
พระผู้เป็นเจ้าทรงสงเคราะห์ศาสนทูตมุหัมมัด ซึ่งเป็นศาสนทูตองค์สุดท้ายของพระองค์ด้วยปาฏิหาริย์นานัปการและพยานหลักฐานอีกมากมายซึ่งสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์คือศาสนทูตที่แท้จริง ซึ่งประทานมาโดยพระผู้เป็นเจ้า เฉกเช่นเดียวกับที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสงเคราะห์พระคัมภีร์ที่ทรงอนุญาตให้เปิดเผยได้ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายของพระองค์ นั่นคือ พระคัมภีร์กุรอาน ด้วยปาฏิหาริย์นานัปการที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า พระคัมภีร์กุรอานเล่มนี้คือพระดำรัสจากพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้ ซึ่งนำมาเปิดเผยโดยศาสนทูตมุหัมมัด และไม่ได้มาจากการประพันธ์ของมนุษย์คนใด ในบทนี้จะกล่าวถึงพยานหลักฐานบางประการถึงความจริงนี้
(1) ความมหัศจรรย์ในทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์กุรอาน
พระคัมภีร์กุรอานคือพระดำรัสจากพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้ ซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยต่อศาสนทูตมุหัมมัด โดยผ่านทางมลาอิกะฮฺ(เทวทูต)ญิบรีล (Gabriel) โดยที่มุหัมมัด ได้ท่องจำพระดำรัสของพระองค์ ผู้ซึ่งต่อมาได้ทรงบอกต่อให้กับบรรดาสาวกหรือสหายของท่าน บรรดาสหายเหล่านั้นได้ทำการท่องจำ และจดบันทึกไว้ และได้ทำการศึกษากับศาสนทูตมุหัมมัด อีกครั้งหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ศาสนทูตมุหัมมัด ยังทรงทำการศึกษาพระคัมภีร์อัลกุรอานกับมลาอิกะฮฺญิบรีลอีกปีละครั้ง และสองครั้งในปีสุดท้ายก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิต นับแต่เวลาเมื่อมีการเปิดเผยพระคัมภีร์กุรอานมาจนกระทั่งทุกวันนี้ มีประชากรชาวมุสลิมจำนวนมากมายมหาศาลสามารถท่องจำคำสอนทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์กุรอานได้ทุกตัวอักษร บางคนในจำนวนเหล่านั้นสามารถท่องจำคำสอนทั้งหมดที่มีอยู่ในพระคัมภีร์อัลกุรอานได้ก่อนอายุสิบขวบเลยทีเดียว ไม่มีตัวอักษรสักตัวในพระคัมภีร์กุรอานได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายศตวรรษที่ ผ่านมาแล้ว
พระคัมภีร์กุรอานที่นำมาเปิดเผยเมื่อสิบสี่ ศตวรรษที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซึ่งถูกค้นพบหรือได้รับการพิสูจน์จากนักวิทยาศาสตร์เมื่อเร็วๆ นี้ การพิสูจน์ในครั้งนี้แสดงให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่า พระคัมภีร์กุรอานนั้นจะต้องมาจากพระดำรัสพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้ ซึ่งนำมาเปิดเผยโดยศาสนทูตมุหัมมัด และพระคัมภีร์กุรอานเล่มนี้ไม่ได้ถูกประพันธ์มาจากมุหัมมัด หรือมนุษย์คนใด และนี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกเช่นกันว่า มุหัมมัด คือ ศาสนทูตที่แท้จริงซึ่งประทานมาโดยพระผู้เป็นเจ้า มันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือเหตุผลที่ว่า น่าจะมีใครบางคนเมื่อหนึ่งพันสี่ร้อยปีที่ผ่านมาทราบความจริงที่ได้ถูกค้นพบหรือถูกพิสูจน์เมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเครื่องมือที่ล้ำสมัยและด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่ล้ำลึก ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ก) พระคัมภีร์กุรอานกับการพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์:
