
การจัดการศพในบทบัญญัติอิสลาม
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
จุลสารพร้อมภาพประกอบ
เรื่อง การจัดการศพในบทบัญญัติอิสลาม
ชื่อเอกสารเดิม เศาะลาตุลญะนาซะฮฺ โดย สำนักพิมพ์ ดารฺ อัล-ญะวาบ กรุงริยาด ตรวจสอบความถูกต้องโดยเชค อับดุลลอฮฺ บิน อับดุรเราะห์มาน อัล-ญิบรีน แปลโดย ดานียา เจ๊ะสนิ อาจารย์ประจำสาขาวิชาชะรีอะฮฺ คณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
บทบัญญัติชะรีอะฮฺหรือกฎหมายอิสลามนั้นมีความสมบูรณ์พร้อม ครอบคลุมทุกมิติ ทุกอณูในชีวิตประจำวันของมนุษย์ และมีการคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวมนุษย์เองหลังจากที่ได้ตายจากไป และนี่คือเอกสารฉบับหนึ่งที่ผู้เขียนพยายามรวบรวมและนำเสนอบทบัญญัติของอัลลอฮฺที่เกี่ยวกับการจัดการศพมุสลิมด้วยการอธิบายที่ง่าย ชัดเจนและมีรูปภาพสาธิตให้เห็นเป็นตัวอย่าง โดยเริ่มจากขั้นตอนแรกขณะที่มุสลิมถึงแก่ความตายไปจนถึงการฝังศพในกุโบรฺ
การเตรียมพร้อมที่จะประสพกับความตาย
มุสลิมควรที่จะเตรียมความพร้อมที่จะพบกับความตายอยู่เสมอ ทั้งนี้ด้วยการสร้างและสะสมความดีให้มากๆ และพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นข้อห้ามต่างๆ ในอิสลาม และพยายามไตร่ตรองนึกถึงความตายอยู่ตลอดเวลา ดังที่ท่านนบีกล่าวไว้ว่า
ความว่า “ท่านทั้งหลาย จงนึกถึงความตายให้มากๆ” (รายงานโดย อัต-ติรมิซียฺ หมายเลข 2229 ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอัล-อิรวาอ์ (682) ว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
เมื่อกำหนดความตายมาถึงมุสลิมคนหนึ่ง มารยาทที่มุสลิมคนอื่นจะต้องปฏิบัติมีหลายประการดังต่อไปนี้
1- ช่วยปิดเปลือกตาผู้ตายให้หลับตาลง ทั้งนี้ เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ปิดเปลือกตาทั้งสองของอบู สะละมะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ หลังจากที่เขาได้ตายไป พร้อมๆ กับการกล่าวว่า
ความว่า “แท้จริงวิญญาณนั้น เมื่อถูกถอดออกจากร่างแล้ว สิ่งที่มองตามหลังไปก็คือสายตา” (บันทึกโดยมุสลิม 2169)
2- ช่วยยืดเส้นสายและข้อต่อต่างๆ บนร่างกายผู้ตายให้เข้าที่ เพื่อมิให้แข็งงอ และหาของที่มีน้ำหนักพอควรวางตั้งบนหน้าท้องของผู้ตายเพื่อมิให้ท้องพองขึ้นมา
3- ช่วยเอาผ้ามาคลุมปกปิดร่างกายของผู้ตายทั่วทั้งร่าง ทั้งนี้ มีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า “แท้จริงเมื่อครั้งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตายจากไปนั้น ร่างของท่านได้ถูกปิดด้วยผ้าลายชิ้นใหญ่ชนิดหนึ่ง” (อัล-บุคอรียฺ 5814)
4- รีบดำเนินการและจัดการกับศพ ตลอดจนการละหมาด และฝังศพของผู้ตาย ให้รวดเร็ว ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวไว้ว่า
ความว่า “ท่านทั้งหลายจงรีบจัดการกับศพให้รวดเร็ว” (อัล-บุคอรียฺ 1315, มุสลิม 2229)
5- ควรฝังศพในเมืองที่ผู้ตายเสียชีวิต เพราะในเหตุการณ์สงครามอุหุดท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สั่งไว้ให้ฝังผู้ตายในสมรภูมิ ณ ที่ที่เขาตาย โดยไม่ให้ย้าย (รายงานโดยอัศหาบุศสุนัน ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ (น 51) ว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
การอาบน้ำญะนาซะฮฺ
· การอาบน้ำให้ศพ การห่อศพ การละหมาดญะนาซะฮฺ และการฝังศพถือเป็นฟัรฎู กิฟายะฮฺ ซึ่งหากมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจากชาวมุสลิมได้ทำหน้าที่แล้ว กลุ่มอื่นๆ ก็จะพ้นจากบาปไปด้วย แต่หากทุกคนละเลยไม่มีใครกระทำ ก็จะรับบาปกันทุกคน
