
ความว่า “ฉันเป็นชายคนหนึ่งที่มีความต้องการทางเพศสูงมาก กระทั่งกับผู้หญิงที่คนอื่นๆนั้นจะไม่ร่วมเพศด้วย ครั้นเมื่อเดือนเราะมะฎอนได้มาถึง ฉันก็ทำการซิฮารฺภรรยาของฉัน(กล่าวหาว่าภรรยานั้นเหมือนกับมารดาของสามี) กระทั่งเดือนเราะมะฎอนได้จากไป เพราะฉันเกรงว่าตัวฉันอาจจะมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาของฉันในเวลากลางคืนและล่วงเลยไปจนถึงเช้าได้ เพราะมิอาจจะหักห้ามความต้องการทางเพศของตัวเอง คืนหนึ่ง ในขณะที่นางได้ปรนนิบัติฉันอยู่ เผอิญว่าสวนหนึ่งของร่างกายนางได้เผยให้ฉันเห็น ฉันก็อดไม่ได้จึงได้ตอบสนองนางโดยทันที เมื่อถึงรุ่งเช้าฉันก็ไปเจอกับกลุ่มชนของฉัน ฉันจึงได้บอกเล่าเรื่องราวที่มันเกิดขึ้น ฉันจึงกล่าวว่า “พวกท่านไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กับฉันเถิดนะ” ด้วยกับจุดประสงค์ของฉันที่จะไปหาท่านเราะสูลุลอฮฺนั้นก็เพื่อไปบอกเล่าในเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นนั้น พวกเขาจึงกล่าวว่า “ ไม่ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ พวกเราจะไม่ยอมทำสิ่งนั้นอย่างเด็ดขาด พวกเราเกรงว่าอัลกุรฺอานจะถูกประทานให้แก่เราในเรื่องนี้ หรือพวกเราเกรงว่าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะกล่าวแก่เราในเรื่องนี้ ซึ่งอาจจะทำให้เรามีตำหนิตลอดไป ดังนั้นเจ้าจงไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺคนเดียวเถิด และจงทำในสิ่งที่เจ้าได้ตั้งใจไว้” เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันจึงไปหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วยตัวของฉันคนเดียว แล้วฉันก็เล่าเรื่องราวของฉันให้ท่านฟัง ท่านนบีจึงกล่าวว่า “เจ้าได้ทำสิ่งนั้นกระนั้นหรือ ?” ฉันจึงกล่าวว่า “ใช่แล้วครับ ฉันได้ทำสิ่งนั้นเอง” ท่านนบีจึงกล่าวอีกว่า “เจ้าได้ทำสิ่งนั้นกระนั้นหรือ ?” ฉันจึงตอบท่านอีกว่า “ใช่แล้วครับ ฉันได้ทำสิ่งนั้นเอง” ท่านนบีก็ถามอีกว่า “เจ้าได้ทำสิ่งนั้นกระนั้นหรือ ?” ฉันก็ตอบอีกว่า “ใช่แล้วครับ ฉันได้ทำสิ่งนั้นเอง” (ท่านสะละมะฮฺจึงกล่าวว่า) “(โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ) ขอให้ท่านลงโทษฉันด้วยกับกฎเกณฑ์ของอัลลอฮฺเถิด ซึ่งฉันจะอดทนต่อสิ่งนั้นอย่างแน่นอน” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “เจ้าจงปล่อยทาสคนหนึ่งเถิด” ท่านสะละมะฮฺเล่าว่า “ฉันจึงตีต้นคอด้วยมือของฉันเอง” แล้วได้กล่าวว่า “ขอสาบานด้วยกับผู้ที่ทรงส่งท่านมาด้วยกับสัจธรรม ฉันไม่เคยครอบครองทาสไว้เลย” ท่านนบีจึงกล่าวอีกว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จงถือศีลอดสองเดือนติดต่อกันเถิด” ฉันจึงกล่าวว่า “โอ้ เราะสูลุลลอฮฺ ฉันไม่สามารถที่จะแบกรับการลงโทษด้วยกับการถือศีลอดได้หรอก” ท่านนบีจึงกล่าวต่อว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จงให้อาหารแก่คนยากจน 60 คนเถิด” ฉันจึงกล่าวว่า “ขอสาบานด้วยกับผู้ที่ทรงส่งท่านมาด้วยกับสัจธรรม แท้จริงเราได้นอนในค่ำคืนหนึ่งด้วยสภาพของความหิวโหยเนื่องจากเราไม่มีอาหารค่ำกินกัน” ท่านนบีจึงกล่าวอีกว่า “เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจงไปยังกลุ่มชนซุรอยกฺเถิด เพราะพวกเขามักจะให้บริจาคทาน (เมื่อไปถึงแล้ว) ก็บอกแก่พวกเขาให้บริจาคทานให้แก่เจ้า เมื่อเจ้าได้รับแล้วก็จงให้อาหารแก่คนยากจน 60 คนด้วยกับ 1 วะสักที่เจ้าได้รับเถิด ส่วนที่เหลือนั้นเจ้าก็จงนำไปกินเพื่อตัวของเจ้าและครอบครัวของเจ้า ” ท่านสะละมะฮฺ ก็เล่าต่อว่า ฉันก็ได้กลับไปยังกลุ่มชนของฉัน แล้วฉันก็ได้กล่าวว่า “ฉันพบว่าในตัวของพวกท่านนั้นมีความคับแคบและพวกท่านมีความคิดที่น่ารังเกลียดยิ่งนัก แต่ฉันกลับพบว่าในตัวของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมนั้น ท่านเป็นผู้ที่มีความใจกว้างและเป็นผู้ที่มีสิริมงคลยิ่งนัก” ซึ่งท่านได้สั่งฉันอีกว่า ให้พวกท่านทั้งหลายนั้นบริจาคทานให้ฉัน ดังนั้นพวกท่านจงให้ทานแก่ฉันเถิด ท่านสะละมะฮฺเล่าว่า “และแล้วพวกเขาก็ให้บริจาคแก่ฉัน” (บันทึกโดยอัตติรมีซีย์ หมายเลขหะดีษ : 3299)
7. ใช้การตัดความสัมพันธ์(บอยคอต)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยใช้วิธีการตัดความสัมพันธ์(บอยคอต)กับท่านกะอฺบฺ อิบนุมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุและพวกพ้องของท่าน ในเหตุการณ์ที่พวกท่านทั้งหลายหันหลังไม่เข้าร่วมในการทำสงครามตะบูก จึงทำให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมและบรรดาเศาะหาบะฮฺทั้งหลาย ได้ตัดความสัมพันธ์กับพวกเขา โดยไม่มีการพูดคุยกับพวกเขาเลยประมาณเดือนกว่าๆ กระทั่งอัลลอฮฺ ตะอาลาได้ให้อภัยแก่พวกเขาเหล่านั้น
กระนั้นก็ตาม วิธีการนี้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ไม่ได้ใช้มันอย่างเป็นประจำ เพราะเคยมีบางเหตุการณ์ที่ชายคนหนึ่งดื่มสุรา แต่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กลับหัวเราะ(ให้แก่ชายคนนั้น) ซึ่งการที่จะใช้วิธีการนี้ได้ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์เพียงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อใดก็ตามการตัดความสัมพันธ์นั้นก่อให้เกิดประโยชน์และเป็นการป้องกันไม่ให้คนที่ถูกตัดความสัมพันธ์นั้น(ทำผิดอีก) ศาสนาก็กำหนดให้ใช้วิธีการนี้ได้ แต่หากการตัดความสัมพันธ์นี้ทำให้เกิดความเสียหายที่มากขึ้นและอาจจะทำให้เกิดการต่อต้าน เมื่อเป็นเช่นนั้นศาสนาก็ไม่อนุญาตที่จะตัดความสัมพันธ์กับคนๆนั้น
8. การให้คำแนะนำโดยทางอ้อม
ตัวอย่างการให้คำแนะนำโดยทางอ้อม มีดังต่อไปนี้
ก. ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยกล่าวว่า “สภาพของบรรดากลุ่มชนนั้นเป็นเช่นไร พวกเขาได้กำหนดให้คนๆหนึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขากระนั้นหรือ? ดังกล่าวนี้ ท่านเคยกล่าวในเรื่องราวของนางบะรีเราะฮฺ ซึ่งมีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้เล่าว่า
أَتَتْهَا بَرِيرَةُ تَسْأَلُهَا فِي كِتَابَتِهَا فَقَالَتْ إِنْ شِئْتِ أَعْطَيْتُ أَهْلَكِ وَيَكُونُ الْوَلَاءُ لِي، فَلَمَّا جَاءَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ذَكَّرْتُهُ ذَلِكَ قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : «ابْتَاعِيهَا فَأَعْتِقِيهَا، فَإِنَّمَا الْوَلَاءُ لِمَنْ أَعْتَقَ»، ثُمَّ قَامَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَلَى الْمِنْبَرِ فَقَالَ: «مَا بَالُ أَقْوَامٍ يَشْتَرِطُونَ شُرُوطًا لَيْسَتْ فِي كِتَابِ اللهِ، مَنْ اشْتَرَطَ شَرْطًا لَيْسَ فِي كِتَابِ اللهِ فَلَيْسَ لَهُ وَإِنْ اشْتَرَطَ مِائَةَ شَرْطٍ، شَرْطُ اللهِ أَحَقُّ وَأَوْثَقُ»
ความว่า “ นางบะรีเราะฮฺได้มาหาแล้วขอความช่วยเหลือจากฉันเกี่ยวกับการขอให้ชำระค่าไถ่ตัวให้แก่นาง ท่านหญิงจึงกล่าวแก่นางว่า (จงกลับไปยังครอบครัวของเธอเถิด) หากว่าเธอปรารถนาที่จะให้ฉันไถ่ตัวเธอและให้เธออยู่ภายใต้การปกครองของฉัน ฉันก็จะจัดการมันให้ (เมื่อเป็นเช่นนั้น บารีเราะฮฺจึงไปบอกเรื่องนี้ให้แก่ครอบครัวของเธอ แต่พวกเขาก็ไม่ค่อยเต็มใจมากนักต่อเรื่องนี้ พวกเขาจึงกล่าวว่า หากท่านหญิงอาอิชะฮฺปรารถนาที่จะให้เธอเป็นอิสระเพื่อที่นางจะได้รับผลบุญแล้วไซร้ นางก็ย่อมทำได้แต่การเป็นผู้ปกครองในตัวของเธอนั้นก็ยังคงอยู่ภายใต้พวกเราอีก) ครั้นเมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมมาถึง ฉัน(ท่านหญิงอาอิชะฮฺ)ก็เล่าเรื่องนี้ให้แก่ท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “จงซื้อตัวนางเถิด(ไถ่ตัวของนาง) และจงปล่อยตัวนางให้เป็นอิสระ เพราะผู้ที่เป็นผู้ปกครองนั้นคือผู้ที่ทำให้เขาได้รับอิสระ” หลังจากนั้นท่านจึงยืนขึ้นบนมิมบัร(เพื่อกล่าวเทศนา) ท่านจึงกล่าวว่า สภาพของบรรดากลุ่มชนนั้นเป็นเช่นไร พวกเขาจะกำหนดเงื่อนไขต่างๆซึ่งไม่มีในคัมภีร์ของอัลลอฮ กระนั้นหรือ ? ดังนั้นผู้ใดกำหนดเงื่อนไขหนึ่งเงื่อนไขใดที่ไม่มีในคัมภีร์ของอัลลอฮ โดยที่เขาไม่มีสิทธิ์ (ก็ถือเป็นสิ่งที่โมฆะ) แม้ว่าเขาได้กำหนดไว้หนึ่งร้อยเงื่อนไขก็ตาม โดยแน่แท้ เงื่อนไขที่อัลลอฮฺได้กำหนดไว้นั้นย่อมเป็นสิ่งที่สมควรที่สุดที่จะต้องปฏิบัติตามและย่อมเป็นสิ่งที่จะต้องยึดมั่นให้มั่นคงที่สุดอีกด้วย” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 2735)
และมีรายงานจากท่านอนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
أَنَّ نَفَرًا مِنْ أَصْحَابِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سَأَلُوا أَزْوَاجَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ عَمَلِهِ فِي السِّرِّ فَقَالَ بَعْضُهُمْ لَا أَتَزَوَّجُ النِّسَاءَ، وَقَالَ بَعْضُهُمْ لَا آكُلُ اللَّحْمَ وَقَالَ بَعْضُهُمْ لَا أَنَامُ عَلَى فِرَاشٍ، فَحَمِدَ اللهَ وَأَثْنَى عَلَيْهِ، فَقَالَ: «مَا بَالُ أَقْوَامٍ قَالُوا كَذَا وَكَذَا، لَكِنِّي أُصَلِّي وَأَنَامُ وَأَصُومُ وَأُفْطِرُ وَأَتَزَوَّجُ النِّسَاءَ، فَمَنْ رَغِبَ عَنْ سُنَّتِي فَلَيْسَ مِنِّي»
ความว่า “เศาะหาบะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กลุ่มหนึ่งได้ถามบรรดาภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เกี่ยวกับการกระทำของท่านนบีที่เขาไม่ทราบ (แต่หลังจากที่พวกเขาทราบ) บางคนในหมู่พวกเขาได้กล่าวว่า ฉันจะไม่แต่งงานกับสตรี,บางคนในหมู่พวกเขากล่าวว่า ฉันจะไม่กินเนื้อสัตว์, และบางคนก็กล่าวว่า ฉันจะไม่นอนบนที่นอน (หลังจากที่ข่าวนี้ถึงท่านนบี ท่านจึงได้เรียกมารวมตัวกัน) ท่านได้เริ่มต้นด้วยการสรรเสริญอัลลอฮฺและสดุดีต่อพระองค์แล้วกล่าวว่า มีอะไรเกิดขึ้นกระนั้นหรือ ? พวกเขาตอบว่า อย่างนั้น อย่างนี้ตามที่พวกเขาตั้งใจที่จะกระทำ ท่านนบีจึงกล่าวว่า ทว่าฉันละหมาดและฉันก็นอน ฉันถือศีลอดแล้วก็ฉันก็ละศีลอด และฉันก็แต่งงานกับสตรี ดังนั้นผู้ใดไม่ปรารถนาแนวทางของฉัน เขาก็ไม่ใช่พวกของฉัน” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 2487)
ข. บางครั้งท่านนบีได้ชมเชยต่อคนๆหนึ่ง แล้วท่านก็กระตุ้นเขาให้กระทำสิ่งนั้นโดยทางอ้อม ดังที่ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้เล่าว่า
كَانَ الرَّجُلُ فِي حَيَاةِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا رَأَى رُؤْيَا قَصَّهَا عَلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَتَمَنَّيْتُ أَنْ أَرَى رُؤْيَا أَقُصُّهَا عَلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَكُنْتُ غُلَامًا شَابًّا أَعْزَبَ وَكُنْتُ أَنَامُ فِي الْمَسْجِدِ عَلَى عَهْدِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَرَأَيْتُ فِي الْمَنَامِ كَأَنَّ مَلَكَيْنِ أَخَذَانِي فَذَهَبَا بِي إِلَى النَّارِ، فَإِذَا هِيَ مَطْوِيَّةٌ كَطَيِّ الْبِئْرِ وَإِذَا لَهَا قَرْنَانِ كَقَرْنَيْ الْبِئْرِ، وَإِذَا فِيهَا نَاسٌ قَدْ عَرَفْتُهُمْ فَجَعَلْتُ أَقُولُ: أَعُوذُ بِاللهِ مِنْ النَّارِ، أَعُوذُ بِاللهِ مِنْ النَّارِ، فَلَقِيَهُمَا مَلَكٌ آخَرُ فَقَالَ لِي: لَنْ تُرَاعَ، فَقَصَصْتُهَا عَلَى حَفْصَةَ فَقَصَّتْهَا حَفْصَةُ عَلَى النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَقَالَ: «نِعْمَ الرَّجُلُ عَبْدُ اللهِ لَوْ كَانَ يُصَلِّي بِاللَّيْلِ»، قَالَ سَالِمٌ: فَكَانَ عَبْدُ اللهِ لَا يَنَامُ مِنْ اللَّيْلِ إِلَّا قَلِيلًا
ความว่า “ในสมัยของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมนั้น เมื่อมีคนๆหนึ่งได้ฝัน เขาก็จะเล่าให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ฟังเสมอ ซึ่งฉันเองก็เคยฝันและฉันเองก็ได้เล่าให้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ฟังเช่นเดียวกัน (ฉันจำได้ว่า) เมื่อตอนนั้นฉันยังเป็นชายหนุ่ม ซึ่งฉันได้นอนในมัสญิดในสมัยที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มีชีวิตอยู่ ฉันได้ฝันเห็นว่า เหมือนมีมลาอิกะฮฺสองท่านพาฉันไปยังนรก และฉันได้เห็นว่านรกนั้นมีระดับขั้นของมัน เหมือนระดับขั้นของถังน้ำ และมันมีเขาสองเขา เหมือนเขาทั้งสองของถังน้ำเช่นเดียวกัน และฉันพบว่าในนรกนั้นมีผู้คนมากมายที่ฉันเคยรู้จัก ฉันจึงกล่าวในขณะนั้นว่า “ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้รอดพ้นจากไฟนรกนี้ด้วยเถิด” “ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺให้รอดพ้นจากไฟนรกนี้ด้วยเถิด” และแล้วฉันก็ได้เจอกับมลาอีกะฮฺอีกท่านหนึ่ง ซึ่งมลาอิกะฮฺท่านนั้นได้กล่าวแก่ฉันว่า “ท่านยังไม่ได้รับการคุ้มครองอีก” เมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันจึงเล่าความฝันของฉันแก่ท่านหญิงหัฟเศาะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ท่านหญิงจึงนำเรื่องราวนั้นไปเล่าต่อให้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านจึงกล่าวว่า “ชายหนุ่มที่ดียิ่งนั้นคือ อับดุลลอฮฺ (อิบนุอุมัร) ซึ่งหากเขาได้ลุกขึ้นละหมาดในยามค่ำคืนแล้วไซร้” ท่านกล่าวอีกว่า “เขาก็จะเป็นผู้ที่ปลอดภัย” เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอับดุลลอฮฺ(อิบนุอุมัร) ก็ไม่ได้นอนอีกเลยในยามค่ำคืนนอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 3738-3739 )
ค. บางครั้งท่านนบีก็ทำเป็นสั่งใช้บรรดาเศาะหาบะฮฺทั้งหลาย แต่คำพูดของท่านนั้นต้องการกล่าวถึงชายคนหนึ่งเท่านั้น ดังที่มีรายงานจากท่านอนัส อิบนุมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
أَنَّ رَجُلاً دَخَلَ عَلَى رَسُولِ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- وَعَلَيْهِ أَثَرُ صُفْرَةٍ - وَكَانَ النَّبِىُّ -صلى الله عليه وسلم- قَلَّمَا يُوَاجِهُ رَجُلاً فِى وَجْهِهِ بِشَىْءٍ يَكْرَهُهُ - فَلَمَّا خَرَجَ قَالَ « لَوْ أَمَرْتُمْ هَذَا أَنْ يَغْسِلَ هَذَا عَنْهُ »
ความว่า “ชายคนหนึ่งได้เข้ามาหาท่านเราะสูลุลอลฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วยสภาพที่(ร่างกายหรือเสื้อผ้า)มีร่องรอยเป็นสีเหลือง ซึ่งเมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เจอตัวเขา ท่านก็ไม่ชอบ และแล้วเมื่อชายคนนั้นได้ออกไป ท่านก็ได้กล่าวว่า หากพวกท่านสั่งชายคนนั้นทำความสะอาดร่องรอยดังกล่าวจากตัวเขา(มันก็จะเป็นการดียิ่ง) ” (บันทึกโดยอบูดาวูด หมายเลขหะดีษ : 4184 )
ง. และในบางครั้งท่านก็จะทำเป็นพูดกับคนอื่น แต่เพื่อให้อีกคนได้ยิน ดังมีรายงานจากท่านสุลัยมาน อิบนุศุรอด ได้เล่าว่า
اسْتَبَّ رَجُلَانِ عِنْدَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَنَحْنُ عِنْدَهُ جُلُوسٌ وَأَحَدُهُمَا يَسُبُّ صَاحِبَهُ مُغْضَبًا قَدْ احْمَرَّ وَجْهُهُ فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «إِنِّي لَأَعْلَمُ كَلِمَةً لَوْ قَالَهَا لَذَهَبَ عَنْهُ مَا يَجِدُ، لَوْ قَالَ أَعُوذُ بِاللهِ مِنْ الشَّيْطَانِ الرَّجِيمِ»، فَقَالُوا لِلرَّجُلِ أَلَا تَسْمَعُ مَا يَقُولُ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ إِنِّي لَسْتُ بِمَجْنُونٍ
ความว่า “ชายสองคนได้ด่าทอกันต่อหน้าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งเราได้นั่งอยู่ร่วมกับท่านนบี ชายคนหนึ่งได้ด่าทออีกคนด้วยกับความโกรธจนหน้าแดงคล้ำ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า ฉันรู้ถึงคำกล่าวหนึ่ง หากว่าเขาได้กล่าวมันแล้ว ความโกรธนั้นก็จะหายไปจากตัวเขาอย่างแน่นอน นั้นคือให้กล่าวว่า “ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺจากมารร้ายที่ถูกสาปแช่งด้วยเถิด” บรรดาเศาะหาบะฮฺจึงกล่าวแก่ชายคนนั้นว่า “ท่านไม่ยินหรอกหรือว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวเช่นไร ?” ชายคนนั้นจึงตอบว่า “ฉันไม่ได้บ้านะ” ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 6115 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 6813)
9. ใช้เหตุการณ์และโอกาสต่างๆให้เกิดประโยชน์
ก. มีรายงานจากท่านอนัส อิบนุมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
كَانَ صَبِيٌّ عَلَى ظَهْرِ الطَّرِيقِ فَمَرَّ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَمَعَهُ نَاسٌ مِنْ أَصْحَابِهِ، فَلَمَّا رَأَتْ أُمُّ الصَّبِيِّ الْقَوْمَ خَشِيَتْ أَنْ يُوطَأَ ابْنُهَا فَسَعَتْ وَحَمَلَتْهُ، وَقَالَتْ: ابْنِي ابْنِي، قَالَ: فَقَالَ الْقَوْمُ يَا رَسُولَ اللهِ مَا كَانَتْ هَذِهِ لِتُلْقِيَ ابْنَهَا فِي النَّارِ، قَالَ: فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «لَا وَلَا يُلْقِي اللهُ حَبِيبَهُ فِي النَّارِ»
ความว่า “มีเด็กน้อยคนหนึ่งยืนอยู่กลางถนน ซึ่งในขณะนั้นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมและบรรดาเศาะหาบะฮฺ เราะฎิยัลลลอฮุอันฮุม ได้เดินมาพอดี ครั้นเมื่อมารดาของเด็กน้อยเห็นคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนางเกรงว่าพวกเขาจะเหยียบลูกชายของนาง เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงรีบเร่งแล้วไปอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา พลางกล่าวว่า “ลูกชายของฉัน ลูกชายของฉัน” คนกลุ่มนั้นจึงกล่าวว่า “โอ้ เราะสูลุลลอฮฺ ลูกของนางจะต้องถูกโยนลงสู่ไฟนรกหรือไม่ ?” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า “ไม่ๆ โดยแน่แท้ อัลลอฮฺจะไม่ทรงโยนผู้ที่พระองค์ทรงรักลงสู่ไฟนรกอย่างแน่นอน” (บันทึกอะหฺมัด หมายเลขหะดีษ : 13467 )
โดยแน่แท้ เหตุการณ์ต่างๆนั้นย่อมมีอิทธิผลต่ออารมณ์และความรู้สึกในจิตใจของคนๆหนึ่งได้อย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นได้เป็นบ่อเกิดของการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสมแล้วไซร้ มันก็จะคงเรื่องราวเหล่านั้นตลอดไป และผู้ที่เป็นเจ้าของเรื่องราวนั้นเขาก็จะเผชิญและเรียนรู้มันด้วยภาพลักษณ์ที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา ซึ่งยากที่จะลืมเลือนมันได้
และเหตุการณ์ต่างๆที่มีความหลากหลายนั้น ย่อมมีบางเหตุการณ์ที่อยู่ในสภาพของความเศร้าโศก ความหวาดกลัว ดังนั้นก็จงใช้โอกาสดังกล่าวในการให้ข้อเตือนสติเถิด ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ให้ข้อเตือนสติแก่บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่าน เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ในครั้นที่พวกเขาอยู่ในบริเวณหลุมฝังศพพร้อมกับท่านนบี ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งมีรายงานจากท่านอับบัรรออฺ อิบนุอาซิบ ได้เล่าว่า
خَرَجْنَا مَعَ رَسُولِ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- فِى جَنَازَةِ رَجُلٍ مِنَ الأَنْصَارِ فَانْتَهَيْنَا إِلَى الْقَبْرِ وَلَمَّا يُلْحَدْ فَجَلَسَ رَسُولُ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- وَجَلَسْنَا حَوْلَهُ كَأَنَّمَا عَلَى رُءُوسِنَا الطَّيْرُ وَفِى يَدِهِ عُودٌ يَنْكُتُ بِهِ فِى الأَرْضِ فَرَفَعَ رَأْسَهُ فَقَالَ : «اسْتَعِيذُوا بِاللهِ مِنْ عَذَابِ الْقَبْرِ». مَرَّتَيْنِ أَوْ ثَلاَثًا... ثم ذكر الحديث الطويل في وصف عذاب القبر وقتنته
ความว่า “เราได้ออกไปพร้อมกับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในญะนาซะฮฺของชายคนหนึ่งในหมู่ชาวอันศอร ครั้นเมื่อเรามาถึงหลุมฝังศพ และเมื่อศพถูกฝังแล้วท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมก็ได้นั่ง และเราก็ได้นั่งล้อมตัวท่าน ประหนึ่งว่าบนศีรษะของเรามีนกเกาะอยู่(ด้วยความนั่งนิ่ง) ส่วนมือของท่านนั้นก็ทาบบนพื้นดิน โดยที่ท่านชะเง้อศีรษะขึ้นมา แล้วท่านก็ได้กล่าวว่า “พวกเจ้าจงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮฺจากการทรมานในหลุมฝังศพเถิด” ท่านได้กล่าวเช่นนั้น สองหรือสามครั้ง...หลังจากนั้นท่านก็ได้กล่าวถึงลักษณะต่างๆของการทรมานและความเลวร้ายของหลุมฝังศพอีก” (บันทึกโดยอบูดาวูด หมายเลขหะดีษ : 3212 )
ข. มันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นบททดสอบ และเป็นคำสั่งใช้ให้มนุษย์นั้นหาวิธีการแก้ไข ดังนั้นก็จงใช้โอกาสดังกล่าวนั้นพูดคุยกับเขาให้มีความสัมพันธ์กับอัลลอฮฺ ตะอาลา ให้มากขึ้นเถิด
มีรายงานจากท่านซัยดฺ อิบนุอัรก็อม เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
أَصَابَنِي رَمَدٌ فَعَادَنِي النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ فَلَمَّا بَرَأْتُ خَرَجْتُ قَالَ فَقَالَ لِي رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «أَرَأَيْتَ لَوْ كَانَتْ عَيْنَاكَ لِمَا بِهِمَا مَا كُنْتَ صَانِعًا»، قَالَ: قُلْتُ لَوْ كَانَتَا عَيْنَايَ لِمَا بِهِمَا صَبَرْتُ وَاحْتَسَبْتُ، قَالَ: «لَوْ كَانَتْ عَيْنَاكَ لِمَا بِهِمَا ثُمَّ صَبَرْتَ وَاحْتَسَبْتَ لَلَقِيتَ اللهَ عَزَّ وَجَلَّ وَلَا ذَنْبَ لَكَ»
ความว่า “ฉันเป็นโรคตาแดง ซึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมก็ได้มาเยี่ยมฉัน ครั้นเมื่อฉันหายแล้ว ฉันก็ได้ออกไป ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวแก่ฉันว่า “ท่านมีความคิดเห็นยังไง หากตาทั้งสองข้างของเจ้านั้นไม่สามารถใช้การได้ ?” ฉันจึงตอบว่า “หากตาของฉันทั้งสองเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันก็จะอดทนพึงพอใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “หากตาทั้งสองของท่านเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วเจ้าก็อดทนและพึงพอใจต่อสิ่งที่มันเกิดขึ้นได้ ท่านก็จะได้พบกับอัลลอฮฺ อัซซะวะญัลลา ในสภาพที่เจ้าจะไม่มีความผิดใดๆหลงเหลืออยู่อีกเลยอย่างแน่นอน”” (บันทึกโดยอะหฺมัด หมายเลขหะดีษ : 19348 )
จากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอัมรฺ อิบนุลอาศ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
إِذَا جَاءَ الرَّجُلُ يَعُودُ مَرِيضًا قَالَ اللَّهُمَّ اشْفِ عَبْدَكَ يَنْكَأُ لَكَ عَدُوًّا وَيَمْشِي لَكَ إِلَى الصَّلَاةِ
ความว่า “เมื่อชายคนหนึ่งไปเยี่ยมคนป่วย ก็ให้เขากล่าวว่า “โอ้อัลลอฮฺ ขอโปรดทรงทำให้บ่าวของพระองค์ฟื้นจากไข้เพื่อเขาจะได้เอาชนะศัตรูเพื่อพระองค์ หรือเดินไปละหมาดเพื่อพระองค์เถิด”” (บันทึกโดยอะหฺมัด หมายเลขหะดีษ : 6600)
เป็นคำสั่งเสียของท่านนบีแก่ผู้ศรัทธาทุกคน ให้มีความมุ่งมั่นและตระหนักต่อบทบาทของเขาในการใช้ชีวิต โดยให้มุ่งสู่การปฏิบัติศาสนกิจด้วยความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว หรือร่วมให้การสนับสนุนและปกป้องในศาสนาของพระองค์
ค. มันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมก็ใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอสิ่งที่มีความคล้ายคลึงกันปรากฏการณ์ดังกล่าว(ในเชิงของการเปรียบเทียบ)
จากท่านญะรีร อิบนุอับดุลลอฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
كُنَّا عِنْدَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَنَظَرَ إِلَى الْقَمَرِ لَيْلَةً يَعْنِي الْبَدْرَ فَقَالَ إِنَّكُمْ سَتَرَوْنَ رَبَّكُمْ كَمَا تَرَوْنَ هَذَا الْقَمَرَ لَا تُضَامُّونَ فِي رُؤْيَتِهِ فَإِنْ اسْتَطَعْتُمْ أَنْ لَا تُغْلَبُوا عَلَى صَلَاةٍ قَبْلَ طُلُوعِ الشَّمْسِ وَقَبْلَ غُرُوبِهَا فَافْعَلُوا ثُمَّ قَرَأَ ﴿وَسَبِّحْ بِحَمْدِ رَبِّكَ قَبْلَ طُلُوعِ الشَّمْسِ وَقَبْلَ الْغُرُوبِ﴾
ความว่า “พวกเราเคยนั่งร่วมกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งท่านนบีได้มองไปยังดวงจันทร์ซึ่งเป็นคืนจันทร์เพ็ญ แล้วท่านก็ได้กล่าวว่า “โดยแน่แท้พวกเจ้าจะได้เห็นพระเจ้าของพวกเจ้า เหมือนกับการเห็นดวงจันทร์(ในค่ำคืนนี้) ซึ่งพวกเจ้าจะไม่ได้รับอันตรายใดๆในการเห็นพระองค์ ดังนั้นหากพวกเจ้ามีความสามารถ พวกเจ้าก็อย่าพลาดที่จะละหมาดก่อนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและก่อนที่ดวงอาทิตย์ตก(หมายถึงละหมาดศุบหฺและอัศรฺ) หลังจากนั้นท่านก็อ่านว่า -และจงแซ่ซ้องด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้าก่อนการขึ้นของดวงอาทิตย์และก่อนการตก (ของมัน)-” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 554)
ง. และมันอาจเป็นเหตุการณ์ที่มีความตื่นเต้น ซึ่งมีผลต่อความอารมณ์และความรู้สึกได้ ดังเรื่องราวที่ท่านอนัส อิบนุมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้รายงานก่อนหน้านี้เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความห่วงใยต่อลูกน้อยของนาง
10. การให้กำลังใจและการกล่าวชมเชย
ท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้ถามท่านเราะสูลุลลอฮฺ ว่า
مَنْ أَسْعَدُ النَّاسِ بِشَفَاعَتِكَ يَوْمَ الْقِيَامَةِ؟ قَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : «لَقَدْ ظَنَنْتُ يَا أَبَا هُرَيْرَةَ أَنْ لَا يَسْأَلُنِي عَنْ هَذَا الْحَدِيثِ أَحَدٌ أَوَّلُ مِنْكَ لِمَا رَأَيْتُ مِنْ حِرْصِكَ عَلَى الْحَدِيثِ»
ความว่า “มนุษย์คนใดหรือ ? ที่จะมีความสุขมากที่สุดจากการได้รับการช่วยเหลือ(ชะฟาอะฮฺ)ของท่านในวันแห่งการพิพากษา ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า โอ้อบูฮุร็อยเราะฮฺเอ่ย ฉันคิดว่ายังไม่เคยมีใครถามเรื่องนี้กับฉันเลยก่อนหน้าท่าน และฉันเห็นว่าท่านนั้นมีความขะมักเขม้นที่จะเก็บเกี่ยววจนะต่างๆ(ของฉันเป็นอย่างยิ่ง) (ท่านเราะสูลุลลฮฮฺ จึงตอบว่า มนุษย์ที่จะมีความสุขที่สุดจากการได้รับการช่วยเหลือของฉันนั้นในวันแห่งการพิพากษานั้นคือ ผู้ที่กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ) ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 99)
เราลองมานึกภาพกันเถิด โอ้..พี่น้องท่านผู้อ่านทั้งหลายว่า สภาพของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺนั้นจะเป็นเช่นไร ? เมื่อท่านได้ยินคำชมเชยนั้น ซึ่งนั้นคือการรับรองจากบรมครูของครูทั้งหลาย และจากชัยคฺของบรรดาชัยคฺทั้งหลาย -ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม- ในความขะมักเขม้นของท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺในการแสวงหาความรู้ ใช่แต่เท่านั้น มันเป็นการยกระดับท่านให้สูงเหนือท่านอื่นๆ และลองนึกภาพดูว่าผลของความรู้สึกดังกล่าวนั้นจะเป็นเช่นไร มันย่อมผลักดันให้ท่านมีความขะมักเขม้น มุ่งมั่น และรักษาการงานที่ท่านได้ทำได้อย่างแน่นอน
และครั้นเมื่อท่านอุบัย อิบนุ กะอับ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ถูกถามว่า
« يَا أَبَا الْمُنْذِرِ أَتَدْرِى أَىُّ آيَةٍ مِنْ كِتَابِ اللهِ مَعَكَ أَعْظَمُ ». قَالَ قُلْتُ اللهُ وَرَسُولُهُ أَعْلَمُ. قَالَ « يَا أَبَا الْمُنْذِرِ أَتَدْرِى أَىُّ آيَةٍ مِنْ كِتَابِ اللهِ مَعَكَ أَعْظَمُ ». قَالَ قُلْتُ اللهُ لاَ إِلَهَ إِلاَّ هُوَ الْحَىُّ الْقَيُّومُ. قَالَ فَضَرَبَ فِى صَدْرِي وَقَالَ « وَاللهِ لِيَهْنِكَ الْعِلْمُ أَبَا الْمُنْذِرِ»
ความว่า “ “โอ้อบูอัลมุนซิรเอ่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่า อายะฮฺใดในคัมภีร์ของอัลลอฮฺที่อยู่กับท่านนั้น ยิ่งใหญ่ที่สุด” ฉันก็ได้ตอบว่า “อัลลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์นั้นรู้ดีที่สุด” ท่านนบีก็ถามอีกว่า “โอ้อบูอัลมุนซิรเอ่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่า อายะฮฺใดในคัมภีร์ของอัลลอฮฺที่อยู่กับท่านนั้น ยิ่งใหญ่ที่สุด” ท่านจึงตอบว่า “อายะฮฺอัลกุรสีย์” ท่านนบีจึงตีอกของฉัน แล้วท่านก็ได้กล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เจ้าถูกปกคลุมด้วยความรู้แล้ว โอ้อบูอัลมุนซิรเอ่ย” ” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 1921)
แท้จริงย่อมไม่มีสิ่งใดที่จะเทียบเท่าคำกล่าวชมเชยหรือการให้กำลังใจได้อย่างแน่นอน เพราะมันจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ผู้แสวงหาความรู้ต่างๆนั้นมีความขะมักเขม้นและมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้น และ(จะเป็นตัวขับเคลื่อน)ให้จิตใจนั้นมีความปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับความสำเร็จ ซึ่งการให้คำชมเชยของผู้คนนั้นมีรูปแบบที่หลากหลายเป็นอย่างยิ่ง
การให้กำลังใจและการกล่าวชมเชยนั้นจะเป็นตัวกระตุ้นแก่คนผู้อื่น และเสมือนเป็นการดะอฺวะฮฺ(เชิญชวนพวกเขาให้ทำความดีงาม)โดยทางอ้อมอีกด้วย เนื่องด้วยคนๆหนึ่งนั้นมักจะกระทำในสิ่งที่เขาได้รับการชมเชยเสมอ
وبالله التوفيق
وصلى الله على نبينا محمد، وآله وصحبه وسلم.