ในพระคัมภีร์กุรอาน พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้เกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ ในการพัฒนาของตัวอ่อนมนุษย์ :
ความว่า "และขอสาบานว่า แน่นอนเราได้สร้างมนุษย์มาจากธาตุแท้ของดิน แล้วเราทำให้เขาเป็นเชื้ออสุจิ อยู่ในที่พักอันมั่นคง (คือมดลูก) แล้วเราได้ทำให้เชื้ออสุจิกลายเป็นก้อนเลือดแล้วเราได้ทำให้ก้อนเลือดกลายเป็นก้อนเนื้อแล้วเราได้ทำให้ก้อนเนื้อกลายเป็นกระดูก แล้วเราหุ้มกระดูกนั้นด้วยเนื้อ แล้วเราได้เป่าวิญญาณให้เขากลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้นอัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ผู้ทรงเลิศแห่งปวงผู้สร้าง" (คัมภีร์กุรอาน, 23:12-14)
ซึ่งเมื่อพิจารณาตามตัวอักษรแล้ว ในภาษาอารบิก คำว่า alaqah นั้น มีอยู่ 3 ความหมาย ได้แก่ (1) ปลิง (2) สิ่งแขวนลอย และ (3) ลิ่มเลือด
ในการเปรียบเทียบปลิงกับตัวอ่อนในระยะที่เป็น alaqah นั้น เราได้พบความคล้ายกันระหว่างสองสิ่งนี้ (ดู The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 8) ซึ่ง เราสามารถดูได้จากรูปที่ 1 นอกจากนี้ ตัวอ่อนที่อยู่ในระยะดังกล่าวจะได้รับการหล่อเลี้ยงจากเลือดของมารดา ซึ่งคล้ายกับปลิงซึ่งได้รับอาหารจากเลือดที่มาจากผู้อื่น (ดู Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของ Moore และคณะ หน้า 36)
รูปที่ 1: ภาพวาดดังกล่าวอธิบายให้เห็นความคล้ายกันของรูปร่างระหว่างปลิงกับตัวอ่อนมนุษย์ในระยะที่เป็น alaqah (รูปวาดปลิงมาจากหนังสือเรื่อง Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของ Moore และคณะ หน้า 37 ดัดแปลงมาจาก Integrated Principles of Zoology ของ Hickman และคณะ ภาพตัวอ่อนวาดมาจากหนังสือเรื่อง The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 73)
ความหมายที่สองของคำว่า alaqah คือ “สิ่งแขวนลอย" ซึ่งเราสามารถดูได้จากรูปที่ 2 และ 3 สิ่งแขวนลอยของตัวอ่อน ในช่วงระยะ alaqah ในมดลูกของมารดา
รูปที่ 2 : ในภาพนี้ เราจะเห็นภาพของตัวอ่อน ซึ่งเป็นสิ่งแขวนลอยในช่วงระยะที่เป็น alaqah อยู่ในมดลูก (ครรภ์) ของมารดา (มาจากเรื่องThe Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 66)
ความหมายที่สามของคำว่า alaqah คือ “ลิ่มเลือด" เราพบว่าลักษณะภายนอกของตัวอ่อนและส่วนที่เป็นถุงในช่วงระยะ alaqah นั้น จะดูคล้ายกับลิ่มเลือด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า มีเลือดอยู่ในตัวอ่อนค่อนข้างมากในช่วงระยะดังกล่าว (Human Development as Described in the Quran and Sunnah ของมัวร์และคณะ หน้า 37-38) (ดูรูปที่ 4) อีกทั้งในช่วงระยะดังกล่าว เลือดที่มีอยู่ในตัวอ่อนจะไม่หมุนเวียนจนกว่าจะถึงปลายสัปดาห์ที่สาม (The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 65) ดังนั้น ตัวอ่อนในระยะนี้จึงดูเหมือนลิ่มเลือดนั่นเอง.
