ความประเสริฐของการทาน สะหูรฺ
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ
หะดีษบทที่ 14
ความประเสริฐของการทาน สะหูรฺ
ความว่า จากท่านอะนัส อิบนุ มาลิก เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ เล่าจากท่านรอซูล
ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ท่านได้กล่าวว่า “พวกท่านจงทาน สะหูรฺ เถิด
เพราะใน สะหูรฺ นั้นมีบะเราะกัต(ความประเสริฐ)” (รายงานโดย อัล-บุคอรีย์
เลขที่ 1789 และมุสลิม เลขที่ 1835)
คำอธิบายหะดีษ
สะหูรฺ คือ อาหารที่ผู้ถือศีลอดทานตอนหัวรุ่งก่อนการเริ่มถือศีลอดในแต่ละวัน
ความหมายของความประเสริฐดังกล่าวในหะดีษ ก็คือ ได้รับผลบุญ ผลตอบแทน และ
ความประเสริฐอันเนื่องจากหลายสาเหตุ ดังนี้
- เป็นการปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
- เป็นการขัดแย้งกับชาวกิตาบ (ยิวและคริสเตียน) ซึ่งพวกเขาไม่ทานอาหารสะหูรฺตามที่ระบุ
ไว้ในหะดีษที่รายงานโดยมุสลิมจากอัมร์ บิน อัล-อาศ แท้จริงท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ
วะสัลลัม กล่าวว่า “ความแตกต่างระหว่างการถือศีลอดของเรากับชาวคัมภีร์คือ การทานสะหูรฺ”
- สามารถประกอบอิบาดะฮฺได้อย่างขันแข็ง
- เพิ่มความคล่องแคล่ว
- สามารถขจัดมารยาทที่ไม่ดีอันเกิดจากความหิวโหย
- จะนำไปสู่การวิงวอน (ดุอาอ์) และการซิกรุลลอฮฺ (ในช่วงที่ตื่นขึ้นมาเพื่อทานสะหูรฺ)
- ผู้ที่ลืมเนียตถือศีลอดก่อนเข้านอน ก็สามารถทำการเนียตได้ (ฟัตหุลบารีย์ 4/140)
บทเรียนจากหะดีษ
1. การชี้นำของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แก่บรรดาผู้ศรัทธาเกี่ยวกับความ
พร้อมในการถือศีลอด นั่นคือ ให้รับประทานอาหารสะหูรฺก่อนถึงเวลาถือศีลอด
2
2. สะหูรฺ เป็นชื่อหนึ่งของการรับประทานอาหารก่อนเวลาศุบหฺสำหรับผู้ที่ถือศีลอดในเดือน
เราะมะฎอนหรือในวันอื่นๆ
3.ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้อธิบายเกี่ยวกับอาหารสะหูรฺว่ามีความ
ประเสริฐ ในรายงานอื่นระบุว่าสะหูรฺเป็นอาหารที่ได้รับการประทานความประเสริฐโดยอัลลอฮฺ
4. บะเราะกะฮฺหมายถึง ผลบุญเพิ่มมากขึ้น
5. หุก่มของการรับประทานอาหารสะหูรฺ คือ สุนัต ผู้ที่กระทำจะได้รับผลบุญ ในรายงานอื่นมี
อยู่ว่าอัลลอฮฺและบรรดามะลาอิกะฮฺจะเศาะละวาตแก่บรรดาผู้ที่รับประทานอาหารสะหูรฺ การเศาะ
ละวาตของอัลลอฮฺนั้นก็คือ พระองค์จะทรงประทานความโปรดปรานแก่พวกเขา และการเศาะละ
วาตของบรรดามะลาอิกะฮฺก็คือ พวกเขาจะขอให้อัลลอฮฺทรงให้อภัยแก่พวกเขา ดังนั้นเข้าใจว่าผู้ที่
ไม่ได้รับประทานอาหารสะหูรฺจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺและการวิงวอนจากบรรดามะ
ลาอิกะฮฺในเวลานั้น