บทความ

ห้ามเยาะเย้ยดูถูกผู้อื่น





ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ


ห้ามเยาะเย้ยดูถูกผู้อื่น


มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ขอความสุขความจำเริญ


และศานติจงประสบแด่ศาสนทูตของพระองค์ ฉันขอปฏิญาณ


ว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว ไม่มีภาคี


ใดๆ สำหรับพระองค์ และฉันขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดเป็นบ่าว


ของอัลลอฮฺและเป็นศาสนทูตของพระองค์


หนึ่งในคุณลักษณะที่น่าตำหนิที่อัลลอฮฺและเราะสูล


ของพระองค์ทรงรังเกียจ คือการเยาะเย้ยและดูถูกผู้อื่น พระองค์


ตรัสว่า





ความว่า “ความหายนะจงประสบแด่ทุกผู้นินทาและผู้ใส่ร้าย


ผู้อื่น” (อัล-ฮุมะซะฮฺ: 1)


"อัล-วัยลุ"  เป็นคำขู่และคำเตือนสำทับสำหรับผู้ที่มี


ลักษณะนิสัยเหล่านี้


4


อัล-มุอัลลิมียฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า "อัล-ฮัมซฺ" 


หมายถึง การเยาะเย้ยถากถางผู้อื่นโดยใช้ท่าทาง เช่น ชี้นิ้วใกล้


ศีรษะเสมือนกับผู้ที่ถูกชี้นิ้วใส่นั้นเป็นคนเสียสติ หรือใช้สายตาดู


ถูกเหยียดหยามเหมือนกับผู้อื่นไม่มีค่า ส่วน "อัล-ลัมซฺ" ا ﻤﻠلز


หมายถึง การเยาะเย้ยผู้อื่นด้วยคำพูด เช่น เรียกชื่อด้วยสรรพ


นามที่บ่งถึงโรคหรือปมด้อยที่น่ารังเกียจของผู้อื่น (หนังสือมะกา


ริมุล อัคลาก ของยะหฺยา อัล-มุอัลลิมียฺ หน้า 333)


อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า





ความว่า “โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย! ชนกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ย


ชนอีกกลุ่มหนึ่ง บางทีชนกลุ่มที่ถูกเยาะเย้ยนั้นจะดีกว่าชนกลุ่ม


ที่เยาะเย้ย และสตรีกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ยจะดีกว่ากลุ่มที่


เยาะเย้ย และพวกเจ้าอย่าได้ตำหนิตัวของพวกเจ้าเอง และ


อย่าได้เรียกกันด้วยฉายาที่ไม่ชอบ” (อัล-หุญุรอต: 11)


5


อัฏ-เฏาะบะรียฺ เราะหิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า "อัลลอฮฺทรงสั่งห้ามบรรดามุอ์มินผู้ศรัทธามิให้ดูถูกเหยียดหยามบุคคลอื่นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆก็ตาม ทั้งในเรื่องของความยากจน ความผิดที่เขากระทำ หรือเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น ส่วนคำตรัสของพระองค์ที่ว่า “และอย่าได้เรียกกันด้วยฉายาที่ไม่ชอบ” นั้น ทัศนะที่ฉันคิดว่าถูกต้องที่สุดในการอธิบายอายะฮฺนี้ก็คือ พระองค์อัลลอฮฺทรงห้ามบรรดาผู้ศรัทธามิให้เรียกขานผู้อื่นด้วยสรรพนามซึ่งผู้ที่ถูกเรียกนั้นรู้สึกรังเกียจและไม่พอใจโดยไม่มีข้อยกเว้น ตราบใดที่บุคคลที่ถูกพาดพิงไม่พอใจ" (ตัฟสีร อัฏ-เฏาะบะรียฺ 11/293)


ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า ฉันได้พูดถึงเศาะฟิยะฮฺต่อหน้าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทำนองว่านางนั้นมีรูปร่างเตี้ย ท่านจึงกล่าวแก่ฉันว่า





ความว่า “ฉันไม่ชอบที่จะพูดถึงเรื่องที่ไม่ดีของบุคคลอื่นถึงแม้ว่าฉันจะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทนก็ตาม” (บันทึกโดยอบูดาวูด เลขที่หะดีษ 4875)


อัล-มะอฺรูร เล่าว่า ฉันได้พบกับอบู ซัรฺที่รุบซะฮฺพร้อมกับผู้ติดตามของท่าน ซึ่งทั้งสองสวมใส่ชุดที่สวยงามในลักษณะเดียวกัน ฉันจึงถามท่านถึงสิ่งที่เห็น ท่านตอบว่า: ท่านได้เคยต่อว่าด่าทอชายคนหนึ่ง โดยการดูถูกเหยียดหยามมารดาของเขา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวแก่ฉันว่า





ความว่า “โอ้ อบูซัร ท่านพูดดูถูกมารดาของเขาหรือ? แท้จริงในตัวท่านนั้นมีลักษณะของพวกญาฮิลียะฮฺ บรรดาพี่น้องของท่านคือผู้ที่อยู่กับท่าน อัลลอฮฺตะอาลาทรงทำให้พวกเขาอยู่ในความดูแลของท่าน ฉะนั้นผู้ใดที่เขามีพี่น้องอยู่ในความดูแลของเขา ก็จงให้อาหารแก่เขาเหมือนดังที่ท่านกิน จงให้เขาสวมใส่เสื้อผ้า


7


เหมือนดังที่ท่านสวมใส่ จงอย่าใช้งานพวกเขาเกินความสามารถของพวกเขา และเมื่อท่านใช้งานพวกเขาท่านก็จงคอยช่วยเหลือพวกเขา” (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 30)


การเยาะเย้ยผู้อื่นถือเป็นลักษณะของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและพวกกลับกลอก ซึ่งพวกเรานั้นถูกสั่งห้ามมิให้กระทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นการเลียนแบบกลุ่มคนเหล่านั้น อัลลอฮฺตรัสว่า





ความว่า “พวกที่ตำหนิบรรดาผู้ที่สมัครใจจากหมู่ผู้ศรัทธาในการบริจาคทาน และตำหนิผู้ที่ไม่พบสิ่งใด (จะบริจาค) นอกจากค่าแรงงานอันเล็กน้อยของพวกเขา แล้วเย้ยหยันพวกเขานั้น อัลลอฮฺได้ทรงเย้ยหยันพวกเขาแล้ว และสำหรับพวกเขานั้นคือการลงโทษอันเจ็บแสบ” (อัต-เตาบะฮฺ: 79)


อิบนุ กะษีรฺ กล่าวว่า "และลักษณะประการหนึ่งของพวกกลับกลอกคือ จะไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นจากคำตำหนิติเตียนและคำเย้ยหยันของพวกเขาในทุกกรณี แม้แต่บรรดาผู้ที่


8


บริจาคทานก็มิอาจรอดพ้นจากพวกเขาได้ หากบุคคลหนึ่งบริจาคทรัพย์สินมากมาย พวกเขาก็จะกล่าวว่า ท่านนั้นโอ้อวด ในทางกลับกันหากบริจาคเพียงเล็กน้อยพวกเขาก็จะกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงร่ำรวยเกินกว่าที่จะรับการบริจาคทานเพียงเท่านี้" (ตัฟสีรอิบนุ กะษีรฺ 7/247)


และการเยาะเย้ยผู้อื่นยังเป็นสาเหตุให้จิตใจมืดบอด เมื่อวันกิยามะฮฺมาถึงเขาจะรู้สึกเสียใจและเศร้าใจต่อการกระทำของเขาเป็นอย่างยิ่ง อัลลอฮฺตรัสว่า





ความว่า “มิฉะนั้นชีวิตหนึ่งจะกล่าวว่า โอ้ความหายนะจงประสบแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์ทอดทิ้งหน้าที่ ที่มีต่ออัลลอฮฺ และข้าพระองค์เคยอยู่ในหมู่ผู้เยาะเย้ยอีกด้วย” (อัซ-ซุมัรฺ: 56)


ผู้ที่เยาะเย้ยผู้อื่นจะได้รับการลงโทษที่เจ็บแสบทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ โดยในดุนยาผู้ที่เยาะเย้ยอาจจะถูกเย้ยหยันกลับบ้าง ส่วนในอาคิเราะฮฺเขาจะได้รับการลงโทษจากอัลลอฮฺ พระองค์ตรัสว่า





ความว่า “แท้จริงบรรดาผู้กระทำผิดนั้น เคยหัวเราะเยาะบรรดาผู้ศรัทธาและเมื่อบรรดาผู้ศรัทธาเดินผ่านพวกเขาไป พวกเขาจะหลิ่วตาเย้ยหยันและเมื่อพวกเขากลับไปยังพวกพ้องของพวกเขา พวกเขาก็กลับไปอย่างตลกคะนอง” (อัล-มุฏ็อฟฟิฟีน: 29-31)