รูปที่ 4: เป็นแผนภูมิระบบการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดหัวใจพอสังเขปในตัวอ่อนในช่วง ระยะ alaqah ซึ่งลักษณะภายนอกของตัวอ่อนและส่วนที่เป็นถุงของตัวอ่อนจะดูคล้ายกับลิ่มเลือด เนื่องจากมีเลือดอยู่ค่อนข้างมากในตัวอ่อน (The Developing Human ของ Moore ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 65)
ดังนั้น ทั้งสามความหมายของคำว่า alaqah นั้น ตรงกับลักษณะของตัวอ่อนในระยะ alaqah เป็นอย่างยิ่ง
ในระยะต่อมาที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ก็คือ ระยะ mudghah ในภาษาอารบิกคำว่า mudghah หมายความว่า “สสารที่ถูกขบเคี้ยว" ถ้าคนใดได้หมากฝรั่งมาชิ้นหนึ่ง และใส่ปากเคี้ยว จากนั้นลองเปรียบเทียบหมากฝรั่งกับตัวอ่อนที่อยู่ในช่วงระยะ mudghah เราจึงสรุปได้ว่าตัวอ่อนในช่วงระยะ mudghah จะมีลักษณะเหมือนสสารที่ถูกขบเคี้ยว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ไขสันหลังที่อยู่ด้านหลังของตัวอ่อนมีลักษณะ “ค่อนข้างคล้ายกับร่องรอยของฟันบนสสารที่ถูกขบเคี้ยว “ (ดูรูปที่ 5 และ 6) (The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 8)
รูป ที่ 5: ภาพถ่ายของตัวอ่อนในช่วงระยะ mudghah (อายุ 28 วัน) ตัวอ่อนในระยะนี้จะมีลักษณะเหมือนสสารที่ถูกขบเคี้ยว เนื่องจากไขสันหลังที่อยู่ด้านหลังของตัวอ่อนมีลักษณะค่อนข้างคล้ายกับร่อง รอยของฟันบนสสารที่ถูกขบเคี้ยว ขนาดที่แท้จริงของตัวอ่อนจะมีขนาด 4 มิลลิเมตร (จากเรื่อง The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 82 ของศาสตราจารย์ Hideo Nishimura มหาวิทยาลัยเกียวโต ในเมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น)
รูป ที่ 6: เมื่อเปรียบเทียบลักษณะของตัวอ่อนในช่วงระยะ mudghah กับหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว เราจะพบกับความคล้ายคลึงระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ A) รูปวาดของตัวอ่อนในช่วงระยะ mudhah เราจะเห็นไขสันหลังที่ด้านหลังของตัวอ่อน ซึ่งดูเหมือนลักษณะร่องรอยของฟัน (จากเรื่อง(The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 79) B) รูปถ่ายหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว
มุหัมมัด ทราบได้อย่างไรถึงเรื่องราวทั้งหมดนี้เมื่อ 1400 ปีที่แล้ว ทั้งๆ ที่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและกล้องจุลทรรศน์ความละเอียดสูง ซึ่งยังไม่มีใช้ในสมัยก่อน Hamm และ Leeuwenhoek คือนักวิทยาศาสตร์สองคนแรกที่สังเกตเซลล์อสุจิของมนุษย์ (สเปอร์มมาโตซัว) ด้วยการใช้กล้องจุลทรรศน์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2220 (หลังมุหัมมัด กว่า 1000 ปี) พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าเซลล์อสุจิเหล่านั้นประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ซึ่งจะก่อตัวเป็นมนุษย์ โดยจะเจริญเติบโตเมื่อฝังตัวลงในอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิง (The Developing Human ของ Moore และ Persaud ปรับปรุงครั้งที่ 5 หน้า 9)
ศาสตาจารย์กิตติมศักดิ์ Emeritus Keith L. Moore หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขากายวิภาควิทยาและวิชาว่าด้วยการศึกษาตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังเป็นผู้แต่งหนังสือที่ชื่อว่า Developing Human ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้นำไปแปลถึงแปดภาษา หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ใช้สำหรับอ้างอิงงานทางวิทยาศาสตร์ และยังได้รับเลือกจากคณะกรรมการพิเศษของสหรัฐอเมริกาให้เป็นหนังสือที่ดีที่สุดที่แต่งขึ้นโดยบุคคลเพียงคนเดียว Dr. Keith Moore เป็นศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์แห่งภาควิชากายวิภาควิทยาและเซลล์ชีววิทยา ที่มหาวิทยาลัยโตรอนโต (University of Toronto) เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ณ ที่แห่งนั้น เขาดำรงตำแหน่งรองคณบดีสาขาวิทยาศาสตร์มูลฐานของคณะแพทย์ศาสตร์ และดำรงตำแหน่งประธานแผนกกายวิภาควิทยาเป็นเวลา 8 ปี ในปีพ.ศ. 2527 เขาได้รับรางวัลที่น่าชื่นชมที่สุดในสาขากายวิภาคของประเทศแคนาดา นั่นคือรางวัล J.C.B Grant Award จากสมาคมนักกายวิภาควิทยาแคนาดา (Canadian Association of Anatomists) เขาได้กำกับดูแลสมาคมนานาชาติต่างๆ มากมาย เช่น สมาคมนักกายวิภาควิทยาแคนนาดาและอเมริกา (Canadian and American Association of Anatomists) และ สภาสหภาพวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Council of the Union of Biological Sciences) เป็นต้น.
ใน ปีพ.ศ 2524 ระหว่างการประชุมด้านการแพทย์ครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองดัมมาม ประเทศซาอุดิอาระเบีย ศาสตราจารย์ Moore ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้ช่วยให้เรื่องราวต่างๆ ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์กุรอานเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ให้มีความชัดเจน อีกทั้งยังทำให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจอย่างกระจ่างชัดว่าคำกล่าวเหล่านี้ต้องมาจากพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านทางมุหัมมัด เพราะว่าความรู้เกือบทั้งหมดนี้ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนจนกระทั่งอีกหลายศตวรรษต่อมา สิ่งนี้พิสูจน์ให้ข้าพเจ้าเห็นว่ามุหัมมัดจะต้องเป็นผู้ถือสารจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน" (การอ้างอิงคำกล่าวนี้ This is the Truth (วีดีโอเทป) ที่ : http://www.islam-guide.com/th/video/moore-1.ram)
ต่อมา ศาสตราจารย์ Moore ได้ถูกตั้งคำถามดังต่อไปนี้ หมายความว่า ท่านมีความเชื่อว่าพระคัมภีร์กุรอานนั้นเป็นพระดำรัสจากพระผู้เป็นเจ้าจริงหรือไม่ เขาตอบว่า “ข้าพเจ้ายอมรับสิ่งดังกล่าวนี้ได้อย่างสนิทใจ" (อ้างจาก : This is the Truth (วีดีโอเทป) เพิ่งอ้าง)
ใน ระหว่างการประชุมครั้งหนึ่ง ศาสตราจารย์ Moore ได้กล่าวว่า “…..เพราะว่าในช่วงระยะตัวอ่อนของมนุษย์นั้นมีความซับซ้อน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในระหว่างการพัฒนาของตัวอ่อน มีการเสนอว่าควรมีการพัฒนาระบบการแบ่งประเภทตัวอ่อนใหม่โดยใช้คำศัพท์ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์กุรอานและซุนนะฮฺ (Sunnah คือ สิ่งที่ศาสนทูตมุหัมมัด ได้พูด กระทำ หรือยอมรับ) ระบบที่เสนอนี้ดูเรียบง่าย ครอบคลุมทุกด้านและสอดคล้องกับความรู้ที่เกี่ยวกับการพัฒนาของตัวอ่อนในปัจจุบัน แม้ว่า อริสโตเติล (Aristotle) ผู้ก่อตั้งวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต ยังเชื่อว่าการพัฒนาตัวอ่อนของลูกไก่นั้นแบ่งออกเป็นหลายระยะ จากการศึกษาไข่ไก่เมื่อศตวรรษที่สี่หลังคริสตศักราช ซึ่งเขาไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับระยะต่างๆ เหล่านั้นเลย เท่าที่ทราบมาจากประวัติการศึกษาเกี่ยวกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต มีเรื่องระยะและการแยกประเภทของตัวอ่อนมนุษย์อยู่น้อยมาก จนกระทั่งมาถึงศตวรรษที่ยี่สิบนี้"
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ในศตวรรษที่เจ็ด คำอรรถาธิบายเกี่ยวกับตัวอ่อนมนุษย์ในพระคัมภีร์กุรอานนั้น ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ได้ มีเพียงบทสรุปที่พอจะมีเหตุผลเดียวก็คือ คำอรรถาธิบายเหล่านี้ ได้ถูกเปิดเผยโดยพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทรงประทานแก่มุหัมมัด ท่านไม่ทราบรายละเอียดต่างๆ เพราะว่าเป็นคนที่ไม่รู้หนังสือ อีกทั้งไม่เคยฝึกฝนด้านวิทยาศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น (This is the Truth , อ้างแล้ว)
ข) พระคัมภีร์กุรอานที่ว่าด้วยเทือกเขา
หนังสือที่ชื่อว่า Earth เป็นตำราที่ใช้อ้างอิงเป็นหลักในมหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วโลก หนังสือเล่มนี้มีผู้แต่งสองท่าน หนึ่งในนั้นได้แก่ ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ Frank Press เขาเป็นที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ให้กับอดีตประธานาธิบดี Jimmy Carter และเป็นประธานสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Academy of Science) ในกรุงวอชิงตัน ดีซี เป็นเวลา 12 ปี หนังสือของเขากล่าวว่า เทือกเขาจะมีรากฝังอยู่ใต้พื้นดิน (ดู Earth ของ Press และ Siever, หน้า 435 และดูที่ Earth Science ของ Tarbuck และ Lutgens, หน้า 157) รากเหล่านี้ฝังลึกอยู่ใต้พื้นดิน ดังนั้น เทือกเขาจึงมีรูปทรงเหมือนกับสลัก (ดูรูปที่ 7,8 และ 9)
รูปที่ 7: เทือกเขาจะมีรากฝังลึกอยู่ใต้พื้นดิน (Earth, Press และ Siever หน้า 413)
รูปที่ 8: ส่วนที่เป็นแผนผัง เทือกเขาที่มีรูปร่างเหมือนสลัก จะมีรากลึกฝังแน่นอยู่ใต้พื้นดิน (Anatomy of the Earth ของ Cailleux หน้า 220)
รูปที่ 9:อีกภาพหนึ่งที่จะแสดงให้เห็นว่าเทือกเขาเหล่านั้นมีรูปทรงเหมือนสลักได้อย่างไร เนื่องจากเทือกเขาเหล่านี้มีรากฝังลึก (Earth Science ของ Tarbuck และ Lutgens, หน้า 158)
นี่คือการอรรถาธิบายถึงเทือกเขาต่างๆ ว่ามีรูปทรงอย่างไรในพระคัมภีร์กุรอาน พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:
ความว่า "เรามิได้ทำให้แผ่นดินเป็นพื้นราบดอกหรือ ? และมิได้ให้เทือกเขาเป็นหลักตรึงไว้ดอกหรือ" (พระคัมภีร์กุรอาน, 78:6-7)
วิทยาศาสตร์ว่าด้วยพื้นโลกในยุคใหม่นี้ ได้ทำการพิสูจน์แล้วว่า เทือกเขาต่างๆ จะมีรากฝังลึกอยู่ใต้พื้นผิวของพื้นดิน (ดูรูปที่ 9) และรากเหล่านั้นสามารถเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่เหนือพื้นดินได้หลายครั้ง (The Geological Concept of Mountains in the Quran ของ El-Naggar หน้า 5) ดังนั้น คำที่เหมาะสมที่สุดที่ใช้อธิบายเทือกเขาเหล่านี้โดยอาศัยพื้นฐานข้อมูลเหล่า นี้ก็คือ คำว่า 'สลัก' เนื่องจากรากส่วนใหญ่จะถูกซ่อนอยู่ใต้พื้นดิน ประวัติศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ได้บอกกับเราว่า ทฤษฏีว่าด้วยเทือกเขาที่มีรากฝังลึกนั้น เพิ่งเป็นที่รู้จักเมื่อครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบเก้านี่เอง (The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 5)
เทือกเขายังมีบทบาทที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งด้วย นั่นคือให้ความมั่นคงแข็งแรงกับเปลือกโลก (The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 44-45) โดยช่วยยับยั้งการสั่นสะเทือนของโลกได้ พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:
ความว่า "และพระองค์ทรงให้มีเทือกเขามั่นคงในแผ่นดิน เพื่อมิให้มันสั่นสะเทือนแก่พวกเจ้า.." (พระคัมภีร์กุรอาน, 16:15)
นอกจากนั้น ทฤษฏีสมัยใหม่ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนตัวของแผ่นโลกนั้นเชื่อว่า เทือกเขาต่างๆ ทำงานเสมือนกับเครื่องมือสำหรับสร้างความแข็งแกร่งให้กับโลก ความรู้เกี่ยวกับบทบาทของเทือกเขาที่ทำหน้าที่เสมือนเครื่องมือที่ช่วยสร้าง ความแข็งแกร่งให้กับโลกนั้นเพิ่งเป็นที่เข้าใจกันเนื่องจากมีทฤษฎีการ เคลื่อนตัวของแผ่นโลกเมื่อทศวรรษ 2503 (The Geological Concept of Mountains in the Quran หน้า 5)
มีใครบ้างไหมในช่วงเวลาของศาสนทูตมุหัมมัด ที่ทราบเกี่ยวกับรูปทรงที่แท้จริงของเทือกเขา มีใครบ้างไหมที่สามารถจินตนาการได้ว่า ภูเขาที่ดูแข็งแกร่งมหึมาที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านั้น แท้จริงแล้วฝังลึกลงไปใต้พื้นโลก และยังมีรากด้วย อย่างที่นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวอ้างไว้ หนังสือเกี่ยวกับธรณีวิทยาจำนวนมาก เมื่อมีการกล่าวถึงเทือกเขา ก็จะอธิบายแต่ส่วนที่อยู่เหนือพื้นผิวโลกเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหนังสือเหล่านี้ไม่ได้เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านธรณีวิทยา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ธรณีวิทยาสมัยใหม่ได้ช่วยยืนยันความเป็นจริงของโคลงบทต่างๆ ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์กุรอานแล้ว
ค) พระคัมภีร์กุรอานว่าด้วยจุดกำเนิดของจักรวาล
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ว่าด้วยจักรวาลวิทยา ซึ่งมาจากการสังเกตและจากทฤษฏี ชี้ให้เห็นได้อย่างแน่ชัดว่า ครั้งหนึ่งทั้งจักรวาลนั้นว่างเปล่า จะมีก็แต่ก้อน 'กลุ่มควัน' (เช่น กลุ่มควันซึ่งประกอบด้วยก๊าซร้อนมืดครึ้มที่ปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น) (The First Three Minutes, a Modern View of the Origin of the Universe ของ Weinberg หน้า 94-105) ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการที่ไม่สามารถโต้แย้งได้เกี่ยวกับวิชาจักรวาลวิทยา สมัยใหม่ที่มีมาตรฐาน ในปัจจุบันนี้ นักวิทยาศาสตร์สามารถเฝ้าสังเกตเห็นดวงดาวใหม่ๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นจากเศษ 'กลุ่มควัน' ที่หลงเหลืออยู่ (ดูรูปที่ 10 และ 11)
รูปที่ 10:ดาวดวงใหม่ที่กำลังก่อตัวจากกลุ่มก๊าซและฝุ่นละออง (เนบิวลา) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 'กลุ่มควัน' ที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งถือว่าเป็นจุดกำเนิดของทั้งจักรวาล (The Space Atlas ของ Heather และ Henbest หน้า 50)
รูปที่ 11: ลากูนเนบิวลา คือ กลุ่มของก๊าซและละอองฝุ่น ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 ปีแสง ซึ่งเป็นบริเวณที่เต็มไปด้วยรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตของดาวที่มีแต่ความร้อน ซึ่งเพิ่งก่อตัวขึ้นภายในใจกลางเนบิวลา (Horizons, Exploring the Universe โดย Seeds จาก Association of Universities for Research in Astronomy, Inc.X)
บรรดาดวงดาวที่ทอแสงระยิบระยับให้เราเห็นในเวลาค่ำคืนนั้น เป็นเพียงกลุ่มควันกลุ่มหนึ่งในจักรวาลเท่านั้น พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:
ความว่า "แล้วพระองค์ทรงมุ่งสู่ฟากฟ้าขณะที่มันเป็นไอหมอก... " (พระคัมภีร์กุรอาน , 41:11)
เนื่องจากพื้นโลกและท้องฟ้าเบื้องบน (ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ดาวพระเคราะห์ กาแล็กซี่ และอื่นๆ) ทั้งหมดได้ก่อตัวมาจาก 'กลุ่มควัน' กลุ่มเดียวกัน เราจึงพอสรุปได้ว่า พื้นโลกและท้องฟ้านั้นเชื่อมต่อกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว จากนั้นจึงโคจรออกมาจาก 'กลุ่มควัน' กลุ่มเดียวกัน แล้วจึงก่อตัวและแยกตัวออกจากกัน พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:
ความว่า "และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้รวมติดเป็นอันเดียวกัน แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน?..." (Quran, 21:30)
Dr. Alfred Kroner หนึ่งในนักธรณีวิทยาที่มีชื่อเสียงก้องโลก ท่านเป็นศาสตราจารย์ในสาขาธรณีวิทยาและประธานแผนกธรณีวิทยาของสถาบันวิทยา ศาสตร์ธรณี มหาวิทยาลัยโจฮันเนส กุตเทนเบอร์ก (Johannes Gutenberg University) ในเมืองไมนซ์ ประเทศเยอรมันนี เขากล่าวว่า “คิดดูซิว่า มุหัมมัดมาจากที่ใด...ข้าพเจ้าคิดว่าแทบเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะล่วงรู้ในสิ่งต่างๆ เช่น การเกิดของจักรวาล เพราะว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายเพิ่งจะค้นพบเรื่องนี้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง โดยใช้วิธีการทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยและซับซ้อน นั่นก็คือเหตุผลสนับสนุนดังกล่าว" (อ้างอิงคำกล่าวนี้จาก This is the Truth (วีดีโอเทป) อ้างแล้ว)
เขายังกล่าวอีกด้วยว่า “ข้าพเจ้าคิดว่า คนที่ไม่เคยรู้เกี่ยวกับวิชาฟิสิกส์ซึ่งว่าด้วยเรื่องของนิวเคลียร์เมื่อ หนึ่งพันสี่ร้อยปีที่ผ่านมาก็จะไม่สามารถรู้ด้วยความนึกคิดของเขาเองได้ว่า พื้นโลกและชั้นฟ้านั้นต่างก่อกำเนิดมาจากที่เดียวกัน" (This is the Truth (วีดีโอเทป) อ้างแล้ว)
ง) พระคัมภีร์กุรอานว่าด้วยสมองส่วนหน้าของมนุษย์
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานถึงคนผู้หนึ่งในกลุ่มของผู้ไร้ความศรัทธาในศาสนาโดยสิ้นเชิง เข้ามาขัดขวางมุหัมมัด ไม่ให้ทำละหมาดในวิหารกะอฺบะฮฺ (Kaaba):
ความว่า "มิใช่เช่นนั้น ถ้าเขายังไม่หยุดยั้ง เราจะจิกเขาที่ขม่อมอย่างแน่นอน ขม่อมที่โกหกที่ประพฤติชั่ว!" (พระคัมภีร์กุลอาน, 96:15-16)
ทำไมพระคัมภีร์กุรอานจึงได้อธิบายบริเวณศรีษะส่วนหน้าว่าเปรียบเสมือนส่วนที่เต็มไปด้วยบาปและความตลบตะแลง ทำไมพระคัมภีร์กุรอานจึงไม่กล่าวว่าบุคคลนั้นเต็มไปด้วยบาปและความตลบตะแลง มีความสัมพันธ์กันอย่างไรระหว่างบริเวณศรีษะส่วนหน้ากับบาปกรรมและความตลบตะแลง?
ถ้าเรามองเข้าไปในกระโหลกศีรษะส่วนหน้า เราจะพบบริเวณสมองส่วนหน้า (ดูรูปที่ 12) วิชาว่าด้วยสรีระวิทยาบอกกับเราว่าบริเวณนี้มีหน้าที่อะไรบ้าง ในหนังสือที่ชื่อว่า Essentials of Anatomy & Physiology ได้กล่าวถึงบริเวณนี้ไว้ว่า “แรงบันดาลใจและการคาดการณ์ล่วงหน้าในการวางแผนและการสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหวนั้น เกิดจากกลีบสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ด้านหน้าสุด และเป็นบริเวณศูนย์รวมของเยื่อหุ้มสมอง..." (Essentials of Anatomy & Physiology ของ Seeley และคณะ หน้า 211 และดูที่ The Human Nervous System ของ Noback และคณะ หน้า 410-411)
ในตำราเล่มนั้นยังกล่าวอีกว่า “เนื่องจากว่าบริเวณที่อยู่ด้านหน้าสุดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างแรงบันดาลใจ จึงมีการคิดกันว่าบริเวณส่วนนี้เป็นศูนย์กลางที่ก่อให้เกิดความรุนแรง...." (Essentials of Anatomy & Physiology ของ Seeley และคณะ หน้า 211)
รูปที่ 12:บริเวณสั่งการของเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้าซีกซ้าย บริเวณด้านหน้าจะอยู่ตรงด้านหน้าเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า (Essentials of Anatomy & Physiology ของ Seeley และคณะ หน้า 210)
ดังนั้นบริเวณของสมองส่วนหน้านี้จึงมี หน้าที่วางแผน สร้างแรงจูงใจ และริเริ่มให้เกิดการกระทำดีหรือชั่ว อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการโป้ปดมดเท็จและบอกเล่าความจริง ดังนั้น จึงจะเหมาะสมกว่าหากอธิบายว่าบริเวณศรีษะส่วนหน้านั้นเปรียบเสมือนส่วนที่เต็มไปด้วยบาปและความตลบตะแลง เมื่อมีผู้ใดโกหกหรือกระทำสิ่งที่เป็นบาป อย่างที่พระคัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้ว่า “naseyah (บริเวณส่วนหน้าของศีรษะ) ที่เต็มไปด้วยความตลบตะแลงและบาปกรรม!"
นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค้นพบการทำหน้าที่ต่างๆ ของบริเวณสมองส่วนหน้าเมื่อหกสิบปีที่ผ่านมานี่เอง โดยศาสตราจารย์ Keith L. Moore (Al-Ejaz al-Elmy fee al-Naseyah ของ Moore และคณะ หน้า 41)
จ) พระคัมภีร์กุรอานว่าด้วยทะเลและแม่น้ำ
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ค้นพบว่า ในสถานที่ซึ่งทะเลสองสายมาบรรจบกัน จะเกิดสิ่งขวางกั้นทะเลทั้งสองไว้ โดยที่สิ่งขวางกั้นดังกล่าวนี้จะแบ่งทะเลทั้งสองออกจากกัน เพื่อที่ว่าทะเลแต่ละสายจะได้มีอุณหภูมิ ความเข้มและความหนาแน่นเป็นของตนเอง (Principles of Oceanography ของ Davis หน้า 92-93) ตัวอย่างเช่น น้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะอุ่น เค็ม และมีความหนาแน่นน้อยเมื่อเทียบกับน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก เมื่อน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหนุนเข้าไปในมหาสมุทรแอตแลนติค โดยผ่านทางสันดอนยิบรอลตาร์ (Gibraltar) มันจะไหลไปเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรหนุนเข้าไปในมหาสมุทรแอตแลนติกที่ ความลึกประมาณ 1000 เมตร โดยพาความอุ่น ความเค็ม และความหนาแน่นที่น้อยกว่าของมันเองไปด้วย น้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะคงที่อยู่ที่ความลึกดังกล่าวนี้ (Principles of Oceanography ของ Davis หน้า 93) (ดูรูปที่ 13)
รูปที่ 13:น้ำ จากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนขณะที่หนุนเข้าไปในมหาสมุทรแอตแลนติกโดยผ่านทาง สันดอนยิบรอลตาร์ ซึ่งจะพาความอุ่น ความเค็มและความหนาแน่นที่น้อยกว่าเข้าไปด้วยเนื่องมาจากแนวสันดอนที่กั้นอยู่แบ่งแยกความแตกต่างระหว่างทะเลทั้งสอง อุณหภูมิจะนับเป็นองศาเซลเซียส (Marine Geology ของ Kuenen หน้า 43 ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติมเล็กน้อย)
แม้ว่าจะมีคลื่นลูกใหญ่ กระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และระดับน้ำขึ้นลงสูงเพียงใดในทะเลดังกล่าว ทะเลทั้งสองก็จะไม่มีโอกาสที่จะรวมกันหรือรุกล้ำสิ่งขวางกั้นนี้ไปได้
พระคัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้ว่า มีสิ่งขวางกั้นระหว่างทะเลทั้งสองที่มาบรรจบกัน และทะเลทั้งสองจะไม่สามารถรุกล้ำผ่านไปได้ พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า:
ความว่า "พระองค์ทรงทำให้น่านน้ำทั้งสองไหลมาบรรจบกันระหว่างมันทั้งสองมีที่กั้นกีดขวาง มันจะไม่ล้ำเขตต่อกัน" (พระคัมภีร์กุรอาน, 55:19-20)
แต่เมื่อพระคัมภีร์กุรอานกล่าวถึงเรื่องราว ระหว่างน้ำจืดกับน้ำเค็ม พระคัมภีร์มักจะกล่าวว่าจะมี “เขตหวงห้าม" โดยมีสิ่งขวางกั้นไม่ให้น้ำทั้งสองรวมกันได้ พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้: