
อันที่จริง ในช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มคนนั้นได้มาหาท่านนบีด้วยกับสภาพของผู้ที่อารมณ์ใคร่ได้รุมเร้าจิตใจของเขาอยู่นั้น กลายเป็นเหตุผลหลักที่ผลักดันให้เขาได้ทำลายกำแพงแห่งความละอายไปจากตัวเขา โดยที่เขากล้าที่จะไปบอกแก่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่าน กระนั้นก็ตามท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งเป็นผู้ให้การอบรมขัดเกลาและสั่งสอนนั้นก็ทราบดีว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านนั้นไม่เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร ?
และการมาของเด็กหนุ่มคนนั้นเพื่อมาขออนุญาตท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ให้เขาสามารถที่จะทำซินาได้นั้น แม้นตัวของเด็กหนุ่มคนนั้นจะไม่ค่อยมีความสำรวม และไม่ค่อยจะเข้าใจในศาสนามากนัก แต่เราก็ไม่เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมีความปรารถนาที่จะได้รับการอนุญาตโดยแท้จริงแม้อย่างใดไม่ แต่เป็นเพียงการเปิดเผยความปรารถนาลึกๆที่มีอยู่ในตัวเขาต่างหาก และโดยแน่นอนท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ย่อมทราบดีในอีกแง่มุมหนึ่งของความดีงามที่มีอยู่ในตัวเด็กหนุ่มคนนั้น ดังนั้นสิ่งที่เป็นผลตามมานั้นคือ “หลังจากนั้นเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่ให้ความสนใจในเรื่องลักษณะอย่างนี้อีกเลย”
5. ใช้การสนทนาและการโต้ตอบ
ตัวอย่างที่ดียิ่งในเรื่องนี้คือ เหตุการณ์ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สนทนาโต้ตอบกับชาวอันศอรฺในเรื่องการแบ่งทรัพย์สงครามหุนัยน์ โดยที่ท่านให้ส่วนแบ่งแก่หัวหน้าตระกูลอาหรับต่างๆอย่างมากมายเพื่อเอาใจพวกเขาในการเข้ารับอิสลามและให้ส่วนแบ่งแก่ชาวกุรอยช์มากมายเช่นกัน แต่ท่านนบีไม่แบ่งสิ่งใดให้แก่ชาวอันศอรฺเลย ทำให้ชาวอันศอรฺบางคนตัดพ้อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ(ที่พวกเขาไม่ได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สงครามครั้งนี้) เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงได้เรียกชาวอันศอรฺมารวมตัว ทันใดนั้นการสนทนาและโต้ตอบระหว่างกันก็ได้เกิดขึ้น ดังที่ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุซัยดฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
لَمَّا أَفَاءَ اللهُ عَلَى رَسُولِهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَوْمَ حُنَيْنٍ قَسَمَ فِي النَّاسِ فِي الْمُؤَلَّفَةِ قُلُوبُهُمْ وَلَمْ يُعْطِ الْأَنْصَارَ شَيْئًا فَكَأَنَّهُمْ وَجَدُوا إِذْ لَمْ يُصِبْهُمْ مَا أَصَابَ النَّاسَ فَخَطَبَهُمْ فَقَالَ: «يَا مَعْشَرَ الْأَنْصَارِ أَلَمْ أَجِدْكُمْ ضُلَّالًا فَهَدَاكُمْ اللهُ بِي، وَكُنْتُمْ مُتَفَرِّقِينَ فَأَلَّفَكُمْ اللهُ بِي، وَعَالَةً فَأَغْنَاكُمْ اللهُ بِي»، كُلَّمَا قَالَ شَيْئًا قَالُوا اللهُ وَرَسُولُهُ أَمَنُّ، قَالَ: «مَا يَمْنَعُكُمْ أَنْ تُجِيبُوا رَسُولَ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ؟» قَالَ: كُلَّمَا قَالَ شَيْئًا قَالُوا اللهُ وَرَسُولُهُ أَمَنُّ، قَالَ: «لَوْ شِئْتُمْ قُلْتُمْ جِئْتَنَا كَذَا وَكَذَا، أَتَرْضَوْنَ أَنْ يَذْهَبَ النَّاسُ بِالشَّاةِ وَالْبَعِيرِ وَتَذْهَبُونَ بِالنَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلَى رِحَالِكُمْ، لَوْلَا الْهِجْرَةُ لَكُنْتُ امْرَأً مِنْ الْأَنْصَارِ، وَلَوْ سَلَكَ النَّاسُ وَادِيًا وَشِعْبًا لَسَلَكْتُ وَادِيَ الْأَنْصَارِ وَشِعْبَهَا، الْأَنْصَارُ شِعَارٌ وَالنَّاسُ دِثَارٌ إِنَّكُمْ سَتَلْقَوْنَ بَعْدِي أُثْرَةً فَاصْبِرُوا حَتَّى تَلْقَوْنِي عَلَى الْحَوْضِ»
ความว่า “เมื่ออัลลอฮฺทรงให้ท่านนเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แบ่งทรัพย์สงครามหุนัยน์ให้แก่ผู้คนอย่างมากมายเพื่อเอาใจพวกเขาในการเข้ารับอิสลาม แต่ท่านไม่ได้แบ่งสิ่งใดให้แก่ชาวอันศอรฺเลย ทำให้ชาวอันศอรฺบางคนตัดพ้อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เหตุที่พวกเขาไม่ได้รับในสิ่งที่ผู้คนทั้งหลายได้รับกัน ด้วยเหตุนั้นท่านเราะสูลุลลอฮฺจึง(ลุกขึ้นเพื่อ)กล่าวเทศนาต่อพวกเขา (ดังนั้นท่านจึงกล่าวสรรเสริญต่ออัลลอฮฺ) แล้วได้กล่าวแก่พวกเขาว่า “โอ้เหล่าชาวอันศอรฺเอ่ย (มีคำพูดของพวกท่านบางคำพูดมาถึงฉัน และการตำหนิต่อฉันในใจของพวกท่าน) พวกท่านเคยหลงผิด แล้วอัลลอฮฺก็ได้ชี้แนะพวกท่านมิใช่หรือ ? พวกท่านเคยเป็นศัตรูกัน แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทำให้พวกท่านปรองดองกันมิใช่หรือ ?พวกท่านเคยยากจน แล้วอัลลอฮฺก็ได้ทำให้พวกท่านร่ำรวยมิใช่หรือ ?” ชาวอันศอรฺจึงตอบว่า “หามิได้เลย บุญคุณและความโปรดปรานต่างๆของอัลลอฮฺนั้นมากมายล้นเหลือยิ่งนัก” ท่านนบีจึงถามต่ออีกว่า “มีอะไรที่กีดกั้นพวกท่านมิให้ตอบในสิ่งที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมถามกระนั้นหรือ ?” พวกเขากล่าวว่า “ (เราจะตอบท่านอย่างไร โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ?) บุญคุณและความโปรดปรานต่างๆของอัลลอฮฺมากมายล้นเหลือยิ่งนัก” (ท่านจึงกล่าวว่า “หากพวกท่านจะพูดก็เป็นเรื่องจริง(พวกท่านอาจกล่าวว่า) ท่านนั้นแหละมาหาเราในสภาพที่ถูกใครๆปฏิเสธ แต่เราก็เชื่อ ท่านถูกคนทอดทิ้งแต่เราก็ช่วยเหลือเกื้อกูล ท่านถูกใครๆขับไสไล่ส่ง แต่เราก็ให้ที่พักพิง ท่านมาในฐานะคนลำบากแร้นแค้น แต่เราก็ให้ทรัพย์สินแก่ท่าน โอ้ชาวอันศอรฺ พวกท่านจะตำหนิฉันเพียงเพราะทรัพย์ทางโลกที่ฉันให้แก่กลุ่มชนหนึ่งที่ฉันอยากเอาชนะใจพวกเขาให้เข้ารับอิสลาม แต่ฉันเชื่อในอิสลามของพวกท่าน) โอ้ชาวอันศอรฺ พวกท่านไม่พอใจดอกหรือที่คนอื่นได้แพะและอูฐกลับไป แต่พวกท่านได้นบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกลับไปยังที่นั่งบนหลังอูฐของพวกท่าน ? (ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของมุหัมมัดอยู่ในหัตถ์ของพระองค์) หากไม่มีการอพยพ แน่นอนฉันอาจจะเป็นคนหนึ่งในหมู่ชาวอันศอรฺ หากว่าผู้คนมุ่งที่จะไปที่หุบเขาหนึ่ง แต่ชาวอันศอรฺมุ่งไปที่อีกหุบเขาหนึ่ง แน่นอนฉันก็จะมุ่งตรงไปที่หุบเขาของชาวอันศอรฺ สำหรับชาวอันศอรฺแล้วพวกเขาประหนึ่งเสื้อชั้นในส่วนผู้คนทั้งหลายนั้นคือเสื้อคลุม (โอ้ชาวอันศอรฺเอ่ย) แท้จริงพวกท่านจะได้พบหลังจากฉันผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ดังนั้นพวกท่านจงอดทนเถิด จนกว่าพวกท่านจะได้พบกับฉันที่บ่อน้ำ(อัลเหาฎฺ)” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ : 4330 และมุสลิม : 2493)
ซึ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างต้นนั้น ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ใช้การสนทนาโต้ตอบกับพวกเขาเหล่านั้น โดยที่ท่านได้นำเสนอคำถามให้แก่ชาวอันศอรฺแล้วท่านก็รอคำตอบจากพวกเขา ใช่แต่เท่านั้น เมื่อท่านเห็นว่าไม่มีใครตอบในสิ่งที่ท่านถาม ท่านก็ได้ให้คำตอบด้วยตัวของท่านเอง ดังที่ท่านได้กล่าวตอบว่า “และหากว่าท่านจะพูด ท่านก็จะพูดในเรื่องที่เป็นความจริง และพวกท่านก็จะเชื่อในสิ่งนั้นอย่างแน่นอน”
6. ใช้ความเกรี้ยวกราดและการลงโทษ
ปรากฏว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะมีความเกรี้ยวกราดต่อผู้ที่กระทำความผิด และจะลงโทษคนผู้นั้น
ดังที่ท่านอบู มัสอูด อัลอันศอรีย์ ได้เล่าว่า
قَالَ رَجُلٌ يَا رَسُولَ اللهِ ، لاَ أَكَادُ أُدْرِكُ الصَّلاَةَ مِمَّا يُطَوِّلُ بِنَا فُلاَنٌ ، فَمَا رَأَيْتُ النَّبِىَّ - صلى الله عليه وسلم - فِى مَوْعِظَةٍ أَشَدَّ غَضَبًا مِنْ يَوْمِئِذٍ فَقَالَ « أَيُّهَا النَّاسُ ، إِنَّكُمْ مُنَفِّرُونَ ، فَمَنْ صَلَّى بِالنَّاسِ فَلْيُخَفِّفْ ، فَإِنَّ فِيهِمُ الْمَرِيضَ وَالضَّعِيفَ وَذَا الْحَاجَةِ »
ความว่า “มีชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ! ฉันเกือบจะไม่ร่วมละหมาด(ญะมาอะฮฺ)เหตุเพราะจากคนหนึ่งที่นำละหมาดพวกเรานานมาก “ ซึ่งฉันยังไม่เคยเห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กริ้วโกรธในการอบรมสั่งสอนครั้งใดมากยิ่งไปกว่าวันนั้น โดยท่านกล่าวว่า “ โอ้ มนุษย์เอ๋ย ! พวกท่านนี้ คือผู้ที่ขับไล่ตะเพิดผู้อื่น ฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่นำคนอื่นละหมาด เขาก็จงทำให้เบา เพราะในหมู่พวกเขามีผู้ป่วย คนอ่อนแอ และผู้ที่มีธุระอยู่” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 90 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 466)
จากท่านซัยดฺ อิบนุ คอลิด อัลญุฮะนีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ سَأَلَهُ رَجُلٌ عَنْ اللُّقَطَةِ فَقَالَ: «اعْرِفْ وِكَاءَهَا أَوْ قَالَ وِعَاءَهَا وَعِفَاصَهَا، ثُمَّ عَرِّفْهَا سَنَةً، ثُمَّ اسْتَمْتِعْ بِهَا، فَإِنْ جَاءَ رَبُّهَا فَأَدِّهَا إِلَيْهِ»، قَالَ: فَضَالَّةُ الْإِبِلِ؟، فَغَضِبَ حَتَّى احْمَرَّتْ وَجْنَتَاهُ أَوْ قَالَ احْمَرَّ وَجْهُهُ، فَقَالَ: «وَمَا لَكَ وَلَهَا؟، مَعَهَا سِقَاؤُهَا وَحِذَاؤُهَا تَرِدُ الْمَاءَ وَتَرْعَى الشَّجَرَ، فَذَرْهَا حَتَّى يَلْقَاهَا رَبُّهَا»، قَالَ: فَضَالَّةُ الْغَنَمِ؟، قَالَ: «لَكَ أَوْ لِأَخِيكَ أَوْ لِلذِّئْبِ».
ความว่า “ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วได้ถามท่านนบี เกี่ยวกับของที่เขาได้พบเจอ(อัลลุกเฏาะฮฺ) ท่านนบีจึงกล่าวว่า พวกท่านจงทำสัญลักษณ์ด้วยการมัดและหีบห่อของนั้นให้ดีเถิด แล้วจงประกาศของที่เจอนั้นให้ผู้คนได้รู้เป็นเวลา 1 ปี (เมื่อเจ้าของยังไม่มารับของนั้น) ก็จงใช้มันได้ แต่หากเมื่อเจ้าของสิ่งของนั้นได้มายังท่าน(หลังจากที่ท่านใช้สิ่งของนั้นแล้ว) ท่านก็จงชดใช้เจ้าของสิ่งของนั้น มีคนกล่าวว่า “(โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ) เราจะทำเช่นไรกับอูฐที่มันหลงทางมาล่ะ?” ท่านนบีจึงโกรธจนกระทั่งสองแก้มของท่านแดงคล้ำหรือใบหน้าของท่านแดงคล้ำ แล้วท่านก็ได้กล่าวว่า “ทำไมเจ้าถึงหมกมุ่นอยู่กับมันโดยที่พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ในตัวของมันเลย ทั้งๆ ที่ตัวมันนั้นมีที่โหนกสำหรับเก็บน้ำและมีเกือกรองเท้าที่มีน้ำไว้สำหรับดื่มอยู่แล้ว และมันก็สามารถกินใบไม้ต่างๆได้ กระทั่งมันได้พบกับเจ้าของมัน” มีคนกล่าวอีกว่า “แล้วเราจะทำเช่นไรกับแพะที่มันหลงทางมาล่ะ ?” ท่านนบีจึงตอบว่า “เจ้าจงจับมันให้เป็นของเจ้าเถิด หรืออาจจะเป็นของพี่น้องเจ้า หรืออาจจะกลายเป็นอาหารของเหล่าหมาป่าก็ได้” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 91 มุสลิม หมายเลขหะดีษ : 4595)
ซึ่งหะดีษทั้งสองนั้นท่านอิมามอัลบุคอรีย์ได้บรรจุในหมวด “การโกรธเพื่อการอบรมสั่งสอนเมื่อได้เห็นสิ่งที่ชั่วร้าย”ในหนังสือ “อัศเศาะหีหฺ” ของท่าน
จากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้เล่าว่า
أَنَّ رَسُولَ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- رَأَى خَاتَمًا مِنْ ذَهَبٍ فِى يَدِ رَجُلٍ فَنَزَعَهُ فَطَرَحَهُ وَقَالَ « يَعْمِدُ أَحَدُكُمْ إِلَى جَمْرَةٍ مِنْ نَارٍ فَيَجْعَلُهَا فِى يَدِهِ ». فَقِيلَ لِلرَّجُلِ بَعْدَ مَا ذَهَبَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- خُذْ خَاتَمَكَ انْتَفِعْ بِهِ. قَالَ لاَ وَاللَّهِ لاَ آخُذُهُ أَبَدًا وَقَدْ طَرَحَهُ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เห็นชายคนหนึ่งสวมแหวนทองคำที่นิ้วมือของเขา ท่านจึงถอดแหวนจากนิ้วมือของชายคนนั้น และขว้างทิ้งมันไป แล้วท่านนบีก็ได้กล่าวว่าจะมีใครบ้างไหมในหมู่พวกเจ้าที่จะเอาถ่านไฟที่กำลังถูกเผาไหม้จากไฟนรกและถือมันไว้ในมือของเขา ? ภายหลังจากที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้จากไป ก็ได้มีบางคนแนะนำชายคนนั้นที่เป็นเจ้าของแหวนให้เอาแหวนไปขายเพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากราคาของมัน แต่ชายเจ้าของแหวนได้กล่าวตอบว่า “ ไม่ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่มีวันนำแหวนนั้นกลับมาอีก ในเมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ขว้างมันทิ้งไปแล้ว” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 5598 )
และจากท่านสะละมะฮฺ อิบนิลอักวัอฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
أَنَّ رَجُلاً أَكَلَ عِنْدَ رَسُولِ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- بِشِمَالِهِ فَقَالَ «كُلْ بِيَمِينِكَ». قَالَ لاَ أَسْتَطِيعُ قَالَ «لاَ اسْتَطَعْتَ». مَا مَنَعَهُ إِلاَّ الْكِبْرُ. قَالَ فَمَا رَفَعَهَا إِلَى فِيهِ
ความว่า “ชายคนหนึ่งได้กินอาหารด้วยมือซ้ายต่อหน้าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ท่านจึงกล่าวว่า “จงกินอาหารด้วยมือขวาของเจ้า” เขาได้กล่าวว่า “ฉันทำไม่ได้” ท่านจึงกล่าวอีกว่า “ท่านทำไม่ได้กระนั้นหรือ ? ” เปล่าเลย ไม่มีสิ่งใดที่ได้ขัดขวางเขา(ไม่ให้ทำตามคำสั่งของท่านเราะสูลุลลอฮฺ) นอกจากความยิ่งยโส (ของเขาเท่านั้น) ท่านจึงกล่าวต่อว่า “ฉะนั้น มือข้างขวานั้นก็ไม่ต้องยกมันอีก (ทำให้มือข้างขวาของชายคนนั้นเป็นอัมพฤกต์)” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 5387)
กระนั้นก็ตาม ความเกรี้ยวกราดดังกล่าวนั้นก็มิใช่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมแม้แต่อย่างใด แต่ความอ่อนโยนต่างหากที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทว่า เมื่อถึงจุดที่ต้องใช้ความเกรี้ยวกราด ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็จะแสดงถึงความเกรี้ยวกราด และนี่คือหลักฐานบางส่วนสำหรับเรื่องนี้
1. อัลลอฮฺ สุบหานะฮุวะตะอาลา ได้พรรณนาถึงคุณลักษณะของท่านนบีไว้ว่า ท่านเป็นผู้ที่มีความสุภาพอ่อนโยนและนุ่มนวล ดังที่พระองค์ ตรัสว่า
﴿فَبِمَا رَحْمَةٍ مِّنَ اللهِ لِنتَ لَهُمْ وَلَوْ كُنتَ فَظًّا غَلِيظَ الْقَلْبِ لاَنفَضُّواْ مِنْ حَوْلِكَ فَاعْفُ عَنْهُمْ وَاسْتَغْفِرْ لَهُمْ وَشَاوِرْهُمْ فِي الأَمْرِ فَإِذَا عَزَمْتَ فَتَوَكَّلْ عَلَى اللهِ إِنَّ اللهَ يُحِبُّ الْمُتَوَكِّلِين﴾
ความว่า “เนื่องด้วยความเมตตาจากอัลลอฮฺนั่นเอง เจ้า (มุหัมมัด) จึงได้สุภาพอ่อนโยนแก่พวกเขา และถ้าหากเจ้าเป็นผู้ประพฤติหยาบช้า และมีใจแข็งกระด้างแล้วไซร้ แน่นอนพวกเขาก็ย่อมแยกตัวออกไปจากรอบๆ เจ้ากันแล้ว ดังนั้นจงอภัยให้แก่พวกเขาเถิด และจงขออภัยให้แก่พวกเขาด้วย และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย ครั้นเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้วก็จงมอบหมายแด่อัลลอฮฺเถิด แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักใคร่ผู้มอบหมายทั้งหลาย” (สูเราะฮฺอาลิอิมรอน : 159)
และพระองค์ได้พรรณนาถึงคุณลักษณะของท่านนบี ด้วยคุณลักษณะของผู้ที่มีความสุภาพอ่อนโยนอีกว่า
﴿لَقَدْ جَاءكُمْ رَسُولٌ مِّنْ أَنفُسِكُمْ عَزِيزٌ عَلَيْهِ مَا عَنِتُّمْ حَرِيصٌ عَلَيْكُم بِالْمُؤْمِنِينَ رَؤُوفٌ رَّحِيمٌ﴾
ความว่า “แท้จริงมีเราะสูลคนหนึ่งจากพวกท่านเองได้มาหาพวกท่านแล้ว เป็นที่ลำบากใจแก่เขาในสิ่งที่พวกท่านได้รับความทุกข์ยาก เป็นผู้ห่วงใยย่าน เป็นผุ้เมตตา ผู้กรุณาสงสาร ต่อบรรดาผู้ศรัทธา” (สูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ : 128)
โดยแน่นอน ย่อมไม่มีผู้ใดที่จะพรรณนาคุณลักษณะของท่านนบี อะลัยฮิศเศาะลาตุวัสลาม ได้ดียิ่งกว่าการพรรณนาถึงคุณลักษณะของอัลลอฮฺต่อท่านนบี เพราะพระองค์ท่านเป็นผู้ที่ทรงรอบรู้ดียิ่ง
2. บรรดาเศาะหาบะฮฺเคยพรรณนาถึงคุณลักษณะของท่านนบี
ท่านมุอาวิยะฮฺ เราะฎิยัลลออุอันฮุ เคยพรรณนาถึงคุณลักษณะของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไว้ว่า
مَا رَأَيْتُ مُعَلِّمًا قَبْلَهُ وَلاَ بَعْدَهُ أَحْسَنَ تَعْلِيمًا مِنْهُ، فَوَاللهِ مَا كَهَرَنِى وَلاَ ضَرَبَنِى وَلاَ شَتَمَنِى
ความว่า “ฉันไม่เคยพบเห็นครูท่านใดก่อนหน้าท่านนบีและภายหลังจากท่าน ที่ทำการสั่งสอนได้ดีกว่าท่าน ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ท่านไม่เคยตะคอก ไม่เคยตบตี ไม่เคยด่าว่าใส่ฉันเลย” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 1227)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยสั่งใช้ให้บรรดาเศาะหาบะฮิมีความสุภาพอ่อนโยน และท่านเป็นแบบอย่างในเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่งครั้นเมื่ออายะฮฺนี้ถูกประทานลงมา
﴿يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آَمَنُوا لِمَ تَقُولُونَ مَا لَا تَفْعَلُونَ﴾
ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ทำไมพวกเจ้าจึงกล้าพูดในสิ่งที่พวกเจ้าไม่ปฏิบัติ” (สูเราะฮฺอัศศอฟ : 2)
ท่านคือผู้ที่สนองในการปฏิบัติตามอายะฮฺข้างต้นได้ดีที่สุด และครั้นเมื่อท่านได้ส่งท่านมุอาซ และท่านอบูมูสา เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ไปยังประเทศเยเมน ท่านได้ก็ได้กล่าวแก่ทั้งสองไว้ว่า
«يَسِّرَا وَلَا تُعَسِّرَا وَبَشِّرَا وَلَا تُنَفِّرَا»
ความว่า “พวกท่านจงทำให้ง่ายอย่าทำให้ยาก และจงแจ้งข่าวดีอย่าทำให้ตะเพิดหนี” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 3038 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 4623 )
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เองก็เคยชมเชยในความสุภาพอ่อนโยน ดังที่ท่านได้กล่าวว่า
«لَا يَكُون الرِّفْق فِي شَيْء إِلَّا زَانَهُ ، وَلَا يُنْزَع مِنْ شَيْء إِلَّا شَانَهُ»
ความว่า “ความอ่อนโยนจะไม่ปรากฏในสิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจากมันจะเป็นการประดับประดาแก่สิ่งนั้น และมันจะไม่ถูกนำออกจากสิ่งหนึ่งสิ่งใดนอกจากสิ่งนั้นจะมีความน่าเกลียด” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 6767)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า
«يَا عَائِشَةُ إِنَّ اللهَ رَفِيقٌ يُحِبُّ الرِّفْقَ فِي الْأَمْرِ كُلِّهِ»
ความว่า “โอ้ อาอิชะฮฺเอ่ย พระองค์อัลลอฮฺทรงรักความสุภาพอ่อนโยนในทุกกิจการงาน” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 6927 )
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวอีกว่า
«يا عَائِشَةُ إِنَّ اللهَ رَفِيقٌ يُحِبُّ الرِّفْقَ وَيُعْطِى عَلَى الرِّفْقِ مَا لاَ يُعْطِى عَلَى الْعُنْفِ وَمَا لاَ يُعْطِى عَلَى مَا سِوَاهُ»
ความว่า “โอ้ อาอิชะฮฺเอ่ย แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลาทรงสุภาพอ่อนโยนยิ่ง พระองค์ทรงรักความสุภาพอ่อนโยน สิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้นั้นคือความสุภาพอ่อนโยน และสิ่งที่พระองค์จะไม่ประทานให้คือความแข็งกระด้าง และพระองค์จะไม่ประทานให้อื่นนอกจากความสุภาพอ่อนโยนเท่านั้น” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 6766 )
ท่านญะรีร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้รายงานอีกว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«مَنْ يُحْرَمِ الرِّفْقَ يُحْرَمِ الْخَيْرَ»
ความว่า “ผู้ใดถูกห้ามไม่ให้มีลักษณะของความอ่อนโยน เขาก็ย่อมถูกห้ามจากการได้รับความดีงามเช่นเดียวกัน” (บันทึกโดยมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 6763 )
ชีวประวัติของท่านในการอยู่ร่วมกับบรรดาเศาะหาบะฮฺ ก็ปรากฏว่าท่านมักจะมีความสุภาพอ่อนโยนในทุกเรื่องราว ดังมีตัวอย่างดังนี้
ก. เรื่องราวของชายชาวอาหรับชนบทได้ปัสสาวะในมัสญิด ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เป็นที่รู้กันดี (โดยมีรายงานดังนี้ -ผู้แปล-)
بَيْنَمَا نَحْنُ فِى الْمَسْجِدِ مَعَ رَسُولِ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- إِذْ جَاءَ أَعْرَابِىٌّ فَقَامَ يَبُولُ فِى الْمَسْجِدِ فَقَالَ أَصْحَابُ رَسُولِ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- مَهْ مَهْ. قَالَ: قَالَ رَسُولُ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- « لاَ تُزْرِمُوهُ، دَعُوهُ ». فَتَرَكُوهُ حَتَّى بَالَ. ثُمَّ إِنَّ رَسُولَ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- دَعَاهُ فَقَالَ لَهُ « إِنَّ هَذِهِ الْمَسَاجِدَ لاَ تَصْلُحُ لِشَىْءٍ مِنْ هَذَا الْبَوْلِ وَلاَ الْقَذَرِ إِنَّمَا هِىَ لِذِكْرِ اللهِ عَزَّ وَجَلَّ وَالصَّلاَةِ وَقِرَاءَةِ الْقُرْآنِ ». أَوْ كَمَا قَالَ رَسُولُ اللهِ -صلى الله عليه وسلم-. قَالَ فَأَمَرَ رَجُلاً مِنَ الْقَوْمِ فَجَاءَ بِدَلْوٍ مِنْ مَاءٍ فَشَنَّهُ عَلَيْهِ
ความว่า “ในขณะที่พวกเราอยู่ในมัสญิดร่วมอยู่กับท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็มีชายชาวชนบท(ชายชาวเบดูอิน)คนหนึ่งได้เข้ามาในมัสญิด และได้ปัสสาวะ(ที่มุมหนึ่ง)ในมัสญิด บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺก็พากันกล่าว มะฮฺ มะฮฺ (เป็นการกล่าวห้าม) ท่านนบีได้กล่าว(เป็นการปรามบรรดาเศาะหาบะฮฺ)ว่า “พวกท่านอย่าได้ห้ามให้เขาหยุดจากการปัสสาวะ ปล่อยให้เขาทำภาระกิจของเขาต่อไปให้เสร็จ” บรรดาเศาะหาบะฮฺจึงปล่อยให้ชายผู้นั้นทำภารกิจ(ปัสสาวะ)ต่อไปจนเสร็จ หลังจากนั้นท่านนบีจึงได้เรียกชายผู้นั้น แล้วจึงกล่าวแก่ชายผู้นั้นว่า “ในมัสญิดเช่นนี้เป็นสถานที่ไม่สมควรอย่างยิ่งสำหรับน้ำปัสสาวะและอื่นใดที่เป็นสิ่งสกปรก” หากแต่ว่ามัสญิดเป็นสถานที่สำหรับการกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ ตะอาลา การละหมาด การอ่านอัลกุรอาน” หรือเช่นดังกล่าวนี้ที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลอลลอฮุอะลัยฮิวะวัลลัม ได้กล่าวขึ้น ท่านอับบาส ได้กล่าวว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้สั่งชายผู้หนึ่งในบรรดาเศาะหาบะฮฺ(ไปเอาน้ำ) ชายผู้นั้นได้นำภาชนะที่มีน้ำมา แล้วได้เทชำระล้างสถานที่(ที่ชายชาวชนบทได้ปัสสาวะให้หมดไป)” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ : 220 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ : 687)
ข. เรื่องราวของท่านอับบาด อิบนุชุเราะหฺบีล เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ
أَصَابَنَا عَامُ مَخْمَصَةٍ فَأَتَيْتُ الْمَدِينَةَ فَأَتَيْتُ حَائِطًا مِنْ حِيطَانِهَا فَأَخَذْتُ سُنْبُلاً فَفَرَكْتُهُ وَأَكَلْتُهُ وَجَعَلْتُهُ فِى كِسَائِى فَجَاءَ صَاحِبُ الْحَائِطِ فَضَرَبَنِى وَأَخَذَ ثَوْبِى فَأَتَيْتُ النَّبِىَّ -صلى الله عليه وسلم- فَأَخْبَرْتُهُ فَقَالَ لِلرَّجُلِ « مَا أَطْعَمْتَهُ إِذْ كَانَ جَائِعًا أَوْ سَاغِبًا وَلاَ عَلَّمْتَهُ إِذْ كَانَ جَاهِلاً ». فَأَمَرَهُ النَّبِىُّ -صلى الله عليه وسلم- فَرَدَّ إِلَيْهِ ثَوْبَهُ وَأَمَرَ لَهُ بِوَسْقٍ مِنْ طَعَامٍ أَوْ نِصْفِ وَسْقٍ
ความว่า “ในช่วงเวลาที่พวกเรา(ชาวเผ่าฆุบัรฺ)ได้ประสบกับสภาวะขาดแคลนอาหาร ฉันจึงเดินทางไปยังเมืองมาดีนะฮฺ แล้วฉันก็ไปยังเรือกสวนแห่งหนึ่ง และได้เก็บอินทผาลัมพวงหนึ่งมากินมัน ในส่วนที่เหลือฉันก็เก็บมันในกระเป๋าเสื้อของฉัน ทันใดนั้น เจ้าของเรือกสวนแห่งนั้นก็มาถึง เขาจึงทุบตีฉันและยึดเสื้อของฉันไป (เมื่อเป็นเช่นนั้น) ฉันจึงไปหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เพื่อจะไปฟ้องในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ท่านนบีจึงกล่าวแก่เจ้าของเรือกสวนนั้นว่า ทำไมเจ้าจึงไม่ให้อาหารแก่เขาทั้งๆที่เขาหิว และทำไมเจ้าจึงไม่บอกแก่เขาในเมื่อเขาไม่รู้ แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงสั่งให้เขาคืนเสื้อให้แก่ฉัน และสั่งให้เขาให้อาหารแก่ฉัน 1 วะสัก(เท่ากับ 60 ศออฺ 1 ศออ 2.7 กิโลกรัม ประมาณ 122.4 กิโลกรัม)หรือครึ่งหนึ่งของมัน ” (บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ หมายเลขหะดีษ : 2298)
ค. เรื่องราวของท่านสะละมะฮฺ อิบนุศ็อครฺ อัลอันศอรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
كُنْتُ رَجُلاً قَدْ أُوتِيتُ مِنْ جِمَاعِ النِّسَاءِ مَا لَمْ يُؤْتَ غَيْرِى، فَلَمَّا دَخَلَ رَمَضَانُ تَظَاهَرْتُ مِنَ امْرَأَتِى حَتَّى يَنْسَلِخَ رَمَضَانُ، فَرَقًا مِنْ أَنْ أُصِيبَ مِنْهَا فِى لَيْلَتِى فَأَتَتَابَعَ فِى ذَلِكَ إِلَى أَنْ يُدْرِكَنِى النَّهَارُ وَأَنَا لاَ أَقْدِرُ أَنْ أَنْزِعَ، فَبَيْنَمَا هِىَ تَخْدُمُنِى ذَاتَ لَيْلَةٍ إِذْ تَكَشَّفَ لِى مِنْهَا شَىْءٌ فَوَثَبْتُ عَلَيْهَا فَلَمَّا أَصْبَحْتُ غَدَوْتُ عَلَى قَوْمِى فَأَخْبَرْتُهُمْ خَبَرِى فَقُلْتُ انْطَلِقُوا مَعِى إِلَى رَسُولِ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- فَأُخْبِرُهُ بِأَمْرِى. فَقَالُوا لاَ وَاللهِ لاَ نَفْعَلُ نَتَخَوَّفُ أَنْ يَنْزِلَ فِينَا قُرْآنٌ أَوْ يَقُولَ فِينَا رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- مَقَالَةً يَبْقَى عَلَيْنَا عَارُهَا وَلَكِنِ اذْهَبْ أَنْتَ فَاصْنَعْ مَا بَدَا لَكَ. قَالَ فَخَرَجْتُ فَأَتَيْتُ رَسُولَ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- فَأَخْبَرْتُهُ خَبَرِى. فَقَالَ « أَنْتَ بِذَاكَ ». قُلْتُ أَنَا بِذَاكَ. قَالَ « أَنْتَ بِذَاكَ ». قُلْتُ أَنَا بِذَاكَ. قَالَ « أَنْتَ بِذَاكَ ». قُلْتُ أَنَا بِذَاكَ وَهَا أَنَا ذَا فَأَمْضِ فِىَّ حُكْمَ اللهِ فَإِنِّى صَابِرٌ لِذَلِكَ. قَالَ « أَعْتِقْ رَقَبَةً ». قَالَ فَضَرَبْتُ صَفْحَةَ عُنُقِى بِيَدِى فَقُلْتُ لاَ وَالَّذِى بَعَثَكَ بِالْحَقِّ مَا أَصْبَحْتُ أَمْلِكُ غَيْرَهَا. قَالَ « صُمْ شَهْرَيْنِ ». قُلْتُ يَا رَسُولَ اللهِ وَهَلْ أَصَابَنِى مَا أَصَابَنِى إِلاَّ فِى الصِّيَامِ. قَالَ « فَأَطْعِمْ سِتِّينَ مِسْكِينًا ». قُلْتُ وَالَّذِى بَعَثَكَ بِالْحَقِّ لَقَدْ بِتْنَا لَيْلَتَنَا هَذِهِ وَحْشَى مَا لَنَا عَشَاءٌ. قَالَ «اذْهَبْ إِلَى صَاحِبِ صَدَقَةِ بَنِى زُرَيْقٍ فَقُلْ لَهُ فَلْيَدْفَعْهَا إِلَيْكَ فَأَطْعِمْ عَنْكَ مِنْهَا وَسْقًا سِتِّينَ مِسْكِينًا ثُمَّ اسْتَعِنْ بِسَائِرِهِ عَلَيْكَ وَعَلَى عِيَالِكَ». قَالَ فَرَجَعْتُ إِلَى قَوْمِى فَقُلْتُ وَجَدْتُ عِنْدَكُمُ الضِّيقَ وَسُوءَ الرَّأْىِ وَوَجَدْتُ عِنْدَ رَسُولِ اللهِ -صلى الله عليه وسلم- السَّعَةَ وَالْبَرَكَةَ أَمَرَ لِى بِصَدَقَتِكُمْ فَادْفَعُوهَا إِلَىَّ فَدَفَعُوهَا إِلَىَّ.