และตรัสอีกว่า





ความว่า “และบรรดาผู้กล่าวร้ายแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธาหญิงในสิ่งที่พวกเขามิได้กระทำ แน่นอนพวกเขาได้แบกการกล่าวร้าย และบาปอันชัดแจ้งไว้” (อัล-อะหฺซาบ: 58)


ผู้ที่เยาะเย้ยผู้อื่นคือผู้ห่างไกลจากพระเจ้าของเขาและอยู่ใกล้ชิดชัยฏอน อัลลอฮฺ ตรัสว่า





ความว่า “แท้จริงมีหมู่ชนกลุ่มหนึ่งจากปวงบ่าวของเรา พวกเขากล่าวว่า 'ข้าแต่พระเจ้าของเรา พวกเราได้ศรัทธาต่อพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่เรา และทรงเมตตาต่อเราด้วย และพระองค์ท่านเท่านั้น ทรงเป็นผู้เมตตาที่ดียิ่ง' พวกเจ้าได้ดูถูกเหยียดหยามพวกเขา จนกระทั่ง (การกระทำเช่นนั้นแก่พวกเขา) ทำให้พวกเจ้าลืมนึกถึงข้า และพวกเจ้าก็หัวเราะเยาะเย้ยพวกเขาแท้จริงข้าได้ตอบแทนรางวัลให้แก่พวกเขาแล้วในวันนี้ เพราะพวกเขาอดทน แท้จริงพวกเขาเท่านั้นเป็นผู้ได้รับชัยชนะ” (อัล-มุอ์มินูน: 109-111)


อัล-กุรฏุบียฺ กล่าวว่า "ข้อคิดที่เราได้รับจากอายะฮฺข้างต้นคือ พึงระวังการเย้ยหยันผู้ที่อ่อนแอและขัดสน รวมถึงการดูถูกและเข้าไปยุ่งวุ่นวายในสิ่งที่ไม่ควร การกระทำทั้งหมดนี้ส่งผลให้ผู้กระทำนั้นอยู่ห่างไกลจากอัลลอฮฺ" (ตัฟสีร อัล-กุรฏุบียฺ 15/95)


11


และจากทั้งหมดที่ได้กล่าวมาเห็นได้ชัดเจนว่าการเย้ยหยันผู้อื่นนั้นถือเป็นบาปใหญ่ ซึ่งขัดกับหลักการศาสนาและจรรยามารยาทอันดีงาม


และนี่คือตัวอย่างบางประการของการเยาะเย้ยในสังคมปัจจุบัน:


การเยาะเย้ยต่อบรรดาผู้รู้ ผู้คงแก่เรียน ผู้สั่งใช้ให้ผู้อื่นทำความดีละเว้นความชั่ว รวมทั้งบุคคลอื่นๆทั้งหลายที่เป็นคนดีของสังคม อีกทั้งยังเรียกพวกเขาด้วยสรรพนามที่น่ารังเกียจ หาเรื่องใส่ร้ายป้ายสีโดยทำให้เป็นเรื่องตลกขบขัน นักวิชาการบางท่านกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ผู้ใดเยาะเย้ยผู้รู้หรือผู้ที่สั่งใช้ผู้อื่นให้ทำความดีละเว้นความชั่วในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ถือว่าเขานั้นได้ออกจากวงจรแห่งศาสนาแล้ว อัลลอฮฺตรัสว่า





ความว่า “และถ้าหากเจ้าได้ถามพวกเขา แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า แท้จริงพวกเราเป็นเพียงแต่พูดสนุก พูดเล่นเท่านั้นจง


12


กล่าวเถิด (มุหัมมัด) ว่าต่ออัลลอฮฺและบรรดาโองการของพระองค์และเราะสูลของพระองค์กระนั้นหรือ ที่พวกท่านเย้ยหยันกัน? พวกท่านอย่าแก้ตัวเลย แท้จริงพวกท่านได้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว หลังจากการมีศรัทธาของพวกท่าน” (อัต-เตาบะฮฺ: 65)


อีกตัวอย่างหนึ่ง คือการเยาะเย้ยต่อคนงาน หรือคนจนและคนอ่อนแอ รวมทั้งการดูถูกพวกเขาว่าเป็นคนสัญชาตินั้น สัญชาตินี้ หรือมาจากประเทศนั้นประเทศนี้ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วท่านกล่าวถามผู้ที่อยู่กับท่านว่า “พวกท่านเห็นว่าชายคนนี้เป็นอย่างไร?” พวกเขาตอบว่า "แน่นอนเขาผู้นี้หากไปขอใครแต่งงานก็คงได้รับการยินยอม ขอความช่วยเหลือใครก็ได้รับความช่วยเหลือ หรือพูดสิ่งใดก็มีคนรับฟัง" ท่านนบีก็เงียบ จนกระทั่งชายยากจนคนหนึ่งเดินผ่านมา ท่านนบีจึงถามขึ้นอีกว่า “แล้วชายผู้นี้เล่าพวกท่านเห็นเป็นอย่างไร?” พวกเขาตอบว่า "แน่นอนเขาผู้นี้หากไปขอใครแต่งงานก็คงไม่มีใครยกให้ ขอความช่วยเหลือใครคงไม่มีใครยอมช่วยเหลือ หรือพูดสิ่งใดก็คงไม่มีใครรับฟัง" ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า “ชายยากจนผู้นี้


13


ประเสริฐยิ่งกว่าผู้นั้น แม้ว่าจะมีจำนวนเต็มแผ่นดินรวมกันเสียอีก” (บันทึกโดยอัล-บุคอรียฺ หะดีษเลขที่ 5091)


ผู้ที่เยาะเย้ยผู้อื่นเขานั้นไม่รู้หรอกว่าผู้ที่เขาเยาะเย้ยนั้นอาจเป็นคนดีและเป็นผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮฺมากกว่าเขาเสียอีก พระองค์ ตรัสว่า





ความว่า “แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า” (อัล-หุญุรอต: 13)


มะหฺมูด อัล-ฆ็อซนะวียฺ กล่าวว่า:





ท่านอย่าได้ดูถูกผู้หนึ่งผู้ใดเป็นอันขาดเพราะเขาคนนั้น


อาจเป็นที่รักของพระเจ้าแห่งสากลโลกโดยที่ท่านไม่รู้


ผู้ที่มีสถานะอันสูงส่ง ณ อัลลอฮฺมักไม่ปรากฏต่อสายตาผู้อื่น


เหมือนที่พวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่าคืนใดคือลัยละตุลก็อดรฺ


14


และอีกตัวอย่างหนึ่ง คือการเยาะเย้ยต่อเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง ซึ่งสาเหตุของการดูถูกเยาะเย้ยนี้นั้นอาจเกิดจากความอิจฉาริษยา กล่าวคือบางคนอาจโดดเด่นเหนือญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ทั้งในเรื่องการค้าขาย เรื่องความรู้ รวมทั้งเรื่องการศึกษา จึงมีผู้อิจฉาและแสดงออกด้วยการพูดดูแคลนเยาะเย้ยนินทาพวกเขาเหล่านี้ในที่ชุมนุมเพื่อให้พวกเขาดูไม่ดีในสายตาผู้อื่น


ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า





ความว่า “พวกท่านจงอย่าอิจฉาริษยาผู้อื่น อย่าเพิ่มราคาสินค้าโดยที่ท่านเองไม่ต้องการซื้อเพื่อเป็นหน้าม้าให้ผู้ขายได้รับประโยชน์ อย่าได้โกรธเคืองซึ่งกันและกัน อย่าได้ขัดแย้งกันเอง อย่าได้ขายของตัดหน้ากัน และพวกท่านจงเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ


15


ที่มีความรักใคร่กลมเกลียวกัน มุสลิมทุกคนคือพี่น้องกัน ท่านอย่าได้อธรรมต่อกัน อย่าได้ให้ร้ายต่อกัน และอย่าดูถูกซึ่งกันและกัน แท้จริงการยำเกรงต่อพระองค์อัลลอฮฺอยู่ที่นี่” แล้วท่านนบีก็ชี้ไปที่หน้าอกของท่านสามครั้ง และกล่าวว่า “ถือเป็นความชั่วร้ายที่มุสลิมจะดูถูกพี่น้องมุสลิมด้วยกัน เพราะมุสลิมทุกคนนั้น เลือดเนื้อของเขา ทรัพย์สินของเขา และเกียรติของเขานั้นเป็นสิ่งต้องห้ามระหว่างกัน” (บันทึกโดยมุสลิม หะดีษเลขที่ 2564)



 



กระทู้ล่าสุด

ความแข็งกระด้างของหัว ...

ความแข็งกระด้างของหัวใจ

ข้อคดิ จากสูเราะฮอฺ ั ...

ข้อคดิ จากสูเราะฮอฺ ัล-หิจญ์รฺ อายะฮทฺ ี่ ๔๕

ห้ามเยาะเย้ยดูถูกผู้อ ...

ห้ามเยาะเย้ยดูถูกผู้อื่น

ความวุ่นวายและการทดสอ ...

ความวุ่นวายและการทดสอบ แห่งโลกดุนยา