· ถ้าผู้ตายเป็นผู้ชาย ผู้ที่ควรเป็นผู้อาบน้ำให้กับศพมากที่สุดก็คือผู้ที่ได้รับการสั่งเสียจากผู้ตายเองให้เป็นผู้อาบน้ำให้ หากไม่มีการสั่งเสียจากผู้ตาย ผู้อาบน้ำควรเป็นญาติสนิท เช่น บิดาของผู้ตายเพราะเป็นผู้ที่มีความผูกพันกับผู้ตายมากที่สุดและมีประสบการณ์หรือมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับการจัดการศพมากกว่าลูก รองลงมาก็คือลูกชาย และลำดับต่อมาก็คือญาติผู้ใกล้ชิดตามลำดับความใกล้ชิด
· ถ้าผู้ตายเป็นหญิง ผู้ที่ควรเป็นผู้อาบน้ำให้กับศพผู้ตายมากที่สุดคือผู้ที่ได้รับการสั่งเสียจากผู้ตายเอง(ในหมู่ผู้หญิงด้วยกัน)ให้เป็นผู้อาบน้ำให้ หากไม่มีการสั่งเสียจากผู้ตาย ผู้อาบน้ำควรเป็นญาติสนิท เช่น มารดาของผู้ตาย รองลงมาก็คือลูกสาว ลำดับต่อมาก็คือญาติผู้หญิงที่ใกล้ชิดตามลำดับ
สำหรับสามีนั้นอนุญาตให้เป็นผู้อาบน้ำญะนาซะฮฺภรรยาได้ ดังในหะดีษที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวต่อท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่า
ความว่า “จะเป็นการสร้างความเดือดร้อนต่อเธอไหม หากเธอตายก่อนฉัน และฉันจะเป็นผู้อาบน้ำญะนาซะฮฺให้แก่เธอ…” (เป็นหะดีษเศาะฮีหฺรายงานโดยอะหฺมัด โปรดดูรายละเอียดในหนังสือ(อัล-ฆ็อสลุ วัลกัฟนุ) ของมุศเฏาะฟา อัล-อะดะวียฺ)
· สำหรับภรรยาก็เช่นกัน อนุญาตให้เป็นผู้อาบน้ำญะนาซะฮฺสามีได้ ทั้งนี้เนื่องจากมีรายงานว่าท่านอบูบักรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้สั่งเสียให้ภรรยาของท่านให้เป็นผู้อาบน้ำญะนาซะฮฺ (บันทึกโดย อับดุรร็อซซาก ใน อัล-มุศ็อนนัฟ 6117)
· สำหรับศพผู้ตายที่มีอายุไม่เกินเจ็ดปีนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ผู้อาบน้ำอาจเป็นหญิงหรือชายก็ได้ เพราะอวัยวะร่างกายของผู้ตายในวัยนี้ยังไม่ถือว่าเป็นเอาเราะฮฺ
· หากว่าผู้ตายเป็นชาย ตายในหมู่ผู้หญิงไม่มีผู้ชายจะช่วยอาบน้ำให้ หรือผู้ตายเป็นหญิง ตายในหมู่ผู้ชายไม่มีผู้หญิงจะช่วยอาบน้ำให้ ก็ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำ แต่ให้ทำตะยัมมุมแทน โดยให้คนหนึ่งคนใดที่อยู่ในกลุ่มตบมือทั้งสองลงบนดิน แล้วนำไปลูบใบหน้าและมือทั้งสองของผู้ตาย
· ห้ามมิให้ทำการอาบน้ำญะนาซะฮฺหรือฝังให้กับผู้ตายที่มิใช่มุสลิม เนื่องจากอัลลอฮฺกล่าวไว้ว่า
ความว่า “และท่านอย่าได้ละหมาดให้กับผู้ใดผู้หนึ่งที่ตายไปในหมู่พวกเขาตลอดชั่วนิรันดร” (สูเราะฮฺ อัต-เตาบะฮฺ 84)
ถ้าหากว่าการละหมาดให้ศพถูกห้ามแล้วละก็ การจัดการในส่วนอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นแค่องค์ประกอบย่อยที่สำคัญน้อยกว่าก็ย่อมถูกห้ามด้วยเช่นกัน
ในขณะที่อาบน้ำให้ผู้ตายควรปกปิดส่วนที่เป็นเอาราะฮฺของผู้ตาย จากนั้นให้ถอดเสื้อผ้าของผู้ตายออกให้หมด และให้อาบน้ำในที่ปกปิดลับตาคน เพราะบางครั้งอาจมีสิ่งที่ไม่ชอบให้คนอื่นเห็นจากผู้ตาย (ดังในรูปภาพที่ 1)
จากนั้นให้ยกส่วนบนของร่างผู้ตายขึ้นมาให้เกือบอยู่ในท่านั่งแล้วกดท้องน้อยเพื่อรีดอุจจาระหรือสิ่งสกปรกออก โดยรดน้ำพร้อมๆ ไปด้วยให้มากๆ เพื่อให้สิ่งที่ออกมานั้นชะล้างไปพร้อมกับน้ำ (ดังในรูปภาพที่ 2)
แล้วให้ผู้อาบน้ำทำความสะอาดล้างทวารทั้งสองของผู้ตายโดยใช้ผ้าพันที่มือหรือใช้ถุงมือถูจนสะอาด ทั้งนี้ ผู้อาบน้ำให้ต้องไม่มองอวัยวะเพศและทวารของผู้ตาย (ดังในรูปภาพที่ 3)
หลังจากนั้น ให้อาบน้ำศพด้วยการเริ่มอ่านบิสมิลละฮฺ และอาบน้ำละหมาดให้แก่ผู้ตายก่อน ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวแก่ผู้อาบน้ำญะนาซะฮฺของลูกสาวของท่านที่ชื่อซัยนับไว้ว่า
ความว่า “ ท่านทั้งหลายจงเริ่มด้วยด้านขวาเบื้องหน้าของศพและอวัยวะต่างๆ ที่ใช้อาบน้ำละหมาด” (อัล-บุคอรียฺ 167, มุสลิม 2218)
แต่ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำเข้าไปในจมูกและปากของผู้ตาย ทั้งนี้ ผู้อาบน้ำเพียงใช้นิ้วที่พันผ้าหรือแปรงนุ่มๆ สอดเข้าไปในช่องปากแล้วทำความสะอาดฟันและรูจมูกของผู้ตาย หลังจากนั้น ควรใช้ฟองจากน้ำใบพุทราสระผมหรือเคราให้แก่ผู้ตาย(ดังในรูปภาพที่ 4-5) ส่วนน้ำพุทราที่เหลือนั้นให้ใช้รดอาบศพของผู้ตายทั้งร่าง
แล้วรดน้ำด้านขวาเบื้องหน้าของศพ(ดังในรูปภาพที่ 6) และรดน้ำด้านขวาข้างหลังศพ(ดังในรูปภาพที่ 7)แล้วต่อไปด้านซ้ายให้ทำเช่นเดียวกับด้านขวา เนื่องจากในตัวบทหะดีษที่กล่าวมาแล้วที่มีความว่า “ท่านทั้งหลายจงเริ่มด้วยด้านขวาเบื้องหน้าของศพ”
จากนั้นให้รดต่อไปจนทั่ว แล้วอาบซ้ำกันถึงสามครั้ง เนื่องจากในตัวบทหะดีษที่กล่าวเพิ่มเติมว่า
ความว่า “ท่านทั้งหลายจงอาบน้ำให้แก่ศพสามครั้ง” (อัล-บุคอรียฺ 1253)
และเมื่ออาบเสร็จแต่ละครั้งให้ผู้อาบเอามือนวดหน้าท้องศพเบาๆ เพื่อให้สิ่งสกปรกที่ค้างอยู่ในท้องของศพออก ถ้ามีออกมาก็ให้ล้างออกจนสะอาด ทั้งนี้ ผู้อาบอาจเพิ่มจำนวนครั้งในการอาบน้ำญะนาซะฮฺเป็นห้าครั้งหรือเจ็ดครั้งก็ได้แล้วแต่จะเห็นควร
ลังจากนั้นแล้ว ควรอาบด้วยน้ำพิมเสนหรือน้ำการบูรเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากในตัวบทหะดีษที่กล่าวมาแล้วมีว่า
ความว่า “ท่านทั้งหลายจงอาบน้ำญะนาซะฮฺครั้งสุดท้ายด้วยน้ำการบูร” (อัล-บุคอรียฺ 1253)
(كافوراً) ในที่นี้หมายถึงวัตถุชนิดหนึ่ง เป็นเม็ดขาวใสๆ เย็นๆ มีกลิ่นฉุน ใช้ไล่แมลงได้ (ดังในรูปภาพที่ 8)
ผู้อาบควรใช้น้ำเย็นอาบน้ำให้ศพ เว้นแต่ในกรณีที่ผู้อาบน้ำเห็นว่าต้องใช้น้ำร้อนในการขจัดสิ่งโสโครกออกจากตัวศพจึงใช้น้ำร้อน และผู้อาบน้ำอาจฟอกสบู่ในการทำความสะอาดด้วยก็ได้ แต่ต้องล้างถูตัวศพเพียงเบาๆอย่าทำแรงๆ ไม่เกา ไม่ข่วนเพราะจะทำให้ผิวศพเป็นรอย เป็นแผล ต้องกระทำให้เหมือนกับที่ทำให้แก่คนที่มีชีวิตและผู้อาบน้ำให้ศพสามารถใช้ไม้สีฟันทำความสะอาดฟันของศพได้
ควรขลิบหนวดและตัดเล็บของศพหากมีความยาวเกินไป ส่วนขนรักแร้หรือขนอวัยวะเพศนั้นจะตัดไม่ได้
ไม่ควรหวีผมให้ศพเพราะจะทำให้ผมศพร่วงและขาด หากผู้ตายเป็นหญิงให้ถักเปียเป็นสามเปียแล้วปล่อยไปด้านหลัง
ควรซับตัวศพให้แห้งหลังอาบน้ำให้ศพเสร็จแล้ว
หากมีสิ่งสกปรกออกจากตัวศพหลังจากอาบน้ำเสร็จสมบูรณ์แล้ว(อาจเป็นปัสสาวะอุจจาระ หรือเลือดฯลฯ) ให้เช็ดและอุดไว้ด้วยสำลี หลังจากนั้นให้ล้างส่วนที่ถูกสิ่งสกปรกให้ออก แล้วอาบน้ำละหมาดให้ศพใหม่ แต่หากมีสิ่งสกปรกออกจากตัวศพหลังจากกะฝันหรือห่อศพแล้ว ไม่จำเป็นต้องถอดผ้าออกและล้างใหม่อีก เพราะจะทำให้ยุ่งยาก
หากศพเป็นของผู้ที่ตายไปในสภาพที่กำลังอยู่ในชุดอิหฺรอมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการทำหัจญ์หรืออุมเราะฮฺก็ตามอนุญาตให้อาบด้วยน้ำและใบพุทราดังที่กล่าวไว้แล้ว แต่ไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องหอมและไม่อนุญาตให้คลุมศรีษะศพหากผู้ตายเป็นชาย ทั้งนี้เนื่องจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยกล่าวในกรณีผู้ตายอยู่ในสภาพอิหฺรอมในการทำหัจญ์ว่า ความว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ใส่เครื่องหอมแก่เขา”
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวอีกว่า
ความว่า “ ท่านทั้งหลายอย่าได้คลุมปิดศรีษะของเขา เพราะเขาจะถูกให้ฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮฺในสภาพที่กำลังกล่าวตัลบิยะฮฺอยู่” (อัล-บุคอรียฺ 1851, มุสลิม 2953)
สำหรับคนที่ตายในสมรภูมิรบเพื่อหนทางของอัลลอฮฺนั้นไม่ต้องอาบน้ำศพ เพราะมีตัวบทหะดีษกล่าวไว้ว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ใช้ให้ฝังผู้ที่ตายในสมรภูมิอุหุดด้วยเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่และห้ามมิให้อาบน้ำญะนาซะฮฺให้” (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ)
หะดีษดังกล่าวนี้บ่งบอกได้ว่าผู้ที่ตายชะฮีดในสมรภูมินั้นให้ฝังไปทั้งชุดที่เขาใส่ในขณะที่ตาย หลังจากที่เอาอาวุธและเครื่องมือใช้รบออก และไม่ต้องละหมาดญะนาซะฮฺให้เช่นกัน เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มิได้ละหมาดญะนาซะฮฺให้แก่ผู้ที่ตายในสมรภูมิอุหุด (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺและมุสลิม)
สำหรับทารกที่แท้งออกมานั้น หากว่ามีอายุครบสี่เดือนแล้ว ต้องละหมาดญะนาซะฮฺให้และตั้งชื่อให้ด้วย ทั้งนี้เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยกล่าวไว้ว่า
ความว่า “แท้จริงคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านนั้นจะถูกรวบรวมในท้องของมารดาเขา(ในสภาพน้ำเชื้อที่ปฏิสนธิแล้ว)สี่สิบวัน หลังจากนั้นเปลี่ยนสภาพเป็นก้อนเลือดอยู่ประมาณสี่สิบวันเช่นกัน หลังจากนั้นเปลี่ยนสภาพเป็นก้อนเนื้ออยู่ประมาณสี่สิบวันเช่นกัน หลังจากนั้นอัลลอฮฺจึงส่งมะลาอิกะฮฺมาเพื่อใส่วิญญานเข้าไป” (อัล-บุคอรียฺ 6594, มุสลิม 6893)
แต่สำหรับทารกที่แท้งออกมาก่อนถึงสี่เดือนนั้น เป็นก้อนเนื้อที่ไม่มีวิญญานจะฝังไว้ที่ใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำและไม่จำเป็นละหมาดญะนาซะฮฺให้
ศพผู้ใดที่ไม่สามารถอาบน้ำญะนาซะฮฺให้ได้ เนื่องจากไม่มีน้ำ หรือร่างกายเน่าเปื่อยหรือแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ หรือร่างกายถูกไฟไหม้ ให้ทำตะยัมมุมแทน โดยให้คนหนึ่งคนใดที่อยู่ในกลุ่มผู้อาบน้ำศพตบมือทั้งสองของเขาลงบนดิน แล้วนำไปลูบใบหน้าและมือทั้งสองของผู้ตาย
ผู้อาบน้ำญะนาซะฮฺควรปกปิดไม่นำไปบอกเล่าให้ใครฟัง หากเห็นตำหนิหรือสิ่งที่ไม่ดีของผู้ตายขณะที่อาบน้ำญะนาซะฮฺให้ เช่นเห็นหน้าผู้ตายหมองคล้ำหรือดำ ร่องรอยที่น่ารังเกียจบนร่างกายศพ เป็นต้น เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวไว้ว่า
ความว่า “ ผู้ใดอาบน้ำคนตายที่เป็นมุสลิมแล้วเขาปกปิดสิ่งที่เขาเห็นจากผู้ตายนั้นๆอัลลอฮฺจะให้อภัยโทษแก่เขาสี่สิบครั้ง” (รายงานโดย อัลหากิม ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ หน้า 51 ว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
การกะฝั่น(ห่อศพผู้ตาย)
วาญิบให้มีการห่อญะนาซะฮฺผู้ตายด้วยผ้า โดยค่าใช้จ่ายในการห่อรวมทั้งค่าวัสดุทุกอย่างให้เอามาจากทรัพย์สินของผู้ตายเอง เพราะท่านนบีกล่าวไว้ในกรณีผู้ตายในชุดอิหฺรอมว่า “ท่านทั้งหลายจงห่อญะนาซะฮฺของเขา ด้วยผ้าสองผืนของเขา”
และจำเป็นต้องชำระค่าห่อญะนาซะฮฺก่อนสิ่งอื่นใดไม่ว่าจะเป็นหนี้สิน พินัยกรรมและการแบ่งมรดก
หากผู้ตายไม่มีทรัพย์สินหรือไม่มีเงินเพียงพอที่จะใช้จ่ายค่าห่อญะนาซะฮฺได้ ก็วาญิบสำหรับผู้ที่รับผิดชอบเลี้ยงดูเขาให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายแทน คนเหล่านี้ได้แก่บุพการีและผู้สืบสายตระกูลของเขา เช่นบิดา ปู่ หรือลูก และหลานของเขา แต่ถ้าพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจ่าย ค่าใช้จ่ายก็ให้เอาจากบัยติลมาล แต่ถ้าไม่มีบัยตุลมาลค่าใช้จ่ายก็จะเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนที่รู้เห็นสภาพของเขา
สำหรับการห่อญะนาซะฮฺนั้น ที่วาญิบก็คือให้ใช้ผ้าเพียงชิ้นเดียวห่อร่างญะนาซะฮฺให้มิด ส่วนที่เป็นสุนนะฮฺก็คือ ให้ใช้ผ้าขาวสามชิ้นสำหรับผู้ตายที่เป็นชาย เพราะมีรายงานว่า ญะนาซะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ถูกกะฝั่นด้วยผ้าขาวสามฝืน” (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ)
ให้อบผ้าที่จะใช้ห่อด้วยกำยาน หลังจากนั้นนำผ้ามาปูซ้อนกันโดยให้โรยเครื่องหอมที่ใช้สำหรับผู้ตายโดยเฉพาะในระหว่างผ้าแต่ละชิ้น (ดังในรูปภาพที่ 9)
หลังจากนั้นให้วางผู้ตายตรงกลางผ้าห่อที่ปูไว้ในสภาพนอนหงาย (ดังในรูปภาพที่ 10)
จากนั้นให้นำสำลีที่ใส่น้ำหอมไว้สอดเข้าไปใต้รักแร้ของผู้ตายเพื่อดับกลิ่นตัว
สนับสนุนให้เตรียมผ้าชิ้นหนึ่งที่ทาบไว้ด้วยสำลีก้อนหนึ่งคล้ายกระจับ (ดังในรูปภาพที่ 9) พันรอบบริเวณอวัยวะเพศและทวารของผู้ตายเพื่อให้ปกปิดเอาเราะฮฺ
ควรใส่เครื่องหอมตามซอกหน้าของผู้ตายเช่นตรงตาทั้งสอง รูจมูกทั้งสอง รูฝีปากทั้งสอง รูหูทั้งสองและตามอวัยวะที่ใช้สุญูดในละหมาดหรือจะใส่เครื่องหอมให้ทั่วทั้งร่างก็ได้ เพราะมีเศาะหาบะฮฺบางส่วนได้กระทำเช่นนั้น
หลังจากนั้น ให้ใช้ผ้าชิ้นที่หนึ่งพันญะนาซะฮฺครั้งแรกโดยพับขอบผ้าพันด้านขวาของญะนาซะฮฺ (ดังในรูปภาพที่ 11)
แล้วพับขอบผ้าอีกด้านหนึ่งพันด้านซ้ายของญะนาซะฮฺพร้อมๆ กับดึงผ้าขาวม้าที่ใช้ปิดเอาเราะฮฺของผู้ตายออก (ดังในรูปภาพที่ 12)
หลังจากนั้นให้ใช้ผ้าชิ้นที่สองพันญะนาซะฮฺครั้งที่สองและครั้งที่สามตามลำดับโดยกระทำเช่นเดียวกับครั้งแรก
เสร็จแล้วให้ใช้เชือกที่ทำจากผ้าผูกไว้เป็นมัดๆ ทั้งหมดเจ็ดมัด (ดังในรูปภาพที่ 15) ซึ่งหากผูกไม่ถึงเจ็ดมัดก็ได้เพราะจุดประสงค์สำคัญคือให้ผ้าห่อญะนาซะฮฺแน่นเท่านั้น
เพื่อป้องกันมิให้ผ้าพันหลุด ให้ม้วนปลายผ้าให้แน่น (ดังในรูปภาพที่ 13) หลังจากนั้น พับปลายผ้าแล้วผูกให้เรียบร้อย ให้ทำเช่นเดียวกันนี้กับส่วนศรีษะและส่วนเท้า (ดังในรูปภาพที่ 14)
จากนั้นให้คลี่เชือกที่ผูกเมื่อวางญะนาซะฮฺลงในหลุมกุโบรแล้ว
หมายเหตุผู้แปล สำหรับวิธีการวางสายผูกก่อนที่จะวางผ้าห่อญะนาซะฮฺและวิธีการวางผ้าห่อญะนาซะฮฺและผ้ากระจับรวมทั้งเครื่องหอมและวิธีวางญะนาซะฮฺบนผ้าห่อ และญะนาซะฮฺหลังจากห่อเสร็จแล้วนั้นให้ดูรูปตามลำดับที่หนึ่งถึงสี่ (ดังในรูปข้างบน)
อนุญาตให้ห่อญะนาซะด้วยผ้าสองชิ้นกล่าวคือชิ้นหนึ่งใช้ปกปิดส่วนบนและอีกชิ้นใช้ปกปิดส่วนล่าง แต่ที่ดีที่สุดให้ใช้ผ้าสามชิ้นคลุมร่างทั้งหมดดังที่กล่าวมาแล้ว
สำหรับญะนาซะฮฺหญิงให้ห่อด้วยผ้าห้าชิ้น กล่าวคือชิ้นแรกคืออิซารฺใช้ปกปิดส่วนล่างของร่างและชิ้นที่สองคือคิมารฺใช้คลุมศรีษะลงมา และชิ้นที่สามคือเกาะมีศ(เป็นผ้าผืนหนึ่งที่เจาะตรงกลางเพื่อสวมส่วนศรีษะและเปิดทิ้งไว้ทั้งสองข้างเพื่อสวมส่วนแขนทั้งสอง)และผ้าชิ้นใหญ่อีกสองชิ้นเพื่อใช้ห่อญะนาซะฮฺให้ครอบคลุมทั้งร่างดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
การละหมาดญะนาซะฮฺ
การละหมาดญะนาซะฮฺนั้นเป็นฟัรฎูกิฟายะฮฺ กล่าวคือหากมีคนหนึ่งคนใดในกลุ่มได้ปฏิบัติแล้วคนอื่นๆ ก็จะพ้นผิดด้วย
ถ้ามัยยิตเป็นชาย มีสุนนะฮฺให้อิมามยืนค่อนไปทางศีรษะของมัยยิต (ดังในรูปภาพที่ 16)
ถ้ามัยยิตเป็นหญิงมีสุนนะฮฺให้อิมามยืนค่อนไปทางกลางลำตัวของมัยยิต (ดังในรูปภาพที่ 17) เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยปฏิบัติเช่นนั้น (รายงานโดย อบู ดาวูด ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ หน้า 109 ว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
หมายเหตุผู้แปล หากว่า มีมัยยิตหลายคน ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะละหมาดพวกเขารวมกันทีเดียวก็ได้ โดยวางมัยยิตชายไว้หน้าอิมามในแถวเดียวกัน มัยยิตหญิงให้วางข้างหน้าถัดจากผู้ชายไปทางกิบละฮฺ และวางมัยยิตเด็กไว้หน้ามัยยิตหญิง (ดังในรูปข้างบนนี้) ตามสุนนะฮฺให้ละหมาดญะนาซะฮฺเป็นญะมาอะฮฺ โดยตั้งเป็น 3 แถว ซึ่งจะเรียกว่าแถวได้นั้นจะต้องมีผู้ยืนอยู่ในแถวอย่างน้อย 2 คนขึ้นไป ถ้าหากว่า มะอ์มูมมีเพียงคนเดียวก็ให้ยืนข้างขวาของอิมามเช่นเดียวกับละหมาดทั่วไป
ตามสุนนะฮฺ หากมีมะอ์มูมหลายคนให้แถวมะอ์มูมอยู่หลังอิมาม แต่ถ้าสถานละหมาดที่ไม่อำนวยแล้ว มะอ์มูมจะไปตั้งแถวทางขวาและทางซ้ายมือของอิมามก็ได้
การละหมาดญะนาซะฮฺมีทั้งหมดสี่ตักบีรฺ
เริ่มละหมาดโดยให้ผู้ละหมาดยืนหันหน้าไปทางกิบละฮฺ โดยตั้งเจตนาละหมาดญะนาซะฮฺบนมัยยิตนั้น กล่าวตักบีรฺครั้งแรก ได้แก่ตักบีเราะตุลอิหรอมคือกล่าวว่า “อัลลอฮุอักบัรฺ” แล้วอ่านฟาติฮะฮฺหลังจากตะเอาวุซและบัสมะละฮฺโดยอ่านเสียงค่อย
กล่าวตักบีรฺครั้งที่ 2 แล้วอ่านเศาะละวาตต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ดังสำนวนที่กล่าวในตะชะฮฺฮุด คือ กล่าวว่า
หรือจะกล่าวสั้นๆ ว่า «اللهم صلِّ عَلٰى مُحَمَّدٍ» ก็ถือว่าใช้ได้
กล่าวตักบีรฺครั้งที่ 3 แล้วอ่านดุอาอ์ให้มัยยิต เช่นกล่าวว่า
ความว่า “โอ้ อัลลอฮฺ ขอพระองคได้ทรงอภัยโทษให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่เสียชีวิตในหมู่พวกเรา ผู้ที่เป็นเด็กของเราและผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ของเรา ผู้ชายในหมู่ของเราและผู้หญิงในหมู่ของเรา ผู้ที่ร่วมอยู่ ณ ที่นี้และผู้ที่มิได้อยู่ร่วมด้วย โอ้ อัลลอฮฺผู้ใดที่พระองค์ทรงให้มีชีวิตอยู่จากพวกเรา โปรดทรงให้เขามีชีวิตอยู่ในอิสลาม และผู้ใดที่พระองค์ทรงให้เขาตายไปจากพวกเรา โปรดทรงให้เขาตายไปในอีมาน”
หรือกล่าวว่า
ความว่า “โอ้ อัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ทรงยกโทษให้แก่เขา ขอจงเอ็นดูเมตตาแก่เขา ขอจงให้ความปลอดภัยแก่เขา ขอจงให้อภัยแก่เขา ขอจงประทานเกียรติยศแก่สถานที่ต้อนรับของเขา ขอจงให้ความกว้างซึ่งสถานที่ที่เขาเข้าไปอยู่ ขอจงชำระล้างเขาเขาด้วยน้ำ หิมะ และด้วยลูกเห็บ ขอจงให้เขาได้เปลื้องจากความผิดของเขาประดุจดังผ้าขาวที่ปราศจากสิ่งโสโครก ขอจงเปลี่ยนที่อยู่ของเขาให้ดีกว่าที่อยู่เก่าของเขา และขอจงทดแทนวงศ์วานให้แก่เขาดีกว่าวงศ์วานเดิมของเขา และขอจงให้เขามีคู่ครองดีกว่าคู่ครองเดิมของเขา และขอให้เขาเข้าสวรรค์ และขอจงปกป้องเขาให้พ้นจากความทรมานในกูโบรฺและความทรมานในนรก” (รายงานโดยมุสลิม 2276, 2278)
หากผู้ตายเป็นทารกที่มีอายุครบสี่เดือนขึ้นไปนั้นให้อ่านดุอาอ์เพื่อให้อัลลอฮฺอภัยโทษและให้ความโปรดปรานแก่บิดามารดาของผู้ตาย (เช่นอาจกล่าวว่า
ความว่า“โอ้ อัลลอฮฺ โปรดให้เขาเป็น มิ่งขวัญที่ไปคอย อยู่ก่อน สำหรับบิดามารดาของเขา เป็นรางวัลล่วงหน้าสำหรับเขาทั้งสอง และเป็นรางวัลสำหรับพวกเราด้วยเถิด”)
เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวไว้ว่า
ความว่า “และสำหรับเด็กทารกนั้นให้ละหมาดญะนาซะฮฺให้ แล้วให้อ่านดุอาอ์เพื่อให้อัลลอฮฺอภัยโทษและให้ความโปรดปรานแก่บิดามารดาของเด็กที่ตาย” (รายงานโดย อบู ดาวูด ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ หน้า 80 ว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
กล่าวตักบีรฺครั้งที่ 4 หยุดนิ่งสักครู่หนึ่ง
หมายเหตุผู้แปล หรืออาจจะกล่าวดุอาอ์ว่าเพิ่มเติมว่า
ความว่า “โอ้ อัลลอฮฺ ขอพระองค์อย่าได้ยับยั้งรางวัลของเราที่ได้ละหมาดให้แก่เขาจากผลบุญของเขา อย่าได้ให้พวกเราเผชิญวิกฤตการณ์ภายหลังการจากไปของเขา และได้โปรดอภัยโทษให้กับพวกเราและเขาด้วย”
แล้วหันทางขวากล่าวสลามเพียงครั้งเดียวก็ใช้ได้ เพราะท่านนบีเคยปฏิบัติเช่นนั้น ดังที่กล่าวไว้ในหะดีษ (โปรดดูอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ หน้า 127) หรือจะหันทางซ้ายแล้วกล่าวสลามครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับการกล่าวสลามในละหมาดทั่วไป เพราะท่านนบีเคยปฏิบัติเช่นนั้นดังที่กล่าวไว้ในหะดีษ (รายงานโดย อัล-หากิม ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ หน้า 129 ว่าเป็นหะดีษหะสัน)
มีสุนนะฮฺให้ยกมือทั้งสองขึ้นในทุกๆ ครั้งที่กล่าวตักบีรฺ เพราะท่านนบีเคยปฏิบัติดังที่กล่าวไว้ในหะดีษ (บันทึกโดยอัด-ดาเราะกุฏนียฺ ท่านอิบนุ บาซฺ ได้ยืนยันถึงความน่าเชื่อถือของสายรายงานนี้ในหนังสือฟะตาวาของท่าน 12/148)
มะอ์มูมคนใดละหมาดญะนาซะฮฺไม่ทันอิมามตั้งแต่ตักบีรฺแรก ให้เขาปฏิบัติละหมาดตามที่อิมามปฎิบัติอยู่ในขณะนั้น เช่นหากอิมามกำลังอยู่ในตักบีรฺครั้งที่สาม ให้มะอ์มูมอ่านดุอาอ์ให้แก่ผู้ตาย หลังจากที่อิมามตักบีรฺครั้งที่สี่ให้มะอ์มูมตักบีรฺแล้วอ่านฟาติหะฮฺ หลังจากนั้นตักบีรฺอีกครั้งแล้วอ่านเศาะละวาตต่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วจึงให้สลาม ทั้งนี้หากมะอ์มูมมีเวลาในการกระทำเช่นนั้นก่อนที่ญะนาซะฮฺจะถูกยกไป แต่หากไม่มีเวลาอนุญาตให้มะอ์มูมกล่าวสลามพร้อมๆ กับอิมามได้
ผู้ใดไม่ทันละหมาดญะนาซะฮฺพร้อมคนอื่น อนุญาตให้เขาละหมาดบนกูโบรฺได้ โดยให้กูโบรฺผู้ตายอยู่ระหว่างผู้ละหมาดกับกิบละฮฺ (ดังในรูปภาพที่ 18) แล้วให้ละหมาดตามขั้นตอนการละหมาดญะนาซะฮฺทั่วไป เพราะท่านนบีเคยปฏิบัติดังที่กล่าวไว้ในหะดีษ (มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ)
สุนนะฮฺให้ละหมาดฆออิบ ซึ่งหมายถึงผู้ที่ตายในต่างแดนหรือสถานที่ห่างไกล เมื่อไม่มีผู้ใดละหมาดญะนาซะฮฺให้ผู้ตายในสถานที่นั้นๆ
อนุญาตให้มุสลิมทั่วไปละหมาดญะนาซะฮฺให้กับผู้ที่ฆ่าตัวตายและผู้ที่ปล้นสะดมคนอื่น แต่ทว่ามีสุนนะฮฺว่าสำหรับผู้นำหรือแกนนำในเมืองนั้นไม่ต้องละหมาดให้แก่คนดังกล่าว เพื่อสั่งสอนคนอื่นๆ มิให้นำคนดังกล่าวมาเป็นเยี่ยงอย่าง
อนุญาตให้ละหมาดญะนาซะฮฺในมัสญิดได้ เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยปฏิบัติดังที่กล่าวไว้ในหะดีษ(รายงานโดยมุสลิม) แต่ทางที่ดีตามสุนนะฮฺนั้นควรเตรียมสถานที่เฉพาะนอกมัสญิดเพื่อใช้ละหมาดญะนาซะฮฺ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดบรรยากาศและมลภาวะที่ไม่ดีในมัสญิด และควรจัดให้สถานที่เฉพาะที่ว่านี้อยู่ใกล้กับกูโบรฺ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกของผู้คน
การหามญะนาซะฮฺและการฝัง
ควรนำญะนาซะฮฺไปฝังโดยใช้คนหามบนบ่าทั้งสี่ด้าน (ดังในรูปภาพที่ 19)
ควรรีบนำญะนาซะฮฺไปฝังหลังจากที่ได้ละหมาดแล้วแต่ไม่ใช่ว่ารีบร้อนจนเลยเถิดเกินขอบเขตไป เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยกล่าวไว้ความว่า “ท่านทั้งหลายจงรีบจัดการกับญะนาซะฮฺให้รวดเร็ว”
อนุญาตให้ผู้คนเดินนำหน้าหรือตามหลังญะนาซะฮฺ หรืออาจเดินข้างๆ ทางขวาและซ้ายของญะนาซะฮฺ ซึ่งทุกอริยบทที่กล่าวมาล้วนมีรายงานจากสุนนะฮฺทั้งสิ้น (โปรดดูอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ หน้า 73)
ผู้ที่ตามญะนาซะฮฺไปกูโบรฺไม่ควรนั่งก่อนที่คนหามจะวางญะนาซะฮฺลงบนพื้น เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยห้ามการกระทำดังกล่าวไว้
ไม่ควรฝังญะนาซะฮฺในเวลาต้องห้ามทั้งสามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ห้ามไว้ตามรายงานของอุกบะฮฺ อิบนฺ อามิรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ที่มีว่า
ความว่า “มีสามเวลาที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ห้ามพวกเรามิให้ละหมาดหรือฝังญะนาซะฮฺในช่วงนั้น คือในเวลาตะวันกำลังขึ้นจนกว่ามันจะขึ้นสูง เวลาเกือบเที่ยงถึงเที่ยงตรงจนกว่าจะเอียงค่อนไปทางตะวันตก และเวลาตะวันกำลังจะตกจนกว่ามันจะหายลับฟ้าไป” (บันทึกโดยมุสลิม 1966)
อนุญาตให้ฝังญะนาซะฮฺได้ทั้งกลางวันและกลางคืนตามแต่ความเหมาะสม ทั้งนี้นอกเหนือจากเวลาต้องห้ามที่กล่าวมาข้างต้น
ควรกั้นหรือปกปิดหลุมกูโบรฺสำหรับญะนาซะฮฺหญิงขณะทำการนำมัยยิตลงหลุม เพราะเป็นการมิดชิดกว่าสำหรับเธอ
ควรส่งญะนาซะฮฺลงหลุมทางด้านขาของหลุมกูโบรฺ (ดังในรูปภาพที่ 20)
แล้วค่อยๆ วางลงไป แต่ถ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ให้ส่งลงจากทางด้านกิบละฮฺ (ดังในรูปภาพที่ 21)
การทำหลุมแบบละหัด(اللحد) นั้นดีกว่าการทำหลุมแบบชักฺ (الشق)เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยกล่าวว่า
ความว่า “การทำหลุมแบบละอัล-ละหัดคือวิธีฝังของพวกเรา และการทำหลุมแบบอัช-ชักฺคือวิธีฝังของพวกอื่นจากเรา” (รายงานโดย อบู ดาวูด ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ หน้า 145 ว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
การทำหลุมแบบละหัดหมายถึงการทำร่องเว้าเข้าไปด้านข้างของหลุมฝังทางด้านกิบละฮฺเพื่อวางญะนาซะฮฺ (ดังในรูปภาพที่ 22) และการทำหลุมแบบชักฺหมายถึงการทำร่องวางญะนาซะฮฺตรงกลางของหลุมฝังญะนาซะฮฺ (ดังในรูปภาพที่ 23)
ควรขุดหลุมให้ลึกเพื่อป้องกันญะนาซะฮฺจากสัตว์ร้ายต่างๆ และหลีกเลี่ยงจากกลิ่นที่อาจมาจากญะนาซะฮฺ
ผู้ที่ส่งญะนาซะฮฺลงหลุมควรกล่าวว่า
อ่านว่า บิสมิลลาฮฺ วะอะลา สุนนะติ เราะสูลิลลาฮฺ (หรือ มิลละติ เราะสูลิลลาฮฺ)
ความว่า “ด้วยนามของอัลลอฮฺและตามแบบฉบับหรือศาสนาของศาสนทูตของอัลลอฮฺ”
ทั้งนี้ เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยปฏิบัติเช่นนี้ (รายงานโดย อบู ดาวูด ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ หน้า 152 ว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
ผู้ที่ควรเป็นผู้ส่งญะนาซะฮฺลงหลุมมากที่สุดคือผู้ที่ได้รับการสั่งเสียจากผู้ตาย รองลงมาคือญาติใกล้ชิดและรองลงมาอีกคือใครก็ได้ที่เป็นมุสลิม
ควรวางญะนาซะฮฺลงหลุมในท่านอนตะแคงขวาหันหน้าไปทางกิบละฮฺ (ดังในรูปภาพที่ 24) เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
ความว่า “กะอฺบะฮฺนั้นเป็นกิบละฮฺของพวกท่านทั้งตอนที่มีชีวิตอยู่และหลังจากตายแล้ว” (รายงานโดย อัล-บัยฮะกียฺ ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอัล-อิรวาอ์ หน้า 690 ว่าเป็นหะดีษหะสัน)
และศรีษะของญะนาซะฮฺนั้นให้ตั้งบนดินโดยไม่ต้องใช้หมอนดินหรือหินรองไว้แต่อย่างใด เพราะไม่มีรายงานจากหะดีษให้กระทำอย่างนั้น และอย่าเปิดหน้าญะนาซะฮฺนอกจากในกรณียกเว้นเมื่อผู้ตายเสียชีวิตในชุดอิหฺรอมดังที่ได้อธิบายมาแล้ว
หลังจากนั้นให้ใช้ก้อนอิฐ ก้อนดิน หรือไม้ปิดร่องวางญะนาซะฮฺไว้ (ดังในรูปภาพที่ 24)
แล้วตามด้วยการถมดินกลบหลุมโดยมีสุนนะฮฺให้ทุกคนที่อยู่ในที่ฝังช่วยกันเอาดินกลบหลุมคนละสามกำมือ (ดังในรูปภาพที่ 25) เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยปฏิบัติเช่นนั้น (รายงานโดย อิบนุ มาญะฮฺ ท่านอัล-อัลบานียฺกล่าวในอะหฺกาม อัล-ญะนาอิซฺ หน้า 125 ว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหฺ)
ควรพูนดินบนหลุมกูโบรฺให้สูงประมาณหนึ่งคืบ ให้เป็นเหมือนกับรูปของโหนกอูฐ เพื่อให้เป็นเครื่องหมายว่าที่ตรงนี้เป็นกูโบรฺ ให้ระวังรักษาเกียรติไว้ (ดังในรูปภาพที่ 26) ทั้งนี้เพราะลักษณะของกูโบรฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นเช่นนี้ (รายงานโดยอัล-บุคอรียฺ)