนท้าย) ประมาณ 3,956 หะดีษ
ข้อแม้และวิธีการเขียนของอัต-ติรมิซีย์
อัต-ติรมิซีย์ก็เหมือนกับอุละมาอ์หะดีษคนอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนถึงข้อแม้ในการเขียนหนังสือของท่าน แต่จากการอ่านหนังสือของท่าน เราพอจะวิเคราะห์และสรุปถึงข้อแม้ของท่านได้ดังนี้
1. ท่านจะบันทึกหะดีษต่างๆ ที่บรรดาอุละมาอ์ใช้เป็นหลักฐานด้านฟิกฮฺเท่านั้นไม่ว่าจะเป็นหะดีษเศาะฮีหฺหรือเฎาะอีฟก็ตาม
2. ในหัวข้อของแต่ละเรื่องท่านจะบันทึกหะดีษที่เป็นที่รู้จักกันจากเศาะหาบะฮฺ ตามด้วยหะดีษจากเศาะหาบะฮฺคนอื่นๆ ซึ่งท่านมักจะกล่าวอิงว่า ในเรื่องนี้ได้มีรายงานจากเศาะหาบะฮฺคนใดบ้าง
3. ท่านจะกล่าวชี้แจงถึงระดับของหะดีษทุกหะดีษ และบางครั้งท่านจะอิงมาจากอุละมาอ์คนอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะอัล-บุคอรีย์ซึ่งเป็นเชคคนโปรดของท่าน
4. ต่อจากนั้นท่านจะกล่าวถึงทัศนะของอุละมาอ์ต่างๆ ว่าใครบ้างที่ใช้หะดีษดังกล่าวเป็นหลักฐานอ้างอิง พร้อมกับชี้แจงถึงเหตุผล และอุละมาอ์คนใดบ้างที่ไม่ใช้หะดีษดังกล่าวว่าเป็นเพราะเหตุใด
5. ท่านจะแบ่งระดับหะดีษออกเป็นสามระดับ นั่นคือ เศาะฮีหฺ หะสัน และเฎาะอีฟ ซึ่งนับว่าท่านเป็นคนแรกที่ได้แบ่งระดับหะดีษดังกล่าว เพราะก่อนหน้าท่านอุละมาอ์ได้แบ่งหะดีษออกเป็นเศาะฮีหฺกับเฎาะอีฟเท่านั้น
6. ท่านจะคุยเกี่ยวกับข้อตำหนิและสาเหตุของหะดีษ (อิละลุลหะดีษ) ต่างๆ ในตอนท้ายของหนังสือ
การให้ความสำคัญของอุละมาอ์
เนื่องจากสาระและวิธีการเขียนที่ไม่เหมือนใครของหนังสือเล่มนี้ จึงทำให้บรรดาอุละมาอ์ให้ความสำคัญอย่างมาก บางท่านทำการคัดย่อเอาเฉพาะเนื้อหาของหะดีษเท่านั้น และหลายท่านทำการชะเราะฮฺ (อธิบาย) อย่างยาวเหยียดถึงความหมายของหะดีษและบทเรียนต่างๆ อาทิเช่น หนังสือ อาริเฎาะฮฺ อัล-อะหฺวะซีย์ ของ อบู บักรฺ อิบนุ อัล-อะเราะบีย์ ซึงเป็นหนังสือชะเราะฮฺที่โด่งดังที่สุด และหนังสือ ตุหฺฟะฮฺ อัล-อะหฺวะซีย์ ของ อัล-มุบาร็อกฟูรีย์ และหนังสือ บะหฺรุลมาซีย์ ของเชค มุหัมมัด บิน อิดรีส อัล-มัรบะวีย์ ซึ่งเป็นชะเราะฮฺภาษามลายู วัลลอฮุ อะอฺลัม
สุนัน อัน-นะสาอีย์
สุนัน อัน-นะสาอีย์ หรืออัล-มุจญ์ตะบาเป็นหนังสือหะดีษอีกเล่มหนึ่งที่ได้รับการสรรเสริญชมเชยจากบรรดาอุละมาอ์หะดีษทุกแหล่งหล้า และอุละมาอ์ส่วนใหญ่มีมติว่าหนังสือสุนัน อัน-นะสาอีย์มีลำดับความสำคัญและความประเสริฐเป็นที่ห้ารองจากสุนัน อัต-ติรมิซีย์
ชื่อผู้แต่ง
ท่านคือ อัล-หาฟิซฺ อบู อับดิรเราะฮฺมาน อะหมัด บิน ชุอีบ บิน อะลีย์ บิน สินาน บิน บะห์รฺ อัน-นะสาอีย์ เกิดที่เมืองนะสาในแคว้นคุรอซาน อยู่ในประเทศอิหร่านปัจจุบัน เมื่อปี ฮ.ศ. 215 และเสียชีวิตที่เมืองมักกะฮฺเมื่อเดือนชะอฺบานปี ฮ.ศ. 303 รวมอายุ 88 ปี
ชื่อหนังสือและสาเหตุของการเขียน
ไม่มีรายงานที่ชัดเจนจากอัน-นะสาอีย์ว่าท่านได้ตั้งชื่อหนังสือของท่านว่าอย่างไร แต่หนังสือของท่านเป็นที่รู้จักกันในนามของ'"อัส-สุนัน อัล-มุจญ์ตะบา” ซึ่งแปลว่าหะดีษต่างๆ ที่ถูกคัดเฟ้น หรือ "สุนัน อัน-นะสาอีย์"
ส่วนสาเหตุของการเขียนนั้น มีรายงานว่า อัน-นะสาอีย์ได้มอบหนังสืออัส-สุนัน อัล-กุบรอแก่เจ้าเมืองร็อมละฮฺเจ้าเมืองจึงถามว่า หะดีษในอัส-สุนัน อัล-กุบรอเป็นหะดีษที่ถูกต้อง(เศาะฮีหฺ)ทั้งหมดหรือไม่ ? ท่านตอบว่าไม่ เจ้าเมืองจึงขอให้ท่านคัดเอาเฉพาะหะดีษที่เศาะฮีหฺเท่านั้น ดังนั้น ท่านจึงได้เขียนอัส-สุนัน อัล-มุจญ์ตะบาขึ้นมา ซึ่งเป็นการคัดเฟ้นหะดีษที่มีตำหนิในอัส-สุนัน อัล-กุบรอออก ดังนั้น เมื่อนักหะดีษเอ่ยถึงสุนัน อัน-นะสาอีย์ก็หมายความถึง อัส-สุนัน อัล-มุจญ์ตะบา ไม่ใช่อัส-สุนัน อัล-กุบรอ
ความสำคัญของหนังสือ
1. อัล-หากิม กล่าวว่า "ผู้ใดที่ได้อ่านหนังสือของอัน-นะสาอีย์(อัลมุจญ์ตะบา) เขาจะพบกับความอัศจรรย์ในการร้อยเรียงที่ดี"
2. อับดุรเราะฮีม อัล-มักกีย์ กล่าวว่า "งานเขียนของอันนะสาอีย์มีความประเสริฐมากกว่างานเขียนหะดีษทั้งหลาย และไม่มีงานเขียนเกี่ยวกับหะดีษในอิสลามที่จะมาเทียบเคียงได้"
3. เชคยูนุส บิน อัลดุลลอฮฺ อัล-กอฎีย์ เห็นว่า หนังสือสุนัน อัน-นะสาอีย์ นั้นมีความประเสริฐมากกว่าเศาะฮีหฺอัล-บุคอรีย์เสียอีก
4. อบุล หะสัน อัล-มุอาฟิรีย์ กล่าวว่า "เมื่อท่านสังเกตุถึงหะดีษที่รายงานโดยนักหะดีษ ท่านจะพบว่าหะดีษที่รายงานโดยอัน-นะสาอีย์นั้นมีความถูกต้องมากกว่าหะดีษที่รายงานโดยคนอื่น"
5. อบู อับดิลลาฮฺ บิน รุชัยด์ กล่าวว่า "หนังสืออัน-นะสาอีย์เป็นงานเขียนที่ดีเลิศในบรรดางานเขียนสุนันทั้งหลาย"
6. อัด-ดาเราะกุฏนีย์ ได้ให้ชื่อหนังสือสุนัน อัล-มุจญ์ตะบา ว่าเศาะฮีหฺ อัน-นะสาอีย์เพราะความพิถีพิถันในงานเขียน
จำนวนหะดีษในสุนันอัน-นะสาอีย์
ตามหมายเลขที่ระบุในหนังสือตุหฺฟะตุล อัชร็อฟ ของอัล-มิซซีย์ ระบุว่าหะดีษในอัส-สุนัน อัล-มุจญ์ตะบามีประมาณ 5,760 หะดีษ