บทความ

พระเจ้า จักต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น


      หากเราจะพิจารณาถึงความสมดุลและการมีระบบระเบียบในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน ปราศจากความผิดพลาด และความบกพร่อง หรือความวุ่นวาย นั่นก็บอกได้ว่าพระเจ้าพระผู้สร้างและผู้ดูแลกิจการงานทั้งหลายในชั้นฟ้าและแผ่นดินคืออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว


      พระองค์ได้ตรัสไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านว่า


لَوْ كَانَ فِيهِمَا آلِهَةٌ إِلَّا اللَّهُ لَفَسَدَتَا ۚ فَسُبْحَانَ اللَّهِ رَبِّ الْعَرْشِ عَمَّا يَصِفُونَ ( 22 )


             ความว่า“ หากในชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าหลายองค์อื่นจากอัลลอฮ์แล้ว ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างแน่นอน อัลลอฮ์พระเจ้าแห่งบัลลังก์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้น”


                                                                 (อัลกุรอ่าน บท อัลอันบิยาอ์ 22 )


       ลองพิจารณาดูเถิดว่า หากสังคมหนึ่ง หรือกองทัพหนึ่ง มีผู้ที่มีอำนาจบัญชาหลายคน ในกิจการงานสักหนึ่งอย่าง กิจการงานนั้นย่อมเสียหาย เพราะแต่ละคนต่างก็อ้างอำนาจของตัวเอง ว่าตนคือผู้ตัดสินใจ แต่ละคนก็จะปรารถนาความคิดของตนเองว่าดีกว่า เหนือกว่าผู้อื่น ท้ายที่สุดแล้วก็จะไม่มีใครมีอำนาจสูงสุดเพื่อตัดสินใจให้การงานนั้นดำเนินไปได้


      อำนาจเด็ดขาดสูงสุดจึงจะต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นเดียวกันกับบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินย่อมต้องมีเพียงผู้มีอำนาจสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว เพื่อที่จะบริหารจัดการมันให้เป็นไปอย่างมีระบบ ระเบียบ สมบูรณ์แบบ มุ่งไปในทิศทางที่กำหนดโดยไม่มีอำนาจอื่นใดมาแทรกแซง


       หากมีพระเจ้าหลายองค์แล้วไซร้ แน่นอน แต่ละองค์ก็จะยึดเอาแต่สิ่งที่ตนสร้างมาครอบครอง กำหนดระเบียบขึ้นมาเอง สิ่งถูกสร้างทั้งหลายก็จะไม่มีระบบระเบียบ ที่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ และพระเจ้าแต่ละองค์จะแข่งกันแสดงอำนาจที่เหนือกว่าองค์อื่น  พระองค์ได้ตรัสว่า


مَا اتَّخَذَ اللَّهُ مِن وَلَدٍ وَمَا كَانَ مَعَهُ مِنْ إِلَٰهٍۚ إِذًا لَّذَهَبَ كُلُّ إِلَٰهٍ بِمَا خَلَقَ وَلَعَلَا بَعْضُهُمْ عَلَىٰ بَعْضٍۚ سُبْحَانَ اللَّهِ عَمَّا يَصِفُونَ ( 91 )


ความว่า“ อัลลอฮฺมิได้ทรงตั้งผู้ใดเป็นพระบุตร และไม่มีพระเจ้าอื่นใดคู่เคียงกับพระองค์ ถ้าเช่นนั้นพระเจ้าแต่ละองค์ก็จะเอาสิ่งที่ตนสร้างไปเสียหมด และแน่นอนพระเจ้าบางพระองค์ในหมู่พวกเขาก็จะมีอำนาจเหนือกว่าอีกบางองค์ อัลลอฮ์ทรงบริสุทธิ์จากสิ่งที่พวกเขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้น”


     (อัลกุรอ่าน บท อัลมุอ์มินูน 91 )


       และหากมีเทพเทวาใดๆที่มีฤทธิ์เดชในเรื่องหนึ่ง แต่ไม่มีความสามารถในเรื่องอื่นๆ ก็มิอาจเป็นผู้มีอำนาจที่สมบูรณ์แบบได้ หรือมีความศักดิ์สิทธิ์ในช่วงเวลาหนึ่ง และเสื่อมถอยลงเมื่อเวลาผ่านไป ก็มิใช่ผู้ทรงอำนาจเช่นกัน


       เช่นเดียวกัน หากมีอำนาจขั้วหนึ่ง บันดาลให้เกิดขึ้นดำรงอยู่ แต่กลับมีอำนาจอีกขั้วบันดาลให้ตายหรือทำลายลง ก็ย่อมจะเกิดความวุ่นวายขัดแย้งกัน  


       ปัจจุบันนี้เราเห็นแล้วว่า หากองค์กรใดๆ มีสายบังคับบัญชา หรืออำนาจการบริหารหลายคน หลายฝ่าย หลายระดับขั้น หลายขั้วอำนาจ มันจะก่อให้เกิดปัญหา มีความขัดแย้ง และความวุ่นวายอย่างมากมาย แต่หากขึ้นตรงต่อผู้มีอำนาจสูงสุดในการบัญชา หรือ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด กิจการงานนั้นย่อมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น


        ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้มีอำนาจสูงสุด ต้องมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์คือผู้สร้าง และเป็นผู้บริหารจัดการ ผู้ดูแล  ผู้ที่ให้เพิ่ม หรือลดอำนาจแก่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และผู้ตัดสินต่อบรรดาปวงบ่าวทั้งหลาย





หากพระเจ้ามีจริง แล้วเหตุใดเราถึงไม่เห็นพระองค์


         ท่านผู้อ่านที่เคารพทั้งหลาย  การยืนยันว่าสิ่งใดมีตัวตนอยู่จริงนั้น เราจะใช้เพียงประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นมาตรฐาน คงจะเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้องนัก เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ล้วนมีสถานะที่แตกต่างกันไป


- บางสิ่งเราอาจต้องใช้เครื่องมือเฉพาะในการตรวจสอบการมีอยู่จริงของมัน  เช่น เชื้อไวรัส หรือ จุลชีพขนาดเล็กจิ๋ว ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า


- บางสิ่งเราอาจอาศัยร่องรอย หรือผลลัพธ์จากการกระทำปฏิกิริยาของมัน เช่น เรามองไม่เห็นแรง แต่รู้ว่ามีแรงมีพละกำลัง เมื่อเรายกสิ่งของ หรือเข็นรถไปข้างหน้า เมื่อเราขว้างก้อนหิน, เรามองไม่เห็นลม-อากาศ แต่รู้ว่ามันมีอยู่จากความรู้สึกที่มันพัดผ่าน หรือใบไม้ที่ปลิวไหว, กระแสไฟฟ้า – คลื่นวิทยุ – สัญญาณอินเตอร์เน็ต เราต่างก็มองไม่เห็นตัวตนของมันทั้งสิ้น


- บางสิ่งเป็นนามธรรมที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน แต่เรากลับยอมรับว่ามี อาทิ ความคิด ความรัก และความหวัง หรือพวกผีปีศาจ วิญญาณ และเทพ ไหนล่ะ ตัวตนของสิ่งเหล่านั้น


หากเราจะพิจารณาถึงสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็นนั้น ส่วนมากมันจะมีพลังและอำนาจมากกว่าสิ่งที่มองเห็น เช่นกระแสไฟฟ้า ที่มันสามารถฆ่าคนตายได้เพียงไม่กี่วินาที หรือลมพายุที่สามารถพัดบ้านไปทั้งหลังได้ หรือแรงดันในอากาศที่สามารถยกเครื่องบินทั้งลำได้ แม้กระทั่งเชื้อโรคที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่มันได้ทำลายมนุษย์ และได้ฆ่าคนไปกี่มากน้อยแล้ว และสิ่งเหล่านี้เราก็มองไม่เห็นเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้เป็นความเมตตาจากอัลลอฮ์ อันเนื่องจากความอ่อนเเอของมนุษย์ เพราะหากมนุษย์ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ว่ามา เเน่นอนมนุษย์เราคงจะวุ่นวาย ลายตา มีความเดือดร้อนจนอยู่ไม่เป็นสุขอย่างเเน่นอน


      การยืนยัน การมีอยู่จริงของตัวตนของคนๆหนึ่ง สามารถอาศัยคำบอกเล่า, บันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์, พงศาวดาร หรือ จดหมายเหตุ ของผู้ที่ได้พบเจอตัวบุคคลนั้นๆจริง เช่น บรรดากษัตริย์-จักรพรรดิ, หรือบุคคลสำคัญต่างๆในประวัติศาสตร์ ก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีใครในปัจจุบันเคยพบเจอตัวจริง (ไม่เหมือนกับฟาโรห์ที่ยังเหลือเป็นมัมมี่ให้เราเห็น) แต่เพราะบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ถ่ายทอดต่อๆกันมาจากผู้ที่ได้พบเจอตัวจริงในอดีต ยืนยันการมีอยู่จริงของพวกเขา จึงทำให้เราเชื่อการมีอยู่ของบุคคลเหล่านี้


        หากว่าเราทั้งหลายยอมรับในการมีอยู่จริง แม้จะมองไม่เห็น ของสิ่งใดก็ตาม ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด .. ใยจึงต้องมองเห็นพระผู้เป็นเจ้าด้วยตาตนเอง กระนั้นหรือ ?





ส่วนเหตุผลที่ พระองค์ ไม่ทรงปรากฏต่อหน้ามนุษย์นั้น เนื่องด้วยความเกรียงไกร ยิ่งใหญ่ และทรงอานุภาพอย่างล้นเหลือ เกินกว่าความสามารถของมนุษย์ และเกินกว่าสภาพของมนุษย์ที่จะครองสติเอาไว้ได้  หรือกระทั่งเสียชีวิตในทันที และเกินกว่าที่ผืนพิภพนี้จะแบกรับ ทนทานต่อพลังอำนาจของพระองค์ไว้ได้ ดังที่อัลลอฮ์ ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอ่าน เมื่อครั้งที่ศาสนทูตมูซา (โมเสส – ขอความศานติประสบแด่ท่าน) ขอให้พระองค์ปรากฏตัวตนให้เห็น (เพื่อตอกย้ำการมีอยู่ของพระเจ้า)


“เขา(มูซา)ได้กล่าวขึ้นว่า โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดให้ข้าพระองค์เห็น(พระองค์)ด้วยเถิด โดยที่ข้าพระองค์จะได้มองดูพระองค์ พระองค์ตรัสว่า เจ้าจะเห็นข้าไม่ได้เป็นอันขาด แต่ทว่าเจ้าจงมองดูภูเขานั้นเถิด ถ้าหากมันยังคงมั่นอยู่ ณ ที่ของมัน เจ้าก็จะเห็นข้า ครั้นเมื่อพระเจ้าของเขาได้ประจักษ์ที่ภูเขานั้น ทำให้มันทลายตัวลงอย่างราบเรียบ และมูซาก็ล้มลงในสภาพหมดสติ ครั้นเมื่อเขาฟื้นขึ้น เขาก็กล่าวว่ามหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ท่าน ข้าพระองค์ขอลุแก่โทษต่อพระองค์ และข้าพระองค์นั้นคือคนแรกในหมู่ผู้ศรัทธาทั้งหลาย”


                                                          (อัลกุรอ่าน บท อัลอะอ์รอฟ 143)


       และการที่พระองค์ทรงให้มนุษย์ไม่สามารถเห็นพระองค์นั้น เพื่อที่พระองค์จะทรงทดสอบการศรัทธาของพวกเขา หากทุกคนในโลกนี้สามารถเห็นพระองค์หมดแล้วไซร้ แน่นอน ในโลกนี้ย่อมไม่มีบททดสอบใดๆ  และในโลกนี้ก็จะไม่มีผู้ปฏิเสธศรัทธา



กระทู้ล่าสุด

ข้อความจากนักเทศน์มุส ...

ข้อความจากนักเทศน์มุสลิมถึงคริสเตียน

อานิสงส์ของการถือศีลอ ...

อานิสงส์ของการถือศีลอดหกวันชาวาล

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่ ...

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่านั้น

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี ...

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี่ยวกับการก่อการร